โดยทั่วไปสัตว์วิเศษทั้งหลายต่างก็มีความทระนงในตนเอง หากไม่มีความสามารถหรือตำแหน่งที่สูงส่ง ก็ไม่สามารถเลี้ยงดูพวกมันไว้ได้ เด็กสาวด้านหน้านี้บำเพ็ญเพียรถึงเพียงขั้นหยวนอิง แต่กลับควบคุมเสือขาวให้เชื่องได้เช่นนี้? ต้องรู้ไว้ว่ากำลังของเสือขาวดูแล้วดุดันกว่านางเยอะนัก!
ในใจของนางเต็มไปด้วยความสงสัย สีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
“ทำไมข้าต้องบอกเจ้าด้วย” มู่จิ่วยิ้มเยาะ
จิ้งจอกเก้าหางนิ่งไป เหลือบมองนางคราหนึ่ง มองคราวนี้กลับลดความเป็นศัตรูลงบ้างแล้ว
นางเดินไปในร่มเงาไม้ของใต้ต้นสน ก่อนพูด “เมื่อเดือนก่อน ลูกจิ้งจอกขาวที่ชิงชิวล้มตายไปสองตัวต่อเนื่องกัน ผ้าคลุมมังกรหลากสีที่คอยปกป้องพวกเขาก็ไม่รู้ไปอยู่ที่ใด แต่ที่เกิดเหตุมีคนเจอป้ายทองแดงลายนกเสวียนของศิษย์ลัทธิฉ่าน”
“และต้นเดือนนี้ น้องชายข้าที่เพิ่งเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ได้ถูกพบว่าตายอยู่ที่ริมน้ำ มีคนจำนวนไม่น้อยที่ชิงชิวเห็นศิษย์ลัทธิฉ่านล่อลวงเขาไปที่แม่น้ำ ตอนที่พวกเราพบเขา จิตจิ้งจอกของเขาไม่รู้ไปไหนแล้ว หากไม่มีสิ่งนี้จิตต้นกำเนิดก็ไม่อาจกลับคืนร่าง ทุกวันนี้แม้แต่วิญญาณก็หาไม่พบ!”
พูดถึงตรงนี้ ดวงตาเยือกเย็นดั่งน้ำแข็งของนางก็กวาดมองหลินเจี้ยนหรูคราหนึ่ง “พวกเราชิงชิวกับลัทธิฉ่านเป็นดั่งน้ำบ่อและน้ำคลอง ไม่ยุ่งเกี่ยวกันและกัน ไม่เคยติดต่อมีปฏิสัมพันธ์กันมาก่อน ไม่รู้ทำไมไท่ซ่างเหล่าจวินถึงเกลียดพวกเราขนาดนี้ ปล่อยให้ลูกศิษย์กล้าเอามือสกปรกมาแปดเปื้อนเผ่าพันธุ์จิ้งจอกไม่ว่า แต่ยังสังหารคนของเผ่าพันธุ์เราอีก!”
“ข้ารู้ว่าหลายปีมานี้ลัทธิฉ่านค่อยๆ มีอำนาจอิทธิพลมากขึ้น แต่ชิงชิวไม่ใช่พวกที่จะรอให้คนมาทำร้ายฝ่ายเดียว เจ้ากล้าเอาชีวิตพวกเรา ข้าก็สามารถทุ่มเททุกสิ่งที่ข้ามีเพื่อถอนรากถอนโคนลัทธิฉ่าน!”
“ศิษย์ลัทธิฉ่านสังหารคนที่ชิงชิว?”
มู่จิ่วนิ่งอึ้ง
เป็นไปไม่ได้หรอกกระมัง? ถึงแม้พวกเขาจะทำตัวกร่างวางอำนาจบาตรใหญ่ แต่ก็ไม่เคยได้ยินว่าจะถึงขนาดสังหารใคร จิ้งจอกแห่งชิงชิวคือเผ่าพันธุ์เทพ พวกเขาไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ? แล้ววิถีของสำนักคุณธรรมที่พวกเขากล่าวอ้างกันเล่า?
จิ้งจอกเก้าหางยิ้มพูด “ข้าจำเป็นต้องสร้างเรื่องหลอกลวงพวกเจ้าด้วยหรือ?”
มู่จิ่วไร้คำพูด
ไท่ซ่างเหล่าจวินถึงแม้จะมีอำนาจ แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้คนใต้บังคับบัญชารนหาที่ตายเช่นนี้ได้ หรือคนเหล่านั้นจะออกนอกลู่นอกทางเอง?
คิดถึงคืนนั้นที่อาฝูเกือบถูกคนของวิมานหลีเฮิ่นจับเอา เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่พวกเขาก่อเรื่องไปทั่ว แท้จริงแล้วต้องการทำอะไรกันแน่? อีกอย่างชิงชิวยังมีผ้าคลุมมังกรหลากสีของลูกจิ้งจอกและจิตจิ้งจอกเก้าหางที่หายไปอีก…อา ทำไมถึงเป็นเรื่องของวิเศษหายไปอีกแล้ว?
ที่เขาเนินอารามก็เป็นเพราะของวิเศษหายจึงนำไปสู่การตายของปีศาจงูเขียว แต่จนถึงทุกวันนี้ฆาตกรก็ยังเป็นปริศนา หรือว่าสองคดีนี้จะมีจุดร่วมกัน?
ใจของนางตื่นตระหนกเล็กน้อย มองไปทางหลินเจี้ยนหรู เขากำลังขมวดคิ้วแน่นราวกับกำลังคิดอะไรอยู่
เกิดเรื่องต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน หลิวจวิ้นยังเพียงบอกปัดว่าไม่ใช่เรื่องของนาง?
ใช่ แน่นอนว่าเรื่องขโมยเล็กน้อยนี่ไม่เกี่ยวกับนาง แต่เรื่องนี้ก็ควรจะมีคำตอบให้แก่คนนอก แม้แต่คนโง่อย่างนางยังดูออกว่าผิดปกติ คนอื่นจะไม่สงสัยบ้างหรือ? วันนี้ได้ยินเพียงว่าปิดคดีแล้ว ทว่าผลเป็นอย่างไรมู่จิ่วและพวกเขากลับไม่รู้เลยแม้แต่น้อย!
หรือที่ตอนนั้นเขาเลือกที่จะจัดการคดีอย่างเงียบๆ เป็นเพราะรู้ว่าเบื้องหลังคดีนี้คือคนของลัทธิฉ่าน?
มีเพียงคนของลัทธิฉ่านที่เขาไม่กล้าล่วงเกิน และมีเพียงเพราะรู้ว่าศิษย์ลัทธิฉ่านทำชั่วเท่านั้น ถึงจะทำให้เขาจำใจต้องแอบจัดการเรื่องที่พวกนั้นทำอย่างลับๆ ไท่ซ่างเหล่าจวินมีอำนาจไปทั่วทั้งสวรรค์ ในวังโตวลวี่ก็มีลูกศิษย์ระดับสูงของไท่ซ่างเหล่าจวินอยู่ไม่น้อย ด้วยความสามารถของพวกเขา การที่จะหลบซ่อนจากกระจกฟ้าดินเป็นเรื่องง่ายนัก!
มู่จิ่วพลันตาสว่าง
“เพียงแต่ไม่รู้ว่าพวกเขาไปถึงชิงชิวได้อย่างไร?”
ถึงแม้นางจะไม่เคยไปชิงชิว แต่คิดดูก็รู้ว่าที่ของพวกเขาจะต้องมีด่านผ่านทางหลายชั้น พวกศิษย์ลัทธิฉ่านทำอย่างไรถึงได้เข้าไปสังหารจิ้งจอกวัยเยาว์ได้ง่ายดายอย่างนั้น?
“ชิงชิวมีทางเข้าสองทาง ทางหนึ่งตรงไปยังวังจิ้งจอกของพวกเรา อีกทางหนึ่งให้ประชาชนเข้าออก ทางที่ไปวังจิ้งจอกเป็นธรรมดาที่จะต้องมีเขตพลังและปราการเซียนอยู่มาก แต่เขตพลังของอีกทางหนึ่งกลับให้ทำเรื่องผ่านทางกับหน่วยอารักขาเท่านั้น พวกศิษย์ชั่วช้ารู้เรื่องนี้ดีแล้วถึงก่อเรื่อง!”
มู่หรงหลิวเย่ใบหน้าเย็นชา เค้นเสียงร้องเย้ยหยัน
มู่จิ่วเข้าใจแล้วจึงถาม “เมื่อกี้เจ้าเพิ่งพูดว่าวังจิ้งจอกของพวกเจ้า หรือเจ้าจะเป็นองค์หญิงแห่งชิงชิว?”
หรือจิ้งจอกที่โดนขโมยจิตจิ้งจอกไปจะเป็นองค์ชายแห่งชิงชิว?
สวรรค์ ลัทธิฉ่านไม่ต้องการมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ!
ถึงแม้ชิงชิวจะเปรียบกับสวรรค์ไม่ได้ แต่ตำแหน่งของพวกเขาในหกภพก็สูงส่งพอกัน
พวกเขาแต่ละรุ่นล้วนดีเลิศ และมีข้อกำหนดเข้มงวดกับการขยายเผ่าพันธุ์ของชนรุ่นหลังสูงมาก สามหรือห้าหมื่นปีจึงออกลูกสาวลูกชายหนึ่งตัว ไม่ว่าจะเป็นด้านพรสวรรค์ที่ติดมากับตัวหรือด้านการเลี้ยงดูก็หาที่ติไม่ได้ หากพวกเขาออกมาทั้งเผ่าพันธุ์ เกรงว่าทั้งหกภพคงจะยืนไม่ติด นี่ไท่ซ่างเหล่าจวินเบื่อที่จะมีชีวิตแล้ว หรือว่าลูกศิษย์ของเขาใช้ชีวิตสบายเกินไปกัน?
ถึงแม้ชิงชิวจะทำลายลัทธิฉ่านไปครึ่งหนึ่ง อวี้ตี้ก็ไม่กล้าประหารพวกเขาทั้งเผ่าพันธุ์ด้วยซ้ำ!
“ข้าคือบุตรีคนที่สามของตระกูลมู่หรงแห่งชิงชิว องค์หญิงหลานเยวี่ย” ดวงตาของมู่หรงหลิวเย่ยังคงเย็นชา แต่เทียบกับตอนแรกแล้วก็มีความเป็นมิตรมากขึ้น
มู่จิ่วรีบประสานมือ นางเป็นองค์หญิงของเผ่าพันธุ์เทพ อีกทั้งยังมีความแค้น การปะทะกันเมื่อครู่ก็ไม่ต้องคิดเล็กคิดน้อยกันแล้ว
เพียงแต่คิดว่าสวรรค์มีท่าทีแบบนี้ นางรู้สึกผิดหวังจริงๆ แต่เดิมคิดว่าอวี้ตี้ซึ่งเป็นกษัตริย์ของสามโลก ทำเรื่องใดก็ควรมีความยุติธรรมตรงไปตรงมา และเข้าใจไปว่าแม้ลัทธิฉ่านจะมีอำนาจสูงส่ง ในใจพวกเขาก็ยังมีความเที่ยงธรรมอยู่ แต่วันนี้ดูแล้วไม่ใช่แบบที่คิดไว้ ลัทธิฉ่านทำผิดต่อชิงชิว ถึงแม้จะไม่ทราบสาเหตุ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็คือขาดคุณธรรมอยู่ดี
นางไม่ได้ทำคดี แท้จริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่คนในหน่วยที่มีหน้าที่จับผู้กระทำผิดกับพวกหน่วยดูแลความสงบของโลกเซียน พวกเขาทำแบบนี้ถือเป็นการผิดต่อคนที่เลือกเขามา รวมถึงสรรพสัตว์ที่จุดธูปเทียนบูชาพวกเขาด้วย
“ไม่ทราบว่าองค์หญิงได้แจ้งเรื่องนี้ต่อสวรรค์หรือยัง?” นางถาม ไม่ว่าอย่างไรสวรรค์ก็มีอำนาจเข้าไปจัดการเรื่อง
“แจ้งเรื่องต่อสวรรค์?” มู่หรงหลิวเย่ยิ้มเยาะ ยกแขนขึ้นมา ผ้าไหมสีแดงบนแขนสะบัดอยู่กลางอากาศก่อให้เกิดเป็นเส้นโค้งดึงดูดสายตา “ธรณีประตูสวรรค์สูงเกินไป พวกเราข้ามไม่ไหว รอจนสังหารพอแล้วก็มีคนไปแจ้งเรื่องเองนั่นแหละ”
สีหน้าของนางสงบราบเรียบ เอ้อระเหยลอยชาย พูดเรื่องสังหารคนออกมาได้ราวกับเป็นเรื่องกินผักกาดขาว
มู่จิ่วขมวดคิ้วมองนาง “เช่นนั้นทำไมเจ้าถึงมาที่นี่? ที่นี่เป็นโลกมนุษย์นะ”
หรือว่าแม้แต่คนธรรมดานางก็สังหารหมด?
“เรื่องนี้พูดไปก็ยาวนัก” มู่หรงหลิวเย่พูด “หลายวันก่อนข้ากับเหล่าพี่น้องไปที่คุนหลุน ระหว่างทางตอนผ่านเป่ยอี๋พบกับเทพเซียนชั้นล่างของศิษย์ลัทธิฉ่านเข้า พวกเราสังหารพวกเขาหนึ่งคน ทำให้บาดเจ็บอีกหนึ่ง คนบาดเจ็บที่หนีไปนั้นข้าตามรอยมาถึงที่นี่ คิดไม่ถึงว่ากลับเจอพวกเจ้า! แต่อย่างไรก็เหมือนกัน ยังไงเขาก็เป็นคนของลัทธิฉ่าน”
สายตาที่นางมองหลินเจี้ยนหรูมีกระแสความลังเลเจืออยู่ ไม่รู้ว่าทำไม แต่วินาทีถัดมา ผ้าไหมแดงบนข้อศอกนางก็ชี้ตรงเข้ามา
หลินเจี้ยนหรูถูกกดดันจนถอยไป สีหน้าขึ้งเครียด ไอสังหารลอยอยู่ในอากาศรอบด้าน
“เป่ยอี๋?”
มู่จิ่วกลับสะดุดใจสองตัวอักษรนี้
………………………………………………