นางสูดหายใจลึก พยายามสงบใจที่เต้นรัว
ไหนเลยจะรู้ว่าการสูดลมหายใจครั้งนี้ กลิ่นไม้กฤษณากลับเข้าไปในจมูกเต็มรัก
คนผู้นี้หอมจริง
นี่ทำให้นางนึกถึงเรื่องตอนเขาช่วยนางนวดยาที่มือเมื่อไม่นานมานี้ นางกลับให้ลู่ยาเต้าจู่นวดน้ำหอมให้…ไม่รู้ว่านับเป็นวาสนาเซียนได้หรือไม่ บันทึกลงในการเลื่อนขั้นในอนาคตของนางหรือเปล่า?
“คิดอะไรอยู่?”
คำพูดเดียวของลู่ยาดึงนางกลับมา
“ไม่มีอะไร” มู่จิ่วพยายามรักษาความนิ่ง พูดว่า “ไม่รู้ว่าท่านเซียนตามหาข้ามีเรื่องอะไร?”
“มีเรื่องบางเรื่องต้องพูดกับเจ้า” สายตาของลู่ยาหยุดอยู่บริเวณปากจมูกของนางครู่หนึ่ง ก่อนผินหน้าไปค้ำตั่งเตียงไว้ เอียงตัวนั่งพลางพูด “ก่อนอื่น เจ้าไม่ได้บอกฐานะของข้าแก่ผู้อื่นไปใช่ไหม?”
มู่จิ่วนิ่งอึ้งไป รีบตอบ “ไม่ได้บอก! ไม่ได้บอกแน่นอน!”
หลายวันมานี้นางยังจัดการตัวเองไม่เรียบร้อยดี จะพูดกับคนอื่นได้อย่างไร? อีกอย่างแต่เดิมนางก็ไม่ใช่คนปากมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังรู้สึกว่าเขามาโดยปิดบังฐานะ แน่นอนว่ายิ่งไม่อาจแพร่งพรายออกไปได้
“เช่นนั้นก็ดี” ลู่ยาพยักหน้า “หากทุกคนรู้ว่าข้าอยู่ข้างกายเจ้า ย่อมไม่ดีต่อการทำคดีของเจ้าอย่างมาก หากเจ้ายังคิดจะเลื่อนตำแหน่งอย่างราบรื่นแล้วละก็ ทางที่ดีที่สุดคืออย่าพูดออกไป แต่แบบนี้ก็มีปัญหาอีก ในเมื่อไม่สามารถเปิดเผยได้ ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะเรียกข้าว่าอะไร?”
มู่จิ่วไร้คำพูด
ใช่แล้ว ในเมื่อไม่สามารถเปิดเผยฐานะออกไป ก็เรียกเขาว่าท่านเทพไม่ได้ ไม่เรียกท่านเทพจะเรียกอะไรล่ะ?
“ไม่รู้ว่าท่านเทพมีคำแนะนำอะไรหรือไม่?” นางเอี้ยวตัวมาถาม
ลู่ยาขมวดคิ้ว “ข้าคิดว่าให้เจ้าเรียกข้าลู่ยาเหมือนเดิมไปเสีย”
มู่จิ่วเม้มปากแน่นมองเขา อายุนางกับเขาไม่รู้ต่างกันกี่หมื่นปี ไม่รู้ว่าเป็นบรรพบุรุษนางได้กี่รุ่น แต่ให้นางเรียกชื่อเขาตรงๆ? ถึงเขาจะเอ็นดูชนรุ่นหลังไม่คิดเล็กคิดน้อย นางก็ทำไม่ได้!
“มะ…ไม่เช่นนั้นให้ข้าโกหกไป บอกว่าท่านเป็นอาจารย์อาที่หายไปหลายปีของข้า?”
อาจารย์อาที่หายไปหลายปี? ทำไมนางไม่บอกว่าเป็นบรรพบุรุษที่หายตัวไปนานหลายปีเลยเล่า!
ลู่ยามองนางอย่างล้ำลึก “จะอาจารย์อาได้อย่างไร? ในเมื่อไม่นานมานี้พวกเราเพิ่งเปิดเผยว่าเป็นคู่หมั้นกัน ถ้าอยู่ๆ พลันกลายเป็นอาจารย์อา ถึงเจ้าจะเชื่อ แต่คนอื่นไม่เชื่อแน่”
มู่จิ่วหน้าสลด
พูดถึงเรื่องคู่หมั้นอะไรนี่ ทำไมนางมักจะรู้สึกเหมือนตกลงไปในหลุมพรางทุกที?
ตอนที่นางยอมรับว่าหมั้นหมายกับเขา แต่ไหนแต่ไรไม่เคยคิดว่าเขายังมีฐานะอื่นอยู่อีก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าฐานะนี้สามารถบดนางเป็นผงได้ตามใจนึกเลย ตอนนี้ทำอย่างไรถึงจะดี?
“ลู่…ลู่ยา?” นางอ้าปากลองดู
“ออ” ลู่ยาเผยอปาก ยกมือขึ้นลูบติ่งหูขาวนุ่มนิ่มของนางที่มองไปแล้วเหมือนหยกขาว “เด็กดี ภายหลังก็ให้เรียกแบบนี้”
มู่จิ่วหันหน้าไปมองมือนั้น หลังคอผุดเหงื่อขึ้นมา
ทำไมนางถึงมักจะรู้สึกว่าเขากำลังเอาเปรียบนางอยู่ล่ะ?
ใจนางปั่นป่วนราวกับทะเลเดือด ไม่รู้ว่าหลังจากด่าใส่หน้าเขาสักทีแล้วจะมีโอกาสรอดชีวิตสักแค่ไหน ยังมีความลับที่แบกรับไว้และเรื่องหมั้นหมายที่น่ารังเกียจนั่นอีก นางเซ็งจะตายอยู่แล้ว
ลู่ยามองใบหน้าที่กลายเป็นขมขื่นพลางยกมุมปาก เก็บมือกลับ ก่อนจะถอยออกมาเงยหน้าขึ้น
ถึงแม้เขาคิดอยากจะสลักคำว่า ‘สมบัติของลู่ยา’ ไว้บนหน้านางนักหนา แต่ชัดเจนว่าเร็วเกินไป เขาไม่อยากถูกนางมองเป็นชายชราตัณหากลับ
ตนมีชีวิตอยู่มาเนิ่นนาน แต่ก่อนเข้าใจว่าความรู้สึกทั้งเจ็ดปราถนาทั้งหกนั้นเจือจางไปแล้ว มาวันนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่แบบนั้น
“เอาละ!” มู่จิ่วเห็นเขาถอยออกไป ราวกับคิดตกแล้ว จึงถอนหายใจพูด “ในเมื่อท่านพูดว่าต้องการรักษาความลับ เช่นนั้นข้าก็ทำได้เพียงล่วงเกินแล้ว แต่หากถึงตอนนั้นข้าทำอะไรไม่เคารพท่านแล้วแอบเจ็บแค้นใจ ภายภาคหน้าท่านก็ไม่อาจโทษข้าได้ ข้ายังต้องสำเร็จขึ้นเป็นเซียน จะให้ท่านเอะอะก็ทำลายรากฐานเซียนไม่ได้”
ลู่ยามองนาง “วางใจได้ ข้าไม่คิดเล็กคิดน้อยขนาดนั้น”
มู่จิ่วยิ้มอย่างสงวนท่าที หากเขาไม่คิดเล็กคิดน้อย หลายวันก่อนทำไมถึงจัดการจิ้งจอกเฒ่าเสียจนทุกข์ทรมาน?
แต่ต่อหน้าคนเตี้ยไม่ควรพูดถึงความสั้น เรื่องราวเหล่านี้นางรู้ไว้ก็พอแล้ว
ทำไมลู่ยาจะไม่รู้ว่ายิ้มนี้ของนางหมายถึงอะไร? สีหน้าจึงนิ่งไป แต่ผ่านไปครู่หนึ่งเมฆคล้อยหมอกคลาย ก็เอ่ยคล้ายเอาใจ “เจ้าชอบอะไร? ข้าจะให้ของแก่เจ้าเสียหน่อย ไข่มุก? สัตว์เทพ? หรือจะเป็นของวิเศษ?”
“ทำไมต้องให้ของข้าด้วย?” มู่จิ่วงุนงง
“เพื่อขอโทษเจ้าเรื่องที่ข้าโกหก” ลู่ยาพูดตามเหตุผล
สีหน้ามู่จิ่วยังคงไม่เห็นด้วย
ลู่ยาคิดไปมา จากนั้นหยิบเอาขวดเล็กขวดหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ พูดว่า “นี่คือมุกศักดิ์สิทธิ์สิบเม็ดแห่งทะเลอุดร ทุกเดือนเจ้ากินหนึ่งเม็ด ถึงแม้ไม่ได้ช่วยเรื่องการเลื่อนขั้นของเจ้า แต่เรื่องเพิ่มความกล้าแกร่งของพลังกลับมีประโยชน์อย่างมาก หลังจากนี้ครึ่งปีเจ้าจะสามารถหักโค่นยอดเขาเช่นของสำนักตะวันอำพรางได้ และมุกศักดิ์สิทธิ์นี้ปลอดภัยนัก ไม่มีผลข้างเคียงภายหลังแน่นอน”
มู่จิ่วรับขวดมา เพิ่งเปิดขวดกลิ่นหอมสะอาดก็พุ่งเข้าจมูก เพียงมองก็เห็นไข่มุกสีฟ้าขนาดใหญ่ประมาณถั่วเหลือง ทั้งยังเป็นของหายาก แต่นางคิดๆ แล้วจึงพูดขึ้น “ในเมื่อท่านเป็นเทพเซียนบรรพกาล ทำไมไม่เลื่อนขั้นให้ข้าเป็นเซียนเสียเลย ข้าจะได้ไม่ต้องอยู่ที่ทัพทหารนี่ถึงห้าร้อยปี”
ลู่ยาเงียบไป เพิ่งจะให้สีแก่นางไปนางก็ตั้งโรงย้อมแล้ว! เขาเอ่ย “จะขึ้นเป็นเซียนได้หรือไม่ต้องมีลิขิตสวรรค์ เจ้าขาดบุญกุศลไปมาก ข้าช่วยเจ้าไม่ได้ หากคิดจะเป็นเซียนก็ก้มหน้าก้มตาสั่งสมบุญกุศลไป”
หากง่ายขนาดนั้น เขาจะยังไปชิงชิวกับนางหรือ? และยังไม่ต้องวุ่นวายกับจิ้งจอกเฒ่านานขนาดนั้นด้วย
ถึงแม้มู่จิ่วจะผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ยังดี
ยังไงต่อให้นางกลับไปโอ้อวดกับพวกศิษย์พี่ที่หงชาง พวกเขาก็คงไม่เชื่อว่านางพบเจอลู่ยาจริง อีกอย่างนางขาดขั้นเดียวก็ถึงปลายทาง ห้าร้อยปีไม่นับเป็นอะไร…หากในห้าร้อยปีนี้บุญกุศลของนางสะสมจนพอแล้วจริงๆ
นางหยิบมุกศักดิ์สิทธิ์ กล่าวขอบคุณหนึ่งคำก็เดินออกประตูไป ลู่ยาไม่ได้รั้งนางไว้
เรื่องนี้ถือว่าผ่านไปแล้ว
ในความเป็นจริงลู่ยาจะเป็นซ่านเซียนหรือเป็นท่านเทพ สำหรับมู่จิ่วก็ไม่ได้มีผลกระทบกับการใช้ชีวิตนัก เพราะคดีต้องตรวจสอบ ชีวิตต้องดำเนินไป เรื่องเดียวที่ไม่เหมือนเดิมคือตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นางไม่ต้องสนใจแล้วว่าเขาจะไปไหนและกำลังทำอะไร
แต่ในใจนางยังโหวงเหวงอยู่เล็กน้อย นางยังคงชอบลู่ยาที่แต่ก่อนฐานะไม่ต่างจากนางเท่าไหร่นัก เพราะเวลาคุยกันไม่จำเป็นต้องระมัดระวัง มาวันนี้ถึงแม้เขาจะยังใกล้ชิดกับนางเหมือนเพื่อนเก่าดังเดิม แต่อย่างไรในใจก็คล้ายมีกำแพงมากั้นเพิ่ม เพราะเขาเป็นเทพเซียนที่สูงส่งไม่อาจเอื้อม ทุกวันนี้นางพูดจาต้องระมัดระวังไม่ให้พลาดพลั้งด่าเขาเข้า
ตกกลางคืน ตอนนางนอนยังครุ่นคิดถึงปัญหานี้
เสี่ยวซิงเห็นนางจ้องเพดานเหม่อลอย ก็ยื่นมือมาตรวจหน้าผากนาง “ไม่สบายหรือ?”
นางส่ายหน้าพูดพึมพำ “หากมีวันหนึ่งข้าบอกเจ้า อันที่จริงข้าเป็นมหาเทพเซียนที่มีภูมิหลังยิ่งใหญ่ เจ้าจะว่าอย่างไร?”