ตอนนี้เรื่องราวกระจ่างขึ้นมาแล้ว ทำไมถึงมาติดอยู่ตรงนี้อีกเล่า?
หาของวิเศษไม่เจอ นางนำเรื่องนี้มาเขียนเป็นหนังสือก็คงไม่มีใครสนใจ ทำคดีต้องกล่าวถึงหลักฐาน ไม่ใช่การคาดเดา
“ข้าว่าเรื่องนี้ยังต้องคิดหาหนทาง เริ่มจากสัตว์เขาเดียวตัวนั้นของเขา” ลู่ยาพูด
“หลีเปิง?” มู่จิ่วอึ้ง
ใช่แล้ว เรื่องทั้งหมดสามารถสืบหามาได้จนถึงตรงนี้ ไม่ใช่เพราะเริ่มจากสงสัยหลีเปิงหรอกหรือ แน่นอนว่ายามนี้อู่เต๋อน่าสงสัยอย่างมาก แบบนั้นสถานที่ที่หลีเปิงไปต้องเป็นปัญหาแน่ และหญ้าบนรองเท้าของเขาก็ต้องเป็นปัญหาด้วย!
นางผลุงตัวยืนขึ้นมา พูดว่า “เช่นนั้นรออีกสักพัก ข้าจะให้ซ่างกวนสุ่นไปเฝ้าเขา!”
ลู่ยาคิดอยู่ครู่หนึ่งค่อยเอ่ย “จับตามองไปก่อนเถอะ”
มู่จิ่วรีบออกจากห้องไป
ราชาจิ้งจอกคิดว่ารออีกก็คงยังไม่ได้ผลออกมา รั้งอยู่ที่นี่ดูไม่ดีนัก ลานบ้านเล็ก เขาอยู่แล้วลำบาก ดังนั้นมิสู้ไปช่วยลู่ยาขโมยกระดิ่งก่อน เรื่องส่งจิ้งจอกน้อยมาเป็นศิษย์สำคัญกว่า ป้องกันเผื่อกลับมาแล้วลู่ยาจะเปลี่ยนใจ
ดังนั้นแม้เสี่ยวซิงจะทำอาหารกลางวันอย่างดีเขาก็ไม่กิน และออกจากสวรรค์ไป
ทางฟากมู่จิ่วกับซ่างกวนสุ่นนำเรื่องมาพูดกันอย่างคร่าวๆ กินข้าวเสร็จซ่างกวนสุ่นก็แต่งตัวเล็กน้อยก่อนออกจากเรือนไป
หลีเปิงไม่ได้ปรากฏตัวทุกวัน ซ่างกวนสุ่นติดตามร่อยรองของเขาต่อเนื่องกันหลายวัน
มู่จิ่วกลับว่างอย่างมาก หลายวันนี้จึงมีเวลาชี้แนะเสี่ยวซิงฝึกพลังภายใน
ลู่ยายิ่งว่าง มีเรื่องหรือไม่ก็มักจะตามหลังมู่จิ่ว ดังนั้นจึงถือโอกาสชี้แนะเสี่ยวซิงไปบ้าง
แน่นอนว่าเรื่องเช่นนี้มู่จิ่วไล่ตามก็ไม่อาจได้มา มีมหาเทพอย่างเขาอยู่ด้วยตนเองก็วางใจได้หมด
วันนี้ขณะดูเสี่ยวซิงฝึกกระบี่ ซ่างกวนสุ่นพลันวิ่งกลับมา หอบหายใจพูดว่า “สัตว์เขาเดียวนั่นโดนขังแล้ว!”
หลีเปิงโดนขัง?
มู่จิ่วรีบยืนขึ้นมาทันที อยู่ดีๆ ทำไมถึงถูกขังได้?
“หลายวันมานี้ข้าจับตาดูเขาโดยเฉพาะอยู่ไม่ใช่หรือ” ซ่างกวนสุ่นพุ่งเข้ามาในเรือน รินชาดื่มก่อนพูด “แต่ตั้งแต่ข้าออกไปวันนั้นถึงวันนี้รวมสิบวันแล้ว ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา ข้าสงสัยว่าเขาไม่อยู่บนสวรรค์ วันนี้อู่เต๋อเจินจวินไปเข้างานที่หน่วย ข้าจึงแอบตามเซียนเด็กในที่พำนักเขาเข้าไป”
“มองดูไปรอบๆ แล้วเขาไม่อยู่ตามคาด! และคืนนั้นที่เจ้ากับหลิวจวิ้นไปเยี่ยมอู่เต๋อ เขาก็ถูกส่งออกนอกสวรรค์ไปแล้ว!”
มู่จิ่วเบิกตาอ้าปากกว้าง
บังเอิญขนาดนี้ นางเพิ่งสงสัยหลีเปิง เขาก็ถูกส่งออกนอกสวรรค์ไป? และยังเป็นคืนนั้นที่นางกับหลิวจวิ้นไปเยี่ยมเยียนพอดีด้วย?
“เขาใช้เหตุผลออะไรส่งหลีเปิงออกไป?”
“บอกว่าลงไปโลกมนุษย์ด้วยตนเองโดยพลการ ฝ่าฝืนกฎสวรรค์ ต้องได้รับโทษ”
มู่จิ่วอึ้งไป พูดทันทีว่า “นี่ชัดเจนว่าเป็นการคิดปกปิดกลับเปิดเผย! หลีเปิงจะลงไปโลกมนุษย์ด้วยตนเองโดยพลการได้อย่างไร? หากเขาลงไปโลกกมนุษย์เอง ต้องไม่เดินอาดๆ อยู่กลางถนนแบบนั้นแน่! เขาต้องไปทำเรื่องแทนอู่เต๋อแน่นอน! อู่เต๋อทำเช่นนี้ หรือจะสงสัยข้ากับหลิวจวิ้นเข้าแล้ว?”
อันที่จริงคนทั้งสวรรค์รู้ว่านางกำลังทำคดีนี้อยู่ และวันนั้นบนถนนนางกับหลีเปิงเกือบจะทะเลาะกัน ในเมื่ออู่เต๋อสามารถวางแผนงัดข้อกับลัทธิฉ่านได้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เป็นธรรมดาที่ต้องไม่โง่ เขาต้องเชื่อมโยงเรื่องก่อนหลังเข้าด้วยกันได้แล้ว จึงชิงลงมือก่อนเพื่อลบล้างคำครหาให้ตนเอง!
“อู่เต๋อยิ่งทำแบบนี้ ยิ่งแสดงว่าการกระทำของเขาไม่ปกติมิใช่หรือ?” ลู่ยากลับยังไม่นับว่ากังวลอะไรมาก “วันนี้ทุกย่างก้าวล้วนเพื่อยืนยันว่าเขาเป็นฆาตกรหลังม่านหรือเป็นผู้บริสุทธิ์กันแน่ และข้าแน่ใจได้ว่าฝ่ายนั้นต้องคิดไม่ถึงว่าพวกเราขุดเรื่องของเขากับหลีหังออกมาแล้ว เขาทำแบบนี้เป็นเพราะต้องการจะป้องกันเหตุที่อาจเกิดขึ้นแน่…เจ้าไปตรวจสอบดูอีกว่าเขาถูกขังอยู่ที่ไหน?”
ซ่างกวนสุ่นรับคำสั่ง เร่งฝีเท้าออกนอกประตูไป
เสี่ยวซิงกับอาฝูเดินเข้ามา “หรือฆาตกรจะเป็นอู่เต๋อเจินจวิน?”
มู่จิ่วรีบทำสัญญาณมือให้นางเงียบ มองดูข้างนอก จากนั้นกดเสียงพูด “เรื่องนี้ต้องเก็บเป็นความลับ ห้ามแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด”
“ข้ารู้” เสี่ยวซิงพูด “ข้าเพียงอยากบอกว่า หลายวันก่อนข้าออกไปซื้อผลไม้ที่ประตูสวรรค์แดนใต้ พอดีได้ยินคนพูดว่าต้องการไปทะเลสาบไร้กังวล และคนสองคนนั้นล้วนเป็นคนของอู่เต๋อซิงจวิน ข้าไปเดินเล่นทุกวันก็เห็นอยู่บ่อยๆ”
“ทะเลสาบไร้กังวล?”
มู่จิ่วใจเต้นเล็กน้อย ส้มครึ่งลูกในมือหยุดอยู่กลางอากาศ ทะเลสาบไร้กังวลอยู่ในที่กันดารทางตะวันตกเฉียงเหนือของเก้าทวีป ได้ยินมาว่าแต่ก่อนเป็นที่บำเพ็ญของพระองค์หนึ่ง ตอนหลังสำเร็จกลายเป็นพระพุทธ ทะเลสาบนี้ก็ไม่มีใครพูดถึงอีก คนของอู่เต๋อเจินจวินไปที่นั่นทำอะไร?
หรือหลีเปิงถูกขังอยู่ที่นั่น?
นางมองลู่ยา เขาเอ่ยว่า “รอซ่างกวนสุ่นกลับมาค่อยว่ากันอีกที”
ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว เสี่ยวซิงเอาผักมาผัดจนหอม ซ่างกวนสุ่นเหมือนกลับมาตามกลิ่น คว้าขาหมูเคี้ยวกลางค่ำคืนก่อนจะเข้ามา “สอบถามมาแล้ว ถูกขังอยู่ที่ทะเลสาบไร้กังวล ก้นทะเลสาบไร้กังวลมีหินทับทะเล สัตว์เขาเดียวถูกขังอยู่ที่ก้นนั่น”
วันที่อากาศร้อนขนาดนี้ทำให้เขาเหนื่อยแทบแย่ ขาหมูใหญ่เท่ากำปั้นเขาก็กินได้ถึงสิบขา!
“เป็นทะเลสาบไร้กังวลจริง!” มู่จิ่วพูดอย่างดีใจ
ลู่ยาผลักข้าวของนางไปตรงหน้านาง “กินข้าวเร็ว กินเสร็จค่อยไป”
หลังจากค่ำคืนคืบคลานมา สองคนกับซ่างกวนสุ่นออกจากเรือนไป
แต่เดิมซ่างกวนสุ่นไม่คิดจะไป เพราะท่าทางของลู่ยาแสดงออกชัดว่าไม่ต้อนรับใครทั้งสิ้น แต่มู่จิ่วยืนกราน เขาจึงทำได้เพียงทำตัวเหมือนเป็นโคมไฟเสีย
ทะเลสาบไร้กังวลอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเก้าทวีปในที่ที่ค่อนข้างกันดาร ไม่รู้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของภพไหน หลังจากพระองค์นั้นกลับไปชมพูทวีปแล้ว ที่นี่ก็ยิ่งรกร้างขึ้นเรื่อยๆ แต่ก่อนมู่จิ่วเคยไปที่แห่งนี้กับหลิวหยางมาก่อน เพราะหลิวหยางบอกว่าน้ำที่ทะเลสาบไร้กังวลสามารถชำระล้างไขกระดูกและจัดกระดูกได้ นางในตอนนั้นถูกสัตว์ร้ายโจมตี จึงต้องบำรุงรักษาร่างกาย
มาวันนี้เวลาผ่านไปพันกว่าปี ทิวทัศน์รอบด้านเปรียบกับตอนนั้นแล้วยิ่งเลวร้าย เหลือบตาขึ้นมองทั้งหมดล้วนเป็นเถาเถิงหลัวสูงเท่าคนหลายคน และเติบโตได้แปลกพิสดารอย่างมาก แม้แต่สัตว์ป่าตัวน้อยที่พลันลื่นไถลผ่านไปยังดูแล้วดุร้ายอยู่บ้าง
ผิวน้ำทะเลสาบกว้างมาก มองไปไม่เห็นขอบ ไกลสุดสายตามีบางอย่างคล้ายจุดสีเข้ม นั่นคือยอดเขาที่ชายฝั่งตรงกันข้าม
“หลังจากข้าร่ายเวทแหวกน้ำแล้ว เจ้าตามหลังข้ามา” ลู่ยาก้มหน้าลงพูดกับมู่จิ่ว จากนั้นประสานนิ้วร่ายเวทไปยังน้ำ น้ำทะเลสาบเขียวมรกตที่กระเพื่อมไหวพลันแหวกออกเป็นสองทาง ปรากฏทางเดินกว้างสามฉื่อมุ่งลึกเข้าไป
เดินลงไปอย่างนี้ไม่ถึงครู่หนึ่งก็ถึงก้นทะเลสาบ ปลากุ้งแต่ละชนิดแหวกว่ายอยู่ข้างกายพวกเขา แต่น้ำกลับไม่สามารถสัมผัสโดนพวกเขาเลยแม้แต่น้อย เดินไปหนึ่งก้านธูปลู่ยาก็หยุดลง พูดว่า “นี่คือหินทับทะเล”
พูดว่าเป็น ‘หิน’ ทับทะเล ความจริงแล้วเป็นหินขนาดใหญ่ ตรงกลางยังมีคุกหินแห่งหนึ่ง รอบด้านมีโซ่คล้องไว้
มู่จิ่วชักกระบี่ฟันโซ่ แผ่นหินที่คล้องไว้ร่วงลงมา ที่แท้คุกหินสร้างขึ้นโดยมัดแผ่นหินเข้าไว้ด้วยกัน
เมื่อแผ่นหินฝั่งนี้ร่วงลงมา อีกสามด้านที่เหลือศูนย์ถ่วงไม่ดี ดังนั้นจึงล้มลงตามเช่นกัน! แต่ตรงกลางกลับไม่มีคนอยู่ เงาของสัตว์เขาเดียวกลับไม่มี!