“เช่นนั้นข้าไปเอง!” นางลุกขึ้นเอ่ย
“ไม่ได้”
ลู่ยาพูด “ตำแหน่งเจ้าต่ำไป ผ่านเข้าประตูบ้านเขาไม่ได้หรอก นอกจากนั้น หากคดีนี้เป็นเขาทำจริงแล้วเกิดความหวาดระแวง เขาต้องสร้างปราการเซียนขึ้นมามากมายแน่ แอบลอบเข้าไปก็ไม่ได้ และข้าผนึกพลังไว้ ไม่อาจทำโดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้เลย ส่วนเจ้า…” เขาหันไปหาราชาจิ้งจอก “เจ้ามาโดยปกปิดนาม หากเผยร่องรอยออกไปจริง เกรงว่าจะถูกคนใช้ประโยชน์ อยู่เฉยๆ จะดีกว่า”
มู่จิ่วได้ยินเขาพูดถึงตรงนี้ จึงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น “ข้ามีวิธี น่าจะทำได้!”
….
ยามแสงโพล้เพล้ปกคลุมผืนแผ่นดินใหญ่ ดอกจื่อเถิงและดอกท้อกลายเป็นเงาบนกำแพง ฝ่ายมู่จิ่วพาอาฝูไปด้วย เก็บกวาดจนสะอาดสะอ้านแล้วจึงออกจากเรือน
สถานที่ที่พวกเขาไปคือบ้านหลิวจวิ้นที่อยู่ทางประตูสวรรค์ตะวันตก
สมญานามของหลิวจวิ้นคือก่วงอู่เทียนจวิน ดังนั้นที่พำนักของเขาจึงเรียกว่าจวนเซียนก่วงอู่
คำว่าเทียนจวินสองคำนี้ดูแล้วกล้าแกร่ง แต่จวนเซียนกลับมีเพียงเรือนหยกสามชั้นธรรมดา
ตอนนี้หลิวจวิ้นเพิ่งกลับมาจากหน่วย เซียนรับใช้ถอดเกราะออก รินชาให้ จัดเตรียมเหล้าและอาหารอยู่ในลานบ้านท่ามกลางดอกไม้นานาพรรณ กำลังเตรียมไปอาบน้ำก่อนค่อยมานั่งกินดื่มดีๆ ไหนเลยจะรู้ว่าเพิ่งถอดเสื้อช่วงบนออกหมด ด้านนอกประตูก็บอกว่ากัวมู่จิ่วมา จนไม่รู้ว่ากางเกงของเขาปลดแล้วหรือยังไม่ได้ปลด
จนสุดท้ายช่วยไม่ได้ ต้องสวมเสื้อทั้งหมดกลับเข้ามา แล้วกระฟัดกระเฟียดไปยังลานบ้าน
“กลางดึกแบบนี้ มาหาข้ามีเรื่องอะไร?”
เขาระเบิดอารมณ์ใส่นางพลางกระชับเสื้อคลุม
มู่จิ่วติดตามเขามานาน เรียนรู้ที่จะสังเกตสีหน้าเขาได้บ้าง เห็นสถานการณ์แล้วจึงรีบรินชาเย็นส่งให้เขา ยังเอาอกเอาใจด้วยการใช้ช้อนหยิบกลีบดอกไม้บนผิวน้ำออกให้ด้วย “ข้าสืบหาตัวคนที่น่าสงสัยอย่างมากได้แล้ว”
“เร็วขนาดนี้?” ข่าวนี้ฟังแล้วช่างสบายใจ หลิวจวิ้นนั่งลงอย่างฉับพลัน จากนั้นรับเอาชาของนางมา “เป็นใคร?”
ตั้งแต่เริ่มทำคดีจนถึงวันนี้ยังไม่ถึงหนึ่งเดือน นางกลับมีเป้าหมายแล้ว นับว่าพยายามได้ดี
“กองอารักขาพู่เหลืองอู่เต๋อเจินจวิน”
หลิวจวิ้นนิ่งไปตามคาด
มู่จิ่วรายงานเขาเรื่องร่องรอยเบาะแสว่าหามาได้อย่างไร เป็นธรรมดาที่ในระหว่างนั้นจะลบลู่ยากับราชาจิ้งจอกออกไป จากนั้นพูด “วันนี้ข้าคาดเดาว่าเพราะหนี้รักในชาติก่อน อู่เต๋อเจินจวินจึงพัวพันกับลัทธิฉ่าน เพียงแต่ไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นใคร ใต้เท้าอยู่ที่สวรรค์มานาน ไม่ทราบว่าได้ยินเรื่องนี้มาก่อนหรือไม่?”
“อู่เต๋อเจินจวิน?”
ใบหน้าของหลิวจวิ้นเต็มไปด้วยความสงสัย เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนได้สติกลับคืน เห็นอาฝูหมอบอยู่บนพื้นมองไก่บนโต๊ะอย่างวาดหวัง จึงหยิบให้แล้วเอ่ยขึ้น “ตอนเกิดเรื่องนี้ข้ายังไม่ได้มาอยู่บนสวรรค์ แต่กลับได้ยินมาบ้าง ตอนนั้นไม่มีใครรู้ว่าสามีของหญิงผู้นั้นเป็นใคร สรุปคือหากไม่เกิดเรื่องที่เขากับหญิงคนนั้นผลัดกันกระโดดแท่นประหารเซียน คนนอกก็คงไม่รู้เรื่องกัน”
ที่แท้เขาก็ไม่รู้
มู่จิ่วยิ่งมั่นใจในความคิด พูดว่า “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ใต้เท้ากินข้าวเสร็จแล้วสามารถพาข้าไปเยี่ยมที่พำนักของอู่เต๋อเจินจวินได้หรือไม่?”
หลิวจวิ้นมองดูสีท้องฟ้า ตอบว่า “ยังจะกินข้าวอะไรอีก? ไปก่อนแล้วค่อยพูด”
พูดจบก็ลุกขึ้นไปยังระเบียงทางเดิน
มู่จิ่วรีบเรียกอาฝูให้ลุกขึ้นเดินตามไป
นางพาอาฝูมาเพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าพบอู่เต๋อเจินจวิน เขาเป็นสัตว์เทพ มีประโยชน์ในการยกระดับท่าทางการกดดัน ไม่ใช่เพื่อใช้งานจริงๆ
ที่พำนักของอู่เต๋อเจินจวินอยู่ที่ประตูสวรรค์ตะวันออก ห่างจากเรือนเซียนที่กว้างโล่งไปกว่าครึ่งเมือง แต่นี่ไม่ใช่ปัญหา หลิวจวิ้นเพียงใช้เมฆมงคลก็พาพวกเขาไปถึงนอกที่พำนักเซียนอันยิ่งใหญ่แห่งหนึ่ง
ตอนหลิวจวิ้นเคาะประตู มู่จิ่วถือโอกาสสังเกตรอบนอกที่พัก เห็นเพียงเรือนของขุนนางลำดับสองที่สร้างตามกฎระเบียบ มองผ่านเข้าไปสองสามลี้เห็นกำแพงล้อม ภายในกำแพงยังมีกำแพงอีก ซ้อนกันไปมาจนดูไม่ออกว่ามีกี่ชั้น หน้าประตูมีสิงโตเขียวมีชีวิตคู่หนึ่งเฝ้าอยู่ หลังจากประตูเปิด พวกมันคาบป้ายของหลิวจวิ้นไปดู ต่อมาสิงโตหนึ่งในนั้นเดินเข้าไปรายงาน
มู่จิ่วพูด “ใต้เท้าก็เป็นข้าราชการลำดับสาม ทำไมที่พำนักไม่ยิ่งใหญ่แบบนี้?”
หลิวจวิ้นเหลือบมองนาง “ข้าไม่เหมือนเจ้าที่มีเพื่อนมากมายขนาดนั้น จะเอาสถานที่ใหญ่ๆ ไปทำอะไร?!”
มู่จิ่วถูกยอกย้อน ไหนเลยจะกล้าส่งเสียงอีก
สิงโตเขียวที่เข้าไปรายงานกลับมาพอดี จึงเปิดประตูใหญ่เชิญให้เข้าไป มันทำหน้าเคร่งขรึมยืดอก เดินตามหลังหลิวจวิ้นเข้าประตูไป
สิงโตเขียวเห็นอาฝูที่อยู่หลังสุดก็สะท้านเล็กน้อย อาฝูหยุดเท้าแยกเขี้ยวใส่พวกมัน จากนั้นสะบัดก้นอ้วนๆ เดินเข้าไปข้างใน
ที่แห่งนี้เรียกได้ว่าเป็นจวนเซียนอย่างแท้จริง ไม่เหมือนกับบ้านหลิวจวิ้นที่มองพริบตาเดียวก็เห็นหมด ที่นี่อุดมสมบูรณ์ด้วยต้นไม้ดอกไม้ ถนนเส้นเล็กนำไปสู่สถานที่อันเงียบสงบ ก้าวนึงหนึ่งทิวทัศน์ ลักษณะชดช้อยสง่างาม หากตั้งใจฟังให้ดี ในเมฆหนายังมีเสียงพิณลอยมาบางเบา ระเบียงทางเดินแขวนตะเกียงสว่างไสว แสงตกกระทบบนพันธุ์ไม้ดูเหมือนกับแสงดาว ราวกับน้ำตาของคนรัก
สิงโตเขียวนำพวกเขามาที่ศาลาหลังหนึ่ง เมื่อลมพัดม่านเห็นเพียงเห็นคนสวมเสื้อเขียวเล่นพิณอยู่
เขาก้มหน้าลงเล่นพิณ เสียงพิณช่างเชื่องช้า การเคลื่อนไหวของเขาก็เฉกเช่นเดียวกันกับเสียงนั้น โดยเฉพาะเมื่อมองจากมุมนี้ คิ้วทั้งสองของเขาคมเฉียงเข้าไปถึงจอนผมเหมือนกับที่เล่าลือกันมา ขนตายาวจนปิดบริเวณใต้ตาทั้งหมด สันจมูกและคางราวกับสลักมาจากหยกที่งดงามที่สุด
ถึงเขาจะไม่วัยเยาว์มากนัก แต่ความนิ่งสงบบนใบหน้าและความสันโดษกลับทำให้เขาดูแล้วยิ่งมีเสน่ห์
ดูแล้วคำชมเชยที่ราชาจิ้งจอกมีต่อชิงผิงซิงจวินจะไม่เกินไปนัก ผู้ชายแบบนี้นับได้ว่าละทิ้งทางโลกแล้วจริงๆ
“พวกเจ้ามาแล้ว”
กำลังมองจนใจลอย เสียงพิณก็หยุดลง อู่เต๋อเจินจวินลุกขึ้นจากหลังโต๊ะแล้วเดินเข้ามาอย่างช้าๆ ท่วงท่าราวกับลำธารไหล ราวกับเมฆเหิน พริบตาเดียวก็ถึง มากอีกนิดคงนับว่ามากไป น้อยไปหน่อยคงนับว่าไม่พอ
“ฝีมือพิณของเจินจวินนับวันยิ่งเหนือสามัญ ข้าน้อยฟังจนใจลอย” หลิวจวิ้นยิ้มพลางประสานมือ
หลิวจวิ้นเดิมก็องอาจสง่างาม แต่เมื่อเปรียบกับอู่เต๋อเจินจวินคนตรงหน้าแล้วช่างเหมือนกับดอกล่าปา[1]พบดอกสุ่ยเซียน[2]
“เอ่ยชมกันเกินไปแล้ว” อู่เต๋อเจินจวินยิ้ม ไม่มีคำพูดเกินความจำเป็น ต่อมาครั้นเห็นมู่จิ่วและเสือขาวที่หมอบเงยหน้ามองเขาอยู่ข้างเท้านาง จึงพูดอีก “นี่เป็นแขกที่พบได้ยากยิ่ง”
หลิวจวิ้นบอกถึงฐานะของมู่จิ่วและอาฝู “ไม่นานมานี้ ระหว่างการทำคดีกัวมู่จิ่วพบว่าเสือขาวตัวนี้มีพฤติกรรมแปลกประหลาดอยู่บ้าง อย่างเช่นเขามักจะชอบวิ่งไปทางทิศตะวันออก พอดีข้าน้อยต้องการมาเยี่ยมเจินจวินเพื่อหารือเรื่องการจัดการอารักขางานวันเกิดหวังมู่เหนียงเหนียงในไม่กี่วันนี้ จึงผ่านทางมาถามท่านสักหน่อยว่ามีบ้านไหนทำเสือขาวหายไปบ้างหรือไม่…”
แน่นอนว่าไม่มีใครทำเสือขาวหาย
นี่คือการนัดแนะก่อนมาเพื่อแสดงออกให้สอดคล้องกัน อาฝูยังเหลือบมองอู่เต๋อเจินจวินตามคำพูดของหลิวจวิ้น
อู่เต๋อเจินจวินย่อมไม่คิดว่าอาฝูได้รับการเปิดปัญญาจากลู่ยาอย่างลับๆ มองครั้งนี้เขาก็ทนไม่ได้ ค้อมตัวลงไปอุ้มอาฝูขึ้นมา มองอย่างละเอียดพลางพูด “ถึงแม้ข้าจะดูแลทางทิศตะวันออก กลับไม่เคยได้ยินว่ามีใครทำเสือขาวหาย”