ที่นี่ต้องเป็นชิงชิวไม่ผิดแน่!
ลู่ยากดเมฆลงต่ำไม่หยุด สุดท้ายก็ร่อนลงที่เนินเขาแห่งหนึ่งซึ่งมีภูเขาสูงโอบล้อม ตรงหน้ามีชั้นหินที่เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำเรียงตัวคดเคี้ยวอยู่ระหว่างต้นไม้โบราณ นำทางไปสู่ป่าลึกรกทึบที่สายตามองไม่เห็นสิ่งใด ข้างบนมีต้นไม้ปกคลุมจนมืดฟ้ามัวดิน เหมือนกับตาข่ายที่ถักทอขึ้นโดยช่างฝีมือ มีเพียงแสงสว่างเล็กน้อยส่องผ่านเข้ามาได้
มู่จิ่วกำลังเตรียมก้าวเท้าขึ้นไป ลู่ยากลับยื่นมือไปดึงนางกลับมา
เขากดนิ้วร่ายคาถาไปบนชั้นหิน เห็นเพียงภาพด้านหน้าพลันแตกกระจายเป็นชิ้นๆ เหมือนผิวน้ำโดนกระทบ! รอจนสงบลงแล้ว ไหนเลยจะมีชั้นหินอะไรอีก? หลังจากทิวทัศน์ถูกทำลายลงทั้งหมด สิ่งที่เผยให้เห็นกลับเป็นบ่อน้ำดำลึกไม่เห็นก้นบ่อ กลางบ่อน้ำดำยังมีคลื่นเกิดขึ้นไม่หยุด แสดงให้เห็นชัดเจนว่ามีปีศาจซ่อนอยู่
“เผ่าพันธุ์จิ้งจอกเชี่ยวชาญที่สุดในเรื่องวิชาสร้างภาพมายา ตอนที่พวกเขายังไม่รับเจ้าเป็นเพื่อน ทุกย่างก้าวห้ามประมาทเลินเล่อ”
ลู่ยาเหลือบมองนาง ก่อนไพล่มือไว้ด้านหลัง เดินไปยังหุบเขาลึกทางตะวันออก
มู่จิ่วลูบอกพลางสูดลมหายใจลึกไปหลายที ถึงจะทำให้หัวใจเต้นเป็นปกติได้
พวกเขาเดินมาถึงด้านล่างหุบเขาลึก นี่คือหุบเขาที่มีทางแคบขนาดให้คนเดียวเดินผ่าน ทั้งสองข้างเป็นต้นเถิงหลัว (วิสเตียเรีย) อุดมสมบูรณ์และพุ่มไม้เตี้ย กระทั่งยังมีดอกไม้หลายต้นแทรกอยู่ แต่มองไปแล้วต่างก็ไม่ธรรมดาทั้งสิ้น เพราะรอบด้านแม้แต่หญ้าสักต้นก็ไม่มี สันนิษฐานว่าไม่เป็นพืชมีพิษก็เป็นปีศาจ
เส้นทางแคบมีหินประหลาดขรุขระ เดินลำบากเป็นอย่างยิ่ง ลู่ยากลับมั่นคงนัก เดินอยู่บนนั้นราวกับเดินอยู่ในสวนดอกไม้ มู่จิ่วกลับเดินโอนเอนไม่หยุด ลู่ยาอดรนทนไม่ได้ จึงจูงนางเดินไป
อย่างไรก็ตาม เมื่อเดินไปจนสุดกลับไม่มีทางเดินแล้ว หน้าผาฉับพลันปรากฏให้เห็นในครรลองสายตา และด้านล่างก็ไม่รู้ว่าลึกเท่าไหร่
มู่จิ่วกำลังจะถามลู่ยาว่าทำอย่างไรดี เขากลับปล่อยมือ ดึงปิ่นปักผมออกจากศีรษะ โคจรพลังฤทธิ์ส่งมันขึ้นไปกลางอากาศ เห็นเพียงปิ่นปักผมอันนั้นค่อยๆ เปลี่ยนเป็นงูขนาดใหญ่ยาวสามฉื่อ บินวนอยู่กลางท้องฟ้าหลายรอบ จากนั้นศีรษะของงูตัวนั้นก็กลายเป็นประกายไฟแตกกระจายไปทุกทิศ เสียงคมมีดกระทบกันดังมาไม่ขาดสาย
เมื่อจดจ้องดู ที่แท้ตรงจุดที่ประกายไฟนั้นผสานขึ้นเป็นค่ายกลขอบสวรรค์พอดี หลายปีก่อนตอนอยู่หงชางนางฝึกค่ายกลมามากมายขนาดนั้น ตอนนี้กลับยังดูไม่ออก! กลมายาของเหล่าจิ้งจอกเก้าหางไม่ใช่เรื่องหลอกลวงแน่นอน
“ไปเถอะ”
คล้อยหลังค่ายกลที่ค่อยๆ สลายลง หน้าผาที่อยู่ด้านหน้าก็หายไป ชั้นบันไดหินขยายออกไปด้านหน้าตามทางเดินภูเขาใต้เท้าพวกเขา เบื้องหน้าคือเนินที่เต็มไปด้วยดอกไม้สดใบหญ้าเขียว แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาอย่างอ่อนโยน กระเรียนเซียนกับเหมยฮวาลู่ (กวางซิกา หรือ กวางญี่ปุ่น) กำลังเดินเตร่อย่างเกียจคร้านอยู่ใต้กลุ่มต้นไม้ดอกไม้ซึ่งไม่รู้นาม ไกลออกไปมีบ้านและหมู่บ้านที่มองเห็นได้เลือนราง ความกลมกลืนนี้ เทียบกับทิวทัศน์อันตรายเมื่อครู่แล้วเหมือนเป็นโลกสองโลกที่ไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง
เมื่อหันกลับไปมอง ทางที่เดินมาไหนเลยจะมีหุบเขาลึกอีก?
เห็นชัดเจนว่าเป็นทางที่แสงอาทิตย์ส่องสว่าง!
มู่จิ่วรีบเดินตามลู่ยา เดินไปพลางมองไปพลาง แต่เดินไปได้ไม่นานนางก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันแรงกล้าที่ปะทะเข้าใบหน้า เมื่อเงยสายตามองไปประมาณครึ่งลี้เห็นประตูเมืองเขียวมรกตสูงใหญ่หลายจั้ง กำแพงเมืองซึ่งซ่อนอยู่ใต้ต้นเถิงหลัว ยาวต่อเนื่องไปถึงหมื่นลี้ ป้ายประตูเมืองด้านบนเขียนคำว่า ‘ชิงชิว’ สองข้างยังมีป้ายคำมงคลแขวนอยู่คู่หนึ่ง
ความเก่าแก่สงบเงียบนี้ ราวกับไม่เคยมีผู้ใดมาเยี่ยมเยียนตลอดหลายพันปี
มู่จิ่วเพิ่มความระแวดระวังขึ้นทันที “คราวนี้เป็นภาพมายาหรือค่ายกลลวงตา?”
“นี่คือของจริง” ลู่ยาเหลือบมองนาง พูดจบก็เดินตรงไป ตีอากาศข้างหน้าพลางพูด “หน่วยลาดตระเวนจากค่ายทหารสวรรค์ขอเข้าพบราชาแห่งชิงชิว”
เสียงเขาเหมือนกับลอยไปไกลหมื่นลี้ แต่ละคลื่นละคลื่นมุ่งตรงเข้าไปในประตูเมือง
ที่แท้ตรงที่มือตีไปเป็นเขตกำแพงค่ายกลนี่เอง!
มู่จิ่วงุนงง “เจ้าเคยมาชิงชิวรึ?” ดูแล้วคุ้นชินกับเส้นทางนัก
ลู่ยาคิดคำพูดไว้นานแล้ว “ข้าเคยตามอาจารย์ข้ามา”
มู่จิ่วเหลือบมองเขา
“ใครขอเข้าพบราชา?”
ขณะกำลังพูด ประตูเมืองก็เปิดออก ภายในมีนายพลสวมเกราะนำทหารหลายคนเดินออกมา
มู่จิ่วรีบส่งหนังสือราชการให้ “ข้าน้อยกัวมู่จิ่ว ขอเข้าพบราชาด้วยเรื่องงานราชการ”
นายพลผู้นี้กวาดสายตามองนางบนจรดล่าง ส่งหนังสือราชการกลับมา “พวกเจ้ารอก่อน” พูดจบก็เข้าไปในเมืองแล้วปิดประตู
สองคนยืนรออยู่ที่เดิม ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้เผ่าพันธุ์เทพยโสโอหังกันล่ะ?
ยังดีที่อีกฝ่ายรวดเร็ว ทางนี้มองไปรอบๆ ได้ไม่กี่ครั้ง ก็เห็นประตูเมืองเปิดออกอีก นายพลคนนั้นประคองกระบี่สูงค่าไว้ด้วยสองมือขณะเดินออกมา แล้วแทงเข้าไปยังหินหยกใต้ประตูเมือง จากนั้นท่องคาถา ในที่สุดแรงกดดันที่ขวางกั้นพวกมู่จิ่วกับประตูเมืองก็หายไปในพริบตา
นายพลเดินออกมา คราวนี้ประสานมือให้ “ทั้งสองท่านเชิญตามข้ามา”
มู่จิ่วกับลู่ยาแลกสายตากัน ก่อนเดินตามหลังเขาเข้าประตูเมืองไป
ในประตูเมืองยังคงเป็นเนินเขาทอดยาวต่อเนื่องกันไป มีบ้านเรือนกับผืนนากระจายตัวอยู่ทั่ว สิ่งที่ไม่เหมือนกันคือไม่มีภูเขาสูง แต่มีต้นไม้ทึบมากมาย ต้นไม้สูงเสมอฟ้าบดบังเมฆและดวงอาทิตย์ ดังนั้นแสงแดดจึงค่อนข้างสลัวอยู่บ้าง วังจิ้งจอกถูกสร้างอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของป่า ยิ่งเดินเข้าไป แสงแดดก็ยิ่งอ่อนลง แต่ระหว่างทางเดินสองข้างทางมีคบไฟหินจุดสว่าง จึงไม่ต้องเพ่งมองมาก
ไม่รู้ว่าเดินไปนานเท่าไรแล้ว ในที่สุดด้านหน้าก็ปรากฏแสงจากตะเกียงส่องสว่าง จากนั้นมีเสียงต่ำของพิณลอยมา ยิ่งเดินเข้าไปยิ่งกว้างขวาง เมื่อมาถึงบันไดหินขั้นสุดท้าย เบื้องหน้าก็เห็นวังอันสวยงามวิจิตร
ตรงประตูวังมีคนออกมารับ หลังจากทั้งสองฝั่งค้อมศีรษะทักทายกัน อีกฝ่ายดูหนังสือราชการของมู่จิ่ว แล้วจึงค่อยเดินมาข้างหน้าพวกเขา “ราชาของพวกเรากำลังมุ่งหน้าไปบวงสรวงบูชาที่สระน้ำฮั่น ท่านทั้งสองอยากพบ หากไม่ไปที่สระน้ำฮั่นก็ค่อยมาวันอื่น”
ไม่ง่ายเลยกว่ามู่จิ่วจะมาถึงที่นี่ จะยินยอมมาวันอื่นได้อย่างไร? นางรีบพูดว่า “เชิญท่านนายพลนำทาง พวกเราจะไปที่สระน้ำฮั่น”
ชิงชิวไม่ได้มองสวรรค์เป็นสิ่งสลักสำคัญอะไรดังคาด อย่างไรนางก็นับว่าเป็นผู้แทนใช่หรือไม่? ยังมาทำคดีแทนพวกเขาถึงหน้าประตูเลย แต่อากัปกิริยาแบบนี้ แทบจะเทียบเท่าพระญาติของกษัตริย์แล้ว
นายพลผู้นี้ชี้ทางให้พวกเขา “เข้าวังมุ่งไปทางตะวันออกห้าลี้ สุดทางทิศนั้นจะมีวังหลังหนึ่งคือสระน้ำฮั่น”
มู่จิ่วรีบขอบคุณ ลากลู่ยาเข้าประตูเมืองไป
ที่แท้ภายในประตูวังยังไม่ใช่ตัววังจริงๆ เป็นเพียงทางวนยาวเหยียดสายหนึ่ง ทางทิศตะวันออกมีประตู หลังจากผ่านประตูเข้าไปก็เจอกับสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ เก๋งระเบียงอาคารศาลาต่างก็มีหมด มีตะเกียงแต่กลับไม่มีคนหรือสัตว์ รอบด้านสลัวและเงียบสงัด ทั้งยังเย็นอยู่บ้าง แต่มีลูกโลหิตมังกรอบอุ่นร่างกายอยู่จึงไม่เป็นปัญหา
“ตามข้ามาก็พอ”
ลู่ยาเดินนำหน้าพลางเรียกมู่จิ่ว ในสวนสลัวนี้เดินไปก็เหมือนเดินอยู่บนพื้นเรียบ จึงมั่นใจไร้กังวล
มือของเขาอบอุ่นแข็งแกร่ง มู่จิ่วถูกเขาจับจูงแบบนี้ใจก็มั่นคงขึ้นไม่น้อย
“ที่นี่ทำไมไม่มีคน?” นางถาม เป็นถึงสวนของวังกษัตริย์ ไม่มีคนคอยเฝ้าดูออกจะผิดปกติไปหน่อย เห็นแบบนี้แล้ววังของเผ่าพันธุ์เทพกลับเหมือนเป็นสถานที่หลังความตาย ช่างน่าสลดหดหู่นัก
“ใครว่าไม่มีคน? เจ้ามองไม่เห็นเอง” ลู่ยาพูดอย่างเชื่องช้า จากนั้นหยุดฝีเท้าลง หันมายกนิ้วหัวแม่มือลูบเบาๆ บนตาของนาง