ลู่ยาที่กำลังมองไปข้างหน้าตัวแข็งไปชั่วครู่ แต่ทันใดนั้นเขาก็หันหน้ามา “เจ้าพูดมาก็ใช่ ข้าก็ประหลาดใจ คราวก่อนโดนนกต้าเผิงทำให้บาดเจ็บ ข้ารู้สึกว่าทั้งร่างราวกับไม่มีเรี่ยวแรง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องรักษาบาดแผลเลย หรือจะเป็นเพราะเขาเป็นเผ่าพันธุ์เทพโบราณจึงมีพลังโจมตีค่อนข้างรุนแรง?”
“น้อยๆ หน่อย!” มู่จิ่วมองค้อนลู่ยา แต่เดิมนางรู้สึกว่าไม่ถูกต้องอยู่บ้าง แต่เมื่อเขาพูดแบบนี้ นางก็รู้สึกว่าตนคิดเยอะไปแล้ว
“ตอนนี้พวกเราทำอย่างไรดี?” นางมองไปยังผนังทั้งสี่ด้าน
“แน่นอนว่าต้องตามหาร่างของจิ้งจอกน้อย” ลู่ยามองประตูหินที่ปิดสนิท “ตอนนี้จิ้งจอกน้อยเพียงสูญเสียจิตจิ้งจอกไป ขอแค่รักษาร่างไว้ให้ดี รอจนตามหาจิตจิ้งจอกของเขาพบ ก็จะช่วยเขากลับมาได้ จิ้งจอกเฒ่าต้องนำร่างไปไว้ในที่ที่เหมาะแก่การเก็บรักษาอย่างแน่นอน พวกเราต้องหาเขาให้พบ จากนั้นดูว่าบนร่างมีบาดแผลหรือไม่”
“เจ้าถอยออกไปหน่อย ข้าจะสำรวจดูรอบๆ ปากถ้ำว่ามีทางเข้าออกของลมหรือไม่ หากไม่มี คงทำได้เพียงหาวิธีให้คนข้างนอกเปิดประตูแล้ว”
มู่จิ่วถอยไปตามคำบอก จ้องแผ่นหลังของเขาครู่หนึ่ง พลันพูดออกไปว่า “เจ้าระวังตัวหน่อย”
ลู่ยานิ่งไปเล็กน้อย หันหน้ามายิ้มให้ จากนั้นหันกลับไปสำรวจต่อ
หลังจากที่เมื่อครู่มีนกแร้งเข้ามาลอบโจมตีแล้ว ในถ้ำหินสงบเงียบเหมือนกับจะมีบางสิ่งโผล่ออกมาได้ทุกเมื่อ เพราะแม้แต่เสียงเต้นของหัวใจยังได้ยิน
ถึงแม้มู่จิ่วจะใจกล้า แต่ถูกขังอยู่ในที่มืดสนิทโดยฉับพลัน ก็รู้สึกว่ากลางฝ่ามือมีเหงื่อไหลซึมออกมาบ้าง
“เข้ามาหน่อย” ลู่ยาพลันดึงมือนางมาที่ด้านหลัง “กลัวก็กอดแขนข้าไว้”
“ข้าไม่กลัว” มู่จิ่วปากแข็ง คดีนี้นางร้องขอต่อหลิวจวิ้นอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อให้ได้มา หากแม้แต่นางยังกลัว แบบนั้นจะทำอย่างไรต่อไปได้?
ลู่ยาไม่พูดพร่ำทำเพลง ดึงนางเข้ามาใต้วงแขน ก่อนพูด “เช่นนั้นเจ้าก็ทำเหมือนแขนข้าเย็น ช่วยให้ความอบอุ่นก็พอแล้ว”
มู่จิ่วค้อนเขา ไม่อาจดิ้นรนได้
แต่ตอนนี้เอง เขากลับพลันปล่อยนางออกมา ยกมือปิดปากนาง พูดเสียงเบาว่า “มีคนมา”
มู่จิ่วดวงตาเบิกกว้าง แม้แต่นิดก็ไม่ขยับ รวบรวมสมาธิฟัง ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวดังเข้ามาจากด้านนอก
จากนั้นบนประตูหินก็มีแสงสว่างขนาดเท่าฝาหม้อส่องทะลุเข้ามา แสงนั้นยิ่งสว่างขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุดก็โปร่งแสง ทำให้ถ้ำหินนี้สว่างเจิดจ้า มีคนหนึ่งอยู่ตรงหินที่ส่องสว่างนั้น เผยให้เห็นเพียงแค่ครึ่งร่าง เสื้อสีน้ำเงิน สร้อยกระพรวนทองร้อยหินมีค่าสีน้ำเงิน ช่วงปลายของหินสีน้ำเงินนี้คือดวงตาอันเฉียบคม คนที่มาเป็นมู่หรงเสวี่ยจีนี่เอง!
มู่หรงเสวี่ยจีร้องเฮอะเยาะเย้ยพวกเขา “หลิวกวงถูกพวกเจ้าสังหารไปแล้ว?”
ใจของมู่จิ่วเหมือนมีคลื่นสาดซัดเข้ามาคลื่นแล้วคลื่นเล่า! เจ้าปีศาจจิ้งจอกนี่มาทำอะไร?
“ไม่ใช่” ลู่ยาตอบ “แต่ในสามสิบถึงห้าสิบปีนี้คงจะลุกขึ้นมาไม่ได้”
มู่หรงเสวี่ยจีสายตาเย็นเยียบ พูดว่า “ที่แท้เจ้าก็มีความสามารถอยู่หลายส่วน!”
ลู่ยายักไหล่ ไม่แสดงออกอะไร
มู่หรงเสวี่ยจีกัดฟัน มองเขาอย่างแค้นเคือง หมุนตัวเดินไปหลายก้าว ก็พลันหยุดลงแล้วหันกลับมา จ้องเขาแน่นิ่งหลังผนังหินสว่างที่ขวางกั้น “ข้าจะบอกอะไรเจ้าไว้ พี่รองของข้าไม่ใช่คนที่จะต่อกรด้วยง่ายขนาดนั้น! หากเจ้ารับปากข้าเรื่องหนึ่ง ข้าสามารถปล่อยพวกเจ้าออกไปได้”
“เรื่องอะไร เจ้าพูดเร็ว! หากทำได้พวกเราต้องรับปากแน่!”
มู่จิ่วกระโดดเข้าไปแนบอยู่กับผนังหิน
มีโอกาสแบบนี้ช่างดีจริงๆ ก่อนหน้านี้มู่จิ่วเข้าใจไปว่าจิ้งจอกน้อยตนนี้เป็นคนไม่ดี คิดไม่ถึงว่านางจะพูดด้วยได้เหมือนกัน!
มู่หรงเสวี่ยจีกวาดตามองนางอย่างเย็นชา จากนั้นพูดกับลู่ยา “รั้งอยู่ที่นี่เป็นผู้อารักขาให้ข้า แล้วข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป ไม่เพียงแต่ปล่อยไป ข้ายังจะช่วยพูดกับท่านพ่อให้ช่วยเหลือพวกเจ้าทำคดีด้วย”
“อะไรนะ?!”
มู่จิ่วนิ่งอึ้งไปบ้าง
ให้ลู่ยารั้งอยู่ต่อทำหน้าที่ผู้อารักขา?
นางหันไปมองลู่ยา
“ไสหัวไปซะ!”
ลู่ยาจ้องนาง ปฏิเสธออกไปโดยไม่ต้องคิด เจ้าจิ้งจอกน้อยกลับสนใจในตัวเขา ช่างรนที่ตายนัก!
“หากเจ้ารับปากข้า ข้ารับประกันว่าพี่รองข้าจะไม่มาหาเรื่องพวกเจ้าอีก!” มู่หรงเสวี่ยจีกัดฟันพูด “ไม่มีคนใดสามารถหลุดรอดจากเงื้อมมือของพี่รองอย่างไร้รอยขีดข่วน! ข้าให้เกียรติแก่เจ้า เจ้าไม่ควรไม่รู้จักบุญคุณ!”
ลู่ยาสีหน้าเข้ม แม้แต่มุมสายตายังไม่เหลือบแลนาง
มู่จิ่วมองเขาแล้วมองมู่หรงเสวี่ยจี อดไม่ได้ที่จะเคลื่อนไปยังด้านล่างผนังหินอย่างระมัดระวัง ก่อนกล่าวว่า “ขอถามเจ้าหน่อย ผู้อารักขาที่แท้ต้องทำอะไรบ้าง?”
มู่หรงเสวี่ยจีเหลือบมองนาง ไม่พูดอะไร
มู่จิ่วพูด “เจ้าไม่พูด ข้าก็ช่วยเจ้าโน้มน้าวไม่ได้นะ”
นางกรอกตาไปครึ่งรอบ พูดว่า “เป็นผู้อารักขาขององค์หญิงจิ้งจอก ต้องทำหน้าที่แทนราชบุตรเขย”
ทำหน้าที่แทนราชบุตรเขย? นั่นมันต้องการนายสนมแล้ว?!
จิ้งจอกเลือกคู่ครองเข้มงวดเป็นที่สุด แต่สำหรับเรื่องส่วนตัวกลับทำตามอำเภอใจอย่างมาก จิ้งจอกจอมยั่วตนนี้ดูแล้วคงถูกตาต้องใจลู่ยา เพียงแต่ไม่อยากให้กำเนิดบุตรกับเขา ดังนั้นจึงให้เขาเป็นผู้อารักขา?
ลู่ยายังออกมาทำคดีกับนาง เขาจะรั้งอยู่ที่ชิงชิวได้อย่างไร?
นางจะลืมมิตรภาพแล้วทิ้งเขาไว้ที่นี่ได้อย่างไร?!
แต่คิดดูแล้ว นี่ใช่ว่าจะเป็นไปมิได้ ยังไงเขาก็ไม่มีที่ไป ไม่สามารถรั้งอยู่ที่สวรรค์ตลอดไปได้ วันนี้ไม่ง่ายนักที่จะมีคนรับเขาไว้ อยู่ที่ชิงชิวมีจิ้งจอกจอมยั่วปกป้อง ทั้งชีวิตนี้จะต้องกังวลอะไรอีก?
ที่สำคัญคือจิ้งจอกพราวเสน่ห์ตนนี้รูปร่างหน้าตาสะสวยนัก ยังไงก็เป็นเขาที่ได้เปรียบ จิ้งจอกยังรับปากว่าเพียงแค่เขายอมทำตาม นางก็จะไปโน้มน้าวราชาจิ้งจอกให้ร่วมทำคดี ยังรับประกันอีกว่าจิ้งจอกเงินจะไม่สร้างความลำบากให้อีก มีเงื่อนไขดีขนาดนี้ แค่เป็นผู้อารักขาคงไม่เป็นไรหรอกกระมัง? ออกมาก็พานพบหญิงงาม ใจของเขาคงดีใจจะแย่…
คิดเช่นนี้แล้ว นางจึงกลับไปข้างกายลู่ยาอย่างรนหาที่ตาย จิ้มเอวเขาพลางพูด “มิสู้เจ้ายอมนางเถอะ?”
ลู่ยามองมาด้วยสายตาโหดเหี้ยม
นางลูบคอ ทำใจกล้าพูด “เจ้าคิดดู อันดับแรกชิงชิวมีอำนาจมากมายขนาดนั้น ราชาจิ้งจอกต้องปกป้องเจ้าได้แน่ เจ้าไม่จำเป็นต้องติดตามข้าแล้ว และเจ้าก็อายุไม่น้อย ควรจะลงหลักปักฐานเสียที เจ้ารั้งอยู่ที่นี่ ฝึกตนไปพลาง เป็นผู้อารักขาไปพลาง หากดูแลคนเขาดี ไม่แน่ว่ายัง…นี่…”
นางยังพูดไม่จบ ร่างทั้งร่างก็ถูกลู่ยาใช้พลังฤทธิ์แขวนไว้กลางอากาศ
“นี่เจ้าทำอะไร!”
นางโกรธขึ้งอยู่กลางอากาศ “ข้าทำเพื่อเจ้าทั้งนั้นนะ!”
ลู่ยาเพียงยกมือก็ผนึกปากนางไว้ พลังขุมหนึ่งปะทะเข้าไปที่ผนังหิน แสงบนผนังหินนั้นพลันจางหายไป
นอกประตูมีเสียงร้อง ‘อ๊า’ ดังขึ้นอย่างเจ็บปวด มู่หรงเสวี่ยจีลอยออกนอกประตูไปไกล!
“เจ้ากล้าไม่รับความหวังดี!”
ด้านนอกมีเสียงตะโกนของมู่หรงเสวี่ยจี จากอับอายกลายเป็นเดือดดาล จากนั้นก็มีเสียงเปรี้ยงเปรี้ยง ดังขึ้น ฟังดูแล้วเหมือนกับประตูหินด้านนอกชนกับประตูหินอีกสองบาน
ลู่ยากลับไม่สนใจ แม้แต่มู่จิ่วก็คร้านจะสนใจ เขาเดินเข้าไปในมุม กางเขตพลังที่เขาใช้ที่ลานจื่อหลิงในตอนแรกออกมา แล้วนอนหลับอยู่บนเตียง
มู่จิ่วหมดคำพูดจริงๆ แต่เดิมก็ออกไปไม่ได้ คราวนี้ยังไปแหย่จิ้งจอกจอมยั่วเข้าอีก พวกเขายังจะออกไปได้อีกหรือ?! เจ้าควรเออออไปตามเรื่องก่อนจนนางหลงเชื่อแล้วค่อยว่ากันก็ยังดี!
“รีบปล่อยข้าลงไป!”