เขาถึงขนาดไม่มีความเคร่งเครียดมากด้วยซ้ำ
ตอนที่ราชาจิ้งจอกเร่งฝีเท้าเดินไปถึงด้านหน้า เขาก็เหลือบมองอีกฝ่าย จากนั้นโบกพัดในมือ พูดต่อว่า “เจ้าอยู่มาถึงสองแสนปี วันนี้แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น คิดว่าในใจเจ้าคงรู้อย่างชัดแจ้งดี ข้ามาเพื่อถามเจ้าประโยคเดียว หากข้ามีวิธีทำให้ลูกของเจ้าฟื้นขึ้นมา เจ้าจะทำคดีร่วมกันหรือไม่?”
ราชาจิ้งจอกสูดลมหายใจเย็นๆ เข้าไป ที่เขาตกใจไม่ใช่เพราะลู่ยารู้ว่าเขามีชีวิตอยู่มาสองแสนปี หรือเพราะฝ่ายนั้นพูดโอ้อวดว่าทำให้ลูกชายของเขาฟื้นคืนกลับมาได้ สิ่งที่เขาตกใจคือเห็นได้ชัดว่าลู่ยาเป็นแค่ซ่านเซียน แต่เวลาพูดคำพวกนี้ออกมากลับเหมือนอยู่มานานกว่าเขา ชาติตระกูลดีกว่าเขา กล้าหาญกว่าเขา…
“อ้อ?”
ลู่ยาไม่รอให้เขาตอบ ยกเปลือกตาขึ้น
ราชาจิ้งจอกตัวสั่น จะทำความเคารพเขาโดยไม่รู้ตัว ค้อมตัวไปได้ครึ่งทางก็คิดได้ว่าเจ้าเด็กคนนี้อาจจะเป็นหลีกุ่ย[1] จึงรีบยืดตัวตรงขึ้น ทำหน้านิ่งพูด “เจ้ามีสิทธิ์อะไรมายื่นเงื่อนไขกับข้า?”
ลู่ยาไม่พูด คลี่พัดในมือออกมา นำเม็ดโอสถวิญญาณที่เหมือนก้อนหยกขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลืองวางลงบนโต๊ะ
“…จิตจิ้งจอก?” ราชาจิ้งจอกเห็นเข้า สีหน้าก็พลันเปลี่ยน “หรือนี่จะเป็นจิตจิ้งจอกของลูกชายข้า?!”
เขารีบหยิบมันไว้ในมือ เรียกพลังหยั่งรู้ขึ้นมา กลับขมวดคิ้ว “นี่ไม่ใช่!”
“ถึงแม้จะไม่ใช่จิตจิ้งจอกแต่เดิมของเขา แต่ก็เกิดขึ้นมาจากการรวมกันของพลังวิญญาณในฟ้าดิน ใช้มันเป็นจิตจิ้งจอกเรียกจิตต้นกำเนิดกลับมาได้ และสามารถยืนยันได้ว่าภายในสามปีเขาจะไม่ต่างจากคนปกติ”
ลู่ยารินชาด้วยตนเอง พูดไปพลางดื่มไปพลาง
ราชาจิ้งจอกตื่นตกใจจนไม่รู้จะพูดอะไรดี รีบคายจิตจิ้งจอกของตนเองออกมา วางไว้กลางอากาศกับจิตจิ้งจอกตรงหน้า
เห็นเพียงจิตจิ้งจอกสองลูก นอกจากขนาดเล็กใหญ่แล้ว ไม่ว่าระดับความแวววาวหรือความสะอาดบริสุทธิ์ของพลังก็ไม่แตกต่างกัน และสิ่งที่ยิ่งทำให้คนยากที่จะเชื่อคือ จิตจิ้งจอกใหญ่เล็กทั้งสองไม่มีวี่แววว่าจะต่อต้านกัน จิตจิ้งจอกใหญ่ลอยเคลื่อนไปทางไหน จิตจิ้งจอกเล็กก็ตามไปทางนั้น เหมือนกับสามารถรวมกันเป็นหนึ่ง!
หลอมรวมจิตจิ้งจอกแบบนี้ขึ้นมาได้ ต้องมีความสามารถไม่น้อยแน่!
“ไม่ทราบว่าที่แท้ท่านเป็นเทพจากทิศใด?”
ตอนนี้ราชาจิ้งจอกไม่อาจไม่ถามคำถามนี้อย่างจริงจังแล้ว
เจ้าเด็กตรงหน้าดูแล้วหน้าอ่อนเยาว์อย่างมาก ทำไมถึงสามารถหนีออกมาจากระฆังของเส่าชิง และยังรวบรวมพลังสร้างจิตจิ้งจอกใหญ่ขนาดนี้ได้? ไม่พูดถึงว่าต้องสูญเสียพลังมหาศาลในการรวมพลังลมปราณสร้างจิตจิ้งจอก ที่สำคัญคือต้องสร้างอย่างถูกต้อง และยังจะต้องมีพลังที่ทั้งสะอาดและบริสุทธิ์ด้วย ช่วงนี้เขาทดลองทำมาหลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ
ทว่าคนผู้นี้ไม่พูดไม่จาก็สร้างจิตจิ้งจอกทดแทนให้ลูกชายเขา?
หากพูดว่าเป็นลู่ยาเต้าจู่ แบบนั้นคงไม่มีข้อสงสัยแม้แต่น้อยว่ามีความสามารถนี้อยู่ แต่ที่สำคัญคือลู่ยาไม่อาจวิ่งไปผสมโรงเรื่องนี้ที่สวรรค์ได้!
“หรือเจ้าจะเป็นไท่ซ่างเหล่าจวิน?!” ราชาจิ้งจอกตกใจกับการคาดเดาของตนเองเช่นกัน
ลู่ยานิ่งไปครู่หนึ่ง มองเขาอย่างล้ำลึก “ข้าแก่ขนาดนั้นหรือ?”
ราชาจิ้งจอกสำลักจนไร้คำพูด
“รับปากหรือไม่รับปาก ว่ามาประโยคเดียว”
ลู่ยายืนขึ้นมา เขาเกลียดที่สุดก็คือชักช้าร่ำไรแบบนี้
ราชาจิ้งจอกรีบครุ่นคิด เงียบไปครู่หนึ่งจึงพูด “ขอเพียงท่านสามารถเรียกจิตต้นกำเนิดของลูกชายข้ากลับมา คนแก่อย่างข้ารับปากทั้งหมด”
ลู่ยาเหลือบมองเขา “เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”
พูดจบก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาออกจากประตูหายตัวไปในความมืด
ราชาจิ้งจอกก็ไม่กล้าชักช้า รีบใช้คาถาส่งข้อความไปยังราชินีจิ้งจอกที่วังหลิง จากนั้นเก็บจิตจิ้งจอกแล้วตามไป
ราชินีจิ้งจอกรีบมารออยู่ที่ประตูวัง ไม่พูดมากความ สามคนมุ่งไปยังถ้ำหินที่คุ้นเคยอย่างรวดเร็ว
จิ้งจอกน้อยบนแท่นหยกยังคงหมอบอย่างสงบอยู่ใต้น้ำลายของคางคกทอง และระฆังม่วงอมทองก็ยังอยู่บนผิวน้ำของสระมรกต
ลู่ยามองระฆังทองคราหนึ่ง ก่อนเดินเข้าไปทิ่มแทงปลายนิ้ว หยดเลือดลงบนหว่างคิ้วจิ้งจอกน้อย หยดอีกหยดลงบนจิตจิ้งจอกที่หลอมมา จากนั้นนำจิตจิ้งจอกวางเข้าไปในปากของจิ้งจอกน้อยแล้วกระตุ้นพลัง ทั้งสี่ด้านมีเงาที่เดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวหายลอยเข้ามาอย่างช้าๆ ราวกับควันลอยอยู่กลางอากาศ สุดท้ายราวกับเจอทิศทาง จึงรวมตัวกันเป็นแสงสีขาวเข้าไปในร่างของจิ้งจอกน้อย
เปลือกตาของจิ้งจอกน้อยขยับ
ราชาจิ้งจอกใจเต้นระส่ำ พุ่งตรงเข้าไปใกล้เขา “รุ่ยเอ๋อร์!”
จิ้งจอกน้อยส่งเสียงแผ่วเบา จากนั้นยื่นอุ้งเท้าออกมา พยุงตัวช่วงบนขึ้นสะบัดขน ปากเอ่ยพึมพำ ก่อนจะนั่งคุกเข่าบนแท่นหยก ขยี้ดวงตาอันพร่าเลือนมองไปรอบด้าน สุดท้ายหยุดที่ร่างของราชาจิ้งจอก ฉับพลันสายตาก็ส่องประกายยิ่งกว่าดวงดาวบนท้องฟ้าเสียอีก “ท่านพ่อ! ท่านแม่…”
เสียงนี้เหมือนกับไข่มุกร่วงลงบนจานหยก กระจ่างใสไพเราะเหนือเสียงใดๆ บนโลกใบนี้!
“รุ่ยเอ๋อร์!”
ราชินีจิ้งจอกในที่สุดก็ทนไม่ได้ น้ำตาหลั่งริน ยื่นมือไปกอดเขาไว้แนบอก ราชาจิ้งจอกก็น้ำตาไหลเช่นกัน
ในระฆังทองไม่ขยับแม้แต่นิด เวลาผ่านไปแล้วกว่าครึ่งชั่วยาม
ยังดีที่เขตพลังที่ลู่ยาสร้างไว้ช่วยป้องกันเสียงอสูรถึงหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดได้ แต่ถึงแม้จะเป็นแบบนี้ ก็ยังสามารถเห็นพลังของระฆังทองร่วงลงบนเขตพลัง สาดแสงออกมาอย่างต่อเนื่อง
มู่จิ่วนั่งขัดสมาธิเช็ดกระบี่บนพื้น
ซ่างกวนสุ่นกลับไม่อารมณ์ดีแบบนี้ ครึ่งชั่วยามนี้เขาใช้วิถีทางนับไม่ถ้วนเพื่อออกไปแต่ก็ไม่สำเร็จ ตอนนี้เขาง้างกงเล็บเกาะบนผนังของระฆังไว้ เกาะไปพลางด่าไปพลาง หากมู่หรงเส่าชิงได้ยิน เดาว่าคืนนี้ต้องนอนไม่หลับอย่างแน่นอน
มู่จิ่วเชื่อมั่นในตัวลู่ยา อย่างน้อยเขาก็สามารถออกไปได้ เรื่องที่จะช่วยพวกเขาออกไปไม่ใช่เพียงคำพูด
ดังนั้นยามว่างขณะที่เช็ดกระบี่ นางจึงมีอารมณ์ดูซ่างกวนสุ่นบันดาลโทสะ
เห็นเขาหยิบลูกตุ้มดาวตกออกมา นางอดคิดถึงเรื่องหนึ่งไม่ได้ “ใช่แล้ว เจ้าเข้าไปที่หอวิหคแดงได้อย่างไร?”
นางยังไม่ลืมว่าตอนแรกที่เข้าไปในหอวิหคแดงนั้นเจอกับด่านตรวจมากมาย ถึงแม้ด่านตรวจเหล่านั้นจะมองไม่เห็น แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มี เจ้านกนี่ไม่อยู่ในทะเบียนเซียนของทัพทหารทว่ากลับเข้ามาได้ นี่ประหลาดเกินไป หากเขาเป็นนกต้าเผิงในตระกูลใหญ่สี่ทิศยังว่าไปอย่าง ประเด็นสำคัญคือพวกเขาโดนลบชื่อออกจากเผ่าพันธุ์ต้าเผิงไปแล้ว
“รอข้าออกไปได้ก่อนเถอะ ไม่ตีเจ้าจนฟันร่วงเต็มพื้นสิถึงจะแปลก!”
ซ่างกวนสุ่นด่าทอมู่หรงเส่าชิงอีกประโยคอย่างโกรธแค้น จึงค่อยหมุนตัวมาถลึงตาใส่มู่จิ่ว “แค่หอวิหคแดงนับเป็นอะไรได้? ข้าคือคนของตระกูลซ่างกวนแห่งเขาเนินอาราม ใครจะกล้าไม่ไว้หน้าข้า? ไม่ต้องพูดถึงหอวิหคแดงเลย แม้แต่วังหลังหลิงเซียวข้าก็ไปมาแล้ว! พวกเศษผงอย่างพวกเจ้าแม้แต่หัวแม่เท้าข้าก็เทียบไม่ได้!”
มู่จิ่วอดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะเย้ย “เจ้ามีความสามารถขนาดนี้ ทำไมถึงยังถูกจับขังได้สามเดือน?”
ซ่างกวนสุ่นโกรธจนพูดไม่ออก กระโดดขึ้นมาชี้นาง “ข้าจะบอกเจ้าให้! ปากของเจ้าร้ายขนาดนี้ ต้องได้รับกรรมสนอง!”
มู่จิ่วยิ้มเยาะไม่หยุด
ซ่างกวนสุ่นหมดอารมณ์ นั่งลงพิงผนังระฆัง
ทางนี้เพิ่งจะนั่งลงไป ระฆังทองพลันสั่นไหวอย่างรุนแรง จนแม้แต่ร่างกายก็ไม่สามารถรักษาความมั่นคงไว้ได้!
“เกิดอะไรขึ้น!”
เขารีบพยุงร่างกับผนังระฆังยืนขึ้น มู่จิ่วก็ยืดตัวขึ้นเช่นกัน แต่นางเพิ่งจะยืน น้ำที่พื้นก็กระเพื่อมเป็นคลื่นใหญ่! แม้ร่างของพวกเขาที่อยู่ในเขตพลังจะไม่ถึงกับตกน้ำ แต่ภายใต้คลื่นนี้ก็อย่าคิดว่าจะรักษาตนไว้ไม่ให้ได้รับผลกระทบ! และตอนที่นางเพิ่งจะยืนได้นิ่ง ลู่ยาที่ห่างจากนางไปสองก้าวกำลังร่วงไปข้างหน้า…
“ลู่หยา!”
มู่จิ่วตกใจอย่างมาก ลอยเข้าไปกอดเขาไว้แน่นโดยไม่ทันคิด ความเป็นความตายอยู่ที่ความนิ่งของร่างกายบนเขตพลัง