มู่จิ่วถอดชุดซ่อนเซียน เผยร่างออกมา จากนั้นไปอยู่ด้านหลังตรงที่เขาสะดุดโซเซ แล้วทำหน้าแลบลิ้นปลิ้นตาใส่
เส่าชิงเบิกนัยน์ตาหงส์ถลึงไปทางนาง ลู่ยาอาศัยตอนที่พลังของเขายังไม่กลับมา ซัดพลังเข้าไปอีก เขาก็ตาเหลือกไม่รู้สึกตัวแล้ว
มู่จิ่วมองดูรอบด้าน คนที่ถูกพลังลมปราณทำให้ล่าถอยไปกลับคืนที่เดิม กระทั่งยังมีหลายคนเดินมาดูทางนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะกังวล “สภาพพวกเราดูแล้วไม่ดีนัก”
นี่คือเขตแดนของราชาจิ้งจอก พวกนางจัดการเก็บกวาดลูกชายของเขา ดูอย่างไรก็เหมือนกับมาเพื่อก่อเรื่องโดยเฉพาะ…
“กลัวไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว” ลู่ยาปัดๆ เสื้อ สีหน้าไม่เปลี่ยนใจไม่เต้นขณะพูด “จิ้งจอกเฒ่านั่นเข้าข้างครอบครัวมาก เจ้าดูเขาสิ เพราะบุตรชายตายก็ก่อเรื่องราวใหญ่โตขนาดไหน? ครานี้พวกเราคิดจะทำให้ราบรื่นคงไม่ไหวแล้ว ยังไงก็รีบไปก่อนเป็นสำคัญ” พูดจบดึงนางมา ท่องคาถาเคลื่อนย้ายออกไปจากที่นี่
เมื่อไปถึงที่ที่ไม่ได้ยินความวุ่นวายเบื้องหลังแล้ว เขาถึงได้ชะลอฝีเท้าลงมองชุดซ่อนเซียนในมือนาง “ดูไม่ออกว่าเจ้ายังมีของเล่นแบบนี้อยู่”
ของเล่นอะไร? นี่เป็นของมีค่าที่หลิวหยางให้นางมา!
มู่จิ่วก้มศีรษะมอง อารมณ์ไม่ดีอย่างมาก “ไม่มีความสามารถ ไหนเลยจะกล้าขึ้นเหลียงซาน?”
พูดจบนางก็ขมวดคิ้ว สิ่งที่เขาพูดไม่สลักสำคัญ ที่สำคัญคือประโยคก่อนหน้านี้…เขาพูดไม่ผิด ทั้งตระกูลจิ้งจอกเฒ่าไม่น่าไปมีเรื่องด้วย ครั้งนี้นางจัดการกับลูกชายเขาไปยังจะมีผลดีอีกหรือ? แต่เรื่องที่ยิ่งทำให้คนพูดไม่ออกคือ ลู่ยารู้ชัดแจ้งว่าพวกนี้ไม่น่าต่อกร แต่ยังทำให้คนเขาหัวหมุนอีก!
ต่อไปนางจะจัดการอย่างไร?
“ที่จริงเจ้าไม่ยื่นมือเข้ามาข้าก็จัดการเขาได้”
นางกำลังจะแสดงความคิดเห็น ลู่ยากลับเปิดปากอย่างสบายๆ ทั้งยังมีท่าทีไม่คิดจะสนทนาต่อ สองเท้าเดินไปข้างหน้าไม่หยุด
มู่จิ่วถลึงตาใส่หลังเขา
ตอนนี้เอง ด้านหน้าพลันมีเสียงน้ำไหลช้าๆ ครั้นตั้งใจฟังให้ดี ยังมีเสียงเบาบางของคนด้วย!
มู่จิ่วเร่งฝีเท้าเดินผ่านทางเล็กๆ ไป เบื้องหน้าพลันปรากฏให้เห็นทะเลสาบสีฟ้าที่มองไม่เห็นขอบเขต และตรงใจกลางทะเลสาบมีกลุ่มวังซึ่งผุดขึ้นมาสอดผสานอย่างมีแบบแผน!
วังทั้งกลุ่มลอยอยู่เหนือผิวน้ำทะเลสาบ ทั้งหมดเชื่อมต่อกันแค่สะพานหินสามสะพานตรงประตูทางเข้า ไม่มีกำแพงวัง เมื่อยืนมองเข้าไปอยู่ที่สวนดอกไม้รอบนอก ทางเดินรอบอาคารในวังแขวนโคมไฟแก้วเต็มไปหมด ดวงจันทร์กลมราวกับถาดเงินบนฟ้าสะท้อนลงมาบนผิวน้ำหน้าวัง น้ำทะเลสาบกระเพื่อมไหวระยิบระยับ ทำให้วังสามชั้นซึ่งจัดวางอย่างมีแบบแผนดูไปแล้วยิ่งงดงาม
และดอกบัวสีน้ำเงินเต็มทะเลสาบนั้นก็กลายเป็นทะเลดอกไม้ที่ยิ่งใหญ่ตระการตา
“ถึงแล้ว! ต้องเป็นที่นี่แน่!” มู่จิ่วได้สติคืนกลับมา
ลู่ยาพยักหน้า เดินขึ้นไปยังสะพานขาวทางทิศตะวันตกกับนาง
ผู้อารักขาที่ตีนสะพานเห็นพวกเขา ก้าวเท้าเข้ามาขวางไว้ “เป็นผู้ใดกัน?”
มู่จิ่วจำเป็นต้องเล่าที่มาที่ไปอีกรอบ
อย่างไรก็ตาม นางเพิ่งพูดจบ ในประตูวังด้านหลังเขาก็มีคนหลายคนเดินออกมาอย่างรวดเร็ว หญิงที่นำมางดงามหาใดเปรียบ นางแขวนหินล้ำค่าสีน้ำเงินร้อยสร้อยกระพรวนทองเล็กบางอยู่ตรงหว่างคิ้ว ขับเน้นให้สีผิวยิ่งขาว เสื้อไหมสีฟ้าบนร่างก็ยิ่งสดขึ้น นางเดินพลางพูดอย่างรัวเร็ว “องค์ชายรองอยู่ไหน?”
มู่จิ่วรีบดึงลู่ยาหลบไปด้านข้าง
คล้อยหลังคำพูด คนผู้นี้ก็เผยโฉมออกมาภายใต้แสงสว่าง ที่แท้นอกจากผิวจะขาวแล้ว ยังจะเป็นสาวงามที่มีดวงตาโตจมูกสวย! เพียงแต่บนใบหน้าสาวงามคนนี้เต็มไปด้วยความเย็นชา เมื่อดูโดยละเอียดจะพบว่าคล้ายคลึงกับมู่หรงหลิวเย่หลายส่วน คนผู้นี้ดูแล้วคงเป็นองค์หญิงสักคนของวังจิ้งจอกอย่างไม่ต้องสงสัย!
มู่จิ่วใจเต้น เท้าที่ก้าวขึ้นก็พลันชักกลับมา
อีกฝ่ายดูท่าทางโกรธขึ้งแบบนี้ นี่นางกับลู่ยายังไม่ทันแจ้งเหตุผลที่มากับราชาจิ้งจอกเลย เรื่องมู่หรงเส่าชิงถูกพวกเขาจัดการมาถึงสระน้ำฮั่นแล้วหรือ?
คิดไม่ถึงว่าจะเร็วขนาดนี้? นางยังไม่ทันเตรียมตัวเลย!
“ตอนนี้ทำอย่างไรดี?” นางหันศีรษะกลับมามองลู่ยา
ลู่ยากลับสบายๆ “เข้าไปก่อนค่อยว่ากัน”
มู่จิ่วไม่รู้จะว่าอย่างไรดี แต่ก็ไม่อาจไม่เห็นด้วย ชิงชิวจะก้าวร้าวอย่างไร ปีนั้นตอนที่แต่งตั้งเทพก็ได้ให้สัตย์ไว้ว่าจะอยู่ภายใต้การปกครองของสวรรค์ พวกเขารับคำสั่งมา บุตรของราชาจิ้งจอกขวางทางโดยไม่ฟังคำอธิบายไม่ว่า แต่ยังลงมือทำร้ายคน อย่างไรก็นับได้ว่ามีโทษขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่? อย่างไรเบื้องหลังนางก็ยังมีทัพสวรรค์หนุนอยู่ แท้จริงแล้วนางไม่มีอะไรต้องกลัวเลย
รอจนปลายสะพานสงบลงแล้ว พวกเขาจึงเดินเข้าไป
ชี้แจงจุดประสงค์ในการมาเยือนต่อผู้อารักขาประตูวัง ตรวจดูหนังสือราชการแล้ว ผู้อารักขาก็พาพวกเขาเข้าไป ผ่านไปได้สองด่านจุดตรวจก็มากขึ้น มาถึงตำหนักกลางหลังใหญ่ยิ่งอารักขาเข้มงวด เพียงดูก็รู้ว่าเป็นที่สำคัญไม่ธรรมดา
หลังจากผู้เฝ้าประตูเข้าไปแจ้งเรื่อง ก็มีคนนำทางมู่จิ่วกับลู่ยาเข้าตำหนัก
ข้างในโถงตำหนักดูล้ำค่าอย่างไรไม่จำเป็นต้องเอ่ย ลำพังเพียงไข่มุกราตรีขนาดเท่าอ่างล้างหน้าหน้าที่เรียงกันสองฝั่งข้างทางก็เพียงพอจะส่องแสงทิ่มแทงดวงตาคนให้บอดได้
บัลลังก์ที่นั่งทำขึ้นจากการฝังหินมรกตล้ำค่านานาชนิด และท่ามกลางแสงไข่มุกเหล่านี้ มีคนชราเคราขาวผู้หนึ่งนั่งอยู่
คนชราสวมเสื้อคลุม ดูไม่ออกว่าทำจากวัสดุอะไร ทว่าอย่างไรก็เบาบางและโปร่งใส ต้องสวมถึงเจ็ดแปดชั้นถึงจะปกปิดร่างกายได้ บนศีรษะมีมงกุฎซึ่งส่องแสงน่าเกรงขามเรื่อๆ มองดูแล้วเหมือนฝังหินห้าสีไว้
ส่วนที่สะดุดตาที่สุดคือบนนิ้วกลางข้างขวามีแหวนเพชรขนาดเท่าไข่ไก่…พูดกันตรงๆ มู่จิ่วอยู่มาสองชาติ ทั้งหมดสองพันกว่าปี เห็นพวกร่ำรวยใหม่มาก็ไม่น้อย แต่คนอวดรวยถึงระดับนี้เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก นางไม่เข้าใจเลย เขาไม่กลัวเพชรนั่นจะทับนิ้วเขาจนข้ออักเสบหรืออย่างไร?
คนผู้นี้ที่ทำให้ใครๆ ตกใจคิดว่าเป็นคนเฝ้าสมบัติ ย่อมเป็นราชาจิ้งจอกแน่นอน
“พวกเจ้ามาจากสวรรค์?” พวกมู่จิ่วทำความเคารพ ส่วนราชาจิ้งจอกก็หยิบถ้วยหยกขึ้นมา พูดเสียงลากยาว
“ใช่ พวกเราคือหน่วยลาดตระเวนของทัพทหารสวรรค์ เพราะช่วงก่อนหน้านี้บังเอิญพบองค์หญิงหลิวเย่เข้า จึงได้รู้ว่าชิงชิวเกิดคดีฆาตกรรมต่อเนื่องกันหลายคดี ดังนั้นสวรรค์จึงส่งข้าน้อยมาเพื่อจัดการคดีนี้”
มู่จิ่วเหลือบเห็นอาการดูถูกจากปลายผมของเขา จึงไม่อาจไม่ก้มตัวลงต่ำเอ่ยเหตุผลที่มาให้ชัดเจน “เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความสงบของแดนเซียน พวกเราหวังว่าจะได้พบผู้เกี่ยวข้อง ถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้น จากนั้นปรึกษาหารือว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร หวังว่าราชาจิ้งจอกจะอำนวยความสะดวก”
อันที่จริงนางสามารถทำไปตามขั้นตอนโดยไม่ไว้หน้า แต่ใครใช้ให้นางไปทำร้ายบุตรชายของเขาเข้าล่ะ? อย่างน้อยตอนนี้คนชรานั่นก็ดูเหมือนยังไม่รู้เรื่อง มีคำกล่าวว่าไม่ยื่นมือตบคนที่มีใบหน้ายิ้มแย้ม นางต้องอาศัยโอกาสนี้สร้างภาพพจน์ที่ดีไว้ก่อนค่อยว่ากัน
ราชาจิ้งจอกดื่มชา ลูบเพชรบนมือ จากนั้นพูดอย่างช้าๆ “แต่คนแก่อย่างข้าไม่ได้ส่งคนไปร้องเรียน เรื่องนี้พวกเราชิงชิวจัดการเองได้ ไม่ต้องการสวรรค์”
มู่จิ่วพูด “ถึงแม้ชิงชิวจะไม่มีคนไปร้องเรียน แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันกับลัทธิฉ่าน ตอนนี้คดียังไม่คลี่คลาย กลับดึงผู้บริสุทธิ์มากมายเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นคดีนี้สวรรค์จึงต้องสอดมือเข้ายุ่ง”