“ยังมีเจ้าอีก! อะไรคือไม่รู้จักข้า? เจ้าไม่รู้จักข้า แต่กัวมู่จิ่วรู้จัก! เจ้าเซียนกระจอกนั่นก็รู้จัก! เจ้าเรียกพวกเขาออกมา!” ซ่างกวนสุ่นหมุนมาอีกด้าน ทันใดนั้นก็พุ่งมาทางมู่เสี่ยวซิง
มู่เสี่ยวซิงที่ถอยหลังจนติดกำแพงยังไม่ทันตอบ หยางอวิ้นก็พูดขึ้น “เทพเซียนกระจอกอะไร? คำพูดนี้ของเจ้าหมายถึงอะไรกัน?”
มู่เสี่ยวซิงรีบพูด “ไม่มีอะไร! อย่าฟังเขา…”
“ช่วงนี้กัวมู่จิ่วอยู่ด้วยกันกับเทพเซียนกระจอกแซ่ลู่ เจ้าไม่รู้หรือไง? โง่จริง!” จะงอยปากของซ่างกวนสุ่นเดี๋ยวหุบเดี๋ยวอ้า แต่ละประโยคราวกับทำให้คนโกรธจนตายได้
เสียงของเขาดังกว่ามู่เสี่ยวซิงมากนัก แต่ละตัวอักษรต่างก็เข้าหูหยางอวิ้นไปจนหมด
หยางอวิ้นอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก เหมือนกับลืมหายใจไปเสียด้วยซ้ำ!
“เจ้า เจ้าบอกว่ากัวมู่จิ่วซ่อนผู้ชายไว้ในเรือน?!“
เพราะตื่นตกใจมากไป แม้แต่มู่เสี่ยวซิงที่พยายามอ้าปากอธิบายนางก็มองไม่เห็น
ช่วงนี้นางเอาแต่จับตามองคนในลานบ้าน คิดแต่จะหาว่าใครเป็นคนลงมือวางยานาง ดังนั้นไม่ว่าความเคลื่อนไหวอะไรนางไม่ปล่อยผ่านไปแน่ นางเข้าใจไปว่าตนควบคุมทุกอย่างไว้อย่างเงียบๆ แล้ว กลับคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินจากปากนกตัวนี้ว่าในลานบ้านนี้ยังมีคนนอกอยู่อีก! เป็นเขาที่พูดมั่วซั่วหรือนางที่เข้าใจผิด?
“ไม่ผิด! คนแซ่ลู่เจ้าสำอางอยู่ที่นี่! ข้าหาเจอจากกลิ่นอายในลานบ้าน ข้ากล้ารับประกันเลยว่าระยะเวลาสั้นๆ นี้เขาต้องอยู่ด้วยกันกับกัวมู่จิ่วแน่ๆ!”
ซ่างกวนสุ่นกระพือปีกพูดเสียงดัง
หยางอวิ้นสูดลมหายใจเข้าไป ดวงตาจะหลุดออกมาจากเบ้าอยู่รอมร่อ
มู่เสี่ยวซิงโกรธจนคว้าเอาไม้กวาดจากใต้ระเบียงทางเดินขึ้นมาฟาดนก “ใครให้เจ้าพูดมั่วซั่ว!”
ซ่างกวนสุ่นถูกไล่ตีจนร้องเสียงดัง ในลานบ้านพลันอึกทึกครึกโครมขึ้น
ลู่ยาเพิ่งหาเจอว่ามู่จิ่วลงไปยังโลกมนุษย์ ยังไม่ทันหาตำแหน่งแน่ชัด พลันได้ยินเสียงดังอึกทึกมาจากในลานบ้าน ซ่างกวนสุ่น…คิดไม่ถึงว่าเจ้านั่นจะยังตามมาถึงที่นี่?
พลังฤทธิ์ของเด็กสาวคนนั้นได้ผลอย่างมากจริงๆ นางไปแค่ค่รึ่งวันโชคร้ายก็มาเยือนเขาแล้ว!
แต่เขาก็ไม่กลัว เพราะใช้คาถาซ่อนกายและกางเขตพลังไว้แล้ว พวกนั้นหาเขาไม่พบหรอก ต่อให้แหกปากร้องดังกว่านี้ แต่ถ้าไม่มีหลักฐานก็เสียแรงเปล่า
เขากลับไปในห้องอย่างใจเย็น เตรียมเข้าไปในเขตพลัง บนศีรษะพลันมีเสียง ‘เปรี้ยง’ ดังขึ้น คล้อยหลังเสียงอสุนีบาตเพดานก็ถล่มลงมา เศษกระเบื้องร่วงลงมาทับร่าง ตามมาด้วยอสุนีบาตไม่หนักไม่เบาฟาดลงมายังเขาอีก เทพเซียนที่ซ่อนร่างไว้อย่างเขากลับโดนสายฟ้าสองสายฟาดจนปรากฏกายขึ้น!
คนทั้งสามในลานบ้านอึ้งงันไปเพราะเหตุการณ์ไม่คาดฝันนี้
หยางอวิ้นชี้ไปยังลู่ยาที่ผมขาวหน้าดำอยู่ภายใต้ซากกระเบื้อง พลางปิดปากร้องขึ้นมา! มู่เสี่ยวซิงยกมือขึ้นกุมศีรษะ ต้องกัดฟันแน่นจึงยังคงสติไว้ได้ไม่สลบไป! ส่วนซ่างกวนสุ่นก็กระพือปีกตรงไปหาเขา ร้องเสียงดังว่า “ใช่! เป็นเขา! เป็นเจ้าคนสำอางนี่แหละ! ให้ข้าจับเจ้าเสียดีๆ คราวนี้ข้าเอาอาวุธมาด้วย ดูสิว่าเจ้าจะหนีไปอยู่ไหนได้อีก!”
พูดจบร่างนกก็ลอยขึ้นกลางอากาศ ง้างกรงเล็บที่ยาวออกเป็นสามเท่าพุ่งเข้าไปหาลู่ยา “วันนี้ข้าไม่ล้างแค้นคืนก็ไม่ใช่คนแซ่ซ่างกวนแล้ว!” พูดจบใต้ปีกก็พลันเหวี่ยงลูกตุ้มดาวตกออกมาทุ่มไปทางศีรษะลู่ยา
ลู่ยาคิดไม่ถึงเลยว่าโชคร้ายที่รอเขาอยู่คือซ่างกวนเจ้านกสมควรตายกับอสุนีบาตสองสายนั่น!
เขาตอนนี้เป็นเพียงซ่านเซียน หลังจากโดนอสุนีบาตจะซ่อนร่างต่อได้อย่างไร?
ขณะที่กำลังจะสร้างปราการเซียนขึ้นอีก ซ่างกวนสุ่นกลับไล่กวดเข้ามา!
และเจ้านกสมควรตายนี่แต่เดิมก็มีชื่อเสียงด้านพลังต่อสู้ วันนี้ไม่รู้ว่าเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร ยิ่งไม่รู้ว่าเอาลูกตุ้มดาวตกนั่นมาจากไหน ตอนนี้หากคิดจะซ่อนตัวก็ไม่มีหนทางแล้ว
“ข้าจะไปฟ้องทัพสวรรค์! พวกเจ้ากล้าเก็บซ่อนคนนอกไว้ที่นี่!”
หยางอวิ้นชี้ลู่ยาซึ่งมองเห็นหน้าตาได้ไม่ชัดเจนพลางร้องโวยวาย นางอยากจะบ้าตาย! คิดไม่ถึงว่ากัวมู่จิ่วจะเก็บผู้ชายไว้ในเรือน ซ้ำยังเป็นซ่านเซียนที่พลังไม่เลว ด้านหน้าแบบหนึ่งเบื้องหลังอีกแบบหนึ่ง เจ้าคนหน้าไหว้หลังหลอก! นางต้องเปิดโปงมู่จิ่ว จะทำให้ฝ่ายนั้นอยู่ในทัพสวรรค์ไม่ได้!
นางถอยเท้าเดินออกไปข้างนอก
มู่เสี่ยวซิงได้สติกลับมาจากเสียงโวยวายของหยางอวิ้น แต่นางไหนเลยจะตามไปทัน?
ศาลเจ้าลั่วเสินที่หลินเจี้ยนหรูบอกอยู่ริมแม่น้ำลั่วสุ่ย เดินไปสามลี้ก็ถึงแล้ว
เป็นเพราะหลิวจวิ้นสั่งไว้ว่าห้ามคนอื่นรู้ ดังนั้นก่อนเข้าประตูมู่จิ่วจึงอ้างว่ามีเรื่องต้องอธิษฐาน จากนั้นจึงเข้าไปเติมน้ำมันเผากระดาษ
ในศาลเจ้ามีรูปปั้นของลั่วเสินตั้งอยู่ คิ้วสวยมวยสูง รูปร่างแบบบาง สะโอดสะองอย่างมาก
ลั่วเสินมี่เฟยเป็นบุตรสาวของฝูซี เป็นที่นับถือแถวแม่น้ำลั่วสุ่ย ไม่รู้ว่าหลิวจวิ้นมีเรื่องอะไรมาร้องขอให้นางช่วย? เป็นไปได้ไหมว่าเดิมทีเขาเป็นคนของที่นี่ เคยได้รับความเมตตาจากนาง? มู่จิ่วจินตนาการไม่หยุดอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพียงแต่ถึงแม้ในใจจะคิดแบบนี้ นางก็ไม่มีกระทั่งความคิดที่จะเปิดกระดาษออกดู
เป็นคนต้องรักษาคำพูด ถึงแม้หลิวจวิ้นเป็นคนไม่ซื่อตรงนัก นางก็ไม่สามารถอ้างเหตุผลนี้มาทำผิดต่อเขา
จุดธูปเสร็จ หลินเจี้ยนหรูมือหนึ่งถือขนมแป้งทอดรออยู่ที่ประตู เขาส่งให้นางชิ้นหนึ่ง ทั้งสองคนกินขนมไปพลางเดินทางกลับบ้าน
พวกเขาบำเพ็ญเพียรยังไม่ถึงขั้นที่คิดจะหายตัวไปก็หายตัวได้ สถานที่มีคนเยอะไม่สะดวกสร้างเขตพลัง เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่สงบอันไม่จำเป็น จึงทำได้เพียงออกนอกประตูเมืองเข้าไปในป่ารกทึบของเนินเขาเล็กๆ
แสงอาทิตย์ตกดินส่องทะลุผ่านต้นไม้เห็นเป็นเงาพร้อยบนพื้นหญ้า อากาศพัดพาเอากลิ่นสดชื่นของฤดูใบไม้ผลิมา
มู่จิ่วหันกลับไปมองประตูเมืองที่อยู่ห่างออกไปไกลก่อนพูดขึ้น “ที่นี่เถอะ”
หลินเจี้ยนหรูพยักหน้า เคลื่อนพลังลมปราณท่องคาถาเรียกค่ายกลพร้อมกันกับนาง
มู่จิ่วท่องคาถาไป จู่ๆ กลับเบิกตากว้าง
“เป็นอะไร?” หลินเจี้ยนหรูรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ จึงหยุดท่องคาถา
“ในลมทำไมถึงมีกลิ่นสาบ?” นางดมกลิ่นอย่างสงสัย “เหมือนกับจะมีปีศาจออกมา”
หลินเจี้ยนหรูรีบชักกระบี่ออกมาพลางมองไปรอบๆ
แต่นอกจากเสียงลมพัดผ่านใบไม้ต้นไม้แล้ว รอบด้านก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอย่างอื่นอีก
“ไม่เห็นมีอะไรเลย”
เขาหันกลับมาเผชิญหน้ากับมู่จิ่ว แต่เพิ่งพูดจบ ดวงตาทั้งสองของนางพลันเบิกกว้าง และในเวลาเดียวกันนั้น ก็มีหางจิ้งจอกสีแดงเพลิงโหนต้นไม้ลงมารัดคอเขาไว้แน่น ถึงแม้เขาจะมีกระบี่ในมือก็นำมาใช้ไม่ทัน!
“โชคดีนัก นั่งอยู่เฉยๆ ก็จับได้หนึ่งคน!”
หลินเจี้ยนหรูถูกหางจิ้งจอกจับขึ้นไปกลางอากาศ ยอดต้นไม้มีเสียงเย้ายวนลอยมาอย่างเกียจคร้าน
มู่จิ่วกระโดดขึ้นไปตามเสียงอย่างไม่ลังเล กระบี่ยาวตัดยอดต้นไม้ไปครึ่งหนึ่งตามแรงทะยาน สาวชุดแดงที่งอเข่าซ้ายอยู่บนกิ่งไม้เหมือนกับโดนสายฟ้าฟาดทำให้มึนงง อ้าปากกว้างอึ้งอยู่ตรงนั้น มือของนางมีหลินเจี้ยนหรูที่ถูกหางจิ้งจอกรัดคอไว้ ใบหน้าแดงเถือก
“นังปีศาจ! เจ้าอายุยืนมากนักใช่ไหม?”
มู่จิ่วฟาดฟันกระบี่ไปตัดหางจิ้งจอก ไม่คิดว่าการตอบสนองของอีกฝ่ายจะรวดเร็ว แค่ม้วนตัวไปกับพื้นก็กลิ้งไปถึงต้นไม้อีกต้นแล้ว
“ข้าไม่ได้ทำอะไรเจ้า เจ้ามาทำร้ายข้าทำไม?” นางยืนอยู่บนกิ่งไม้ กอดลำต้นจ้องมู่จิ่ว
เมื่อจิ้งจอกคลายมือ หลินเจี้ยนหรูก็ร่วงลงมา เท้าของเขาเพิ่งจะแตะถึงพื้นก็ชักกระบี่ขึ้นฟันไปยังจิ้งจอกที่อยู่บนต้นไม้!
………………………………………