ตอนมู่จิ่วกลับไปที่หน่วยลาดตระเวน หลิวจวิ้นก็กลับมาแล้ว เฉินอิงก็อยู่ด้วย พวกเขาพูดคุยกันสักหน่อยแล้ว สองคนจึงจัดทหารสิบกว่าคนเตรียมไปยังที่พำนักอู่เต๋อ
ไหนเลยจะรู้ว่าเพิ่งจะก้าวเท้าออกประตูไป ซ่างกวนสุ่นกลับเข้ามาอย่างรีบร้อน “อู่เต๋อไปหาหลีหังแล้ว!”
เฉินอิงไม่รู้ความจริงก็ไม่รู้สึกอะไร ที่จริงอู่เต๋อเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของหลีหัง ถึงแม้จะไปหาเขาก็ไม่มีอะไรน่าประหลาดใจ แต่มู่จิ่วกลับอดตกใจไม่ได้ คาดไม่ถึงเลยว่าอู่เต๋อคนนี้จะมุ่งตรงไปหาหลีหัง? เขาต้องการจะปะทะด้วย!
“รีบไปที่พำนักของหลีหัง!”
นางพูดยังไม่ทันจบก็ออกจากประตูไปแล้ว
ที่พำนักของหลีหังเจินเหรินอยู่ที่บริเวณจงหมิงทางทิศตะวันออกของวังหลิงซี ตอนนี้กำลังอยู่ท่ามกลางแดดยามเช้า
เซียนเด็กที่ประตูกอดพู่พูดกับอู่เต๋อเจินจวินว่า “เจินเหรินออกไปข้างนอกแต่เช้า หากเจินจวินมีเรื่องสำคัญ โปรดมาวันหลังจะดีกว่า”
“งั้นหรือ?” อู่เต๋อเจินจวินไม่ขยับ ก่อนกล่าว “เช่นนั้นข้ารอเขาอยู่ที่นี่ จะได้ไม่เสียเวลาไปๆ มาๆ “
เซียนเด็กอึ้งไป “เจินจวิน…”
อู่เต๋อไม่สนใจ ยืนสงบอยู่ตรงประตูที่พำนัก ท่ามกลางเมฆหมอกมีร่างสวมอาภรณ์เขียวบินมาตามลม ทำให้ท่าทางยิ่งงามสง่ามากขึ้นอีก
เซียนเด็กจนปัญญา ผ่านไปสักครู่จึงรีบเข้าไปข้างใน
ไม่นานนัก เซียนเด็กที่เข้าไปก็ออกมาอีก จากนั้นค้อมตัวพูดตรงหน้า “เชิญเจินจวินเข้าไปได้”
อู่เต๋อเหลือบมองเขา ไม่ได้ถามอะไร เดินเข้าประตูตามเขาไป
หลีหังเป็นขุนนางขั้นหนึ่งใกล้ชิดกษัตริย์ ที่พำนักของเขาย่อมต้องงามน่าดู แต่สายตาของอู่เต๋อก้มลงมองพื้นเล็กน้อยอยู่ตลอด เซียนเด็กนำเขาไปหยุดยังระเบียงทางเดินของที่พำนักเซียนด้านใน ในอากาศมีกลิ่นหอมของดอกไหวลอยมา ระเบียงโล่งกว้างซึ่งยื่นออกไปทางขวาสูงกว่าระเบียงทางเดินสามฉื่อ ขั้นบันไดหยกขาวทอดยาวขึ้นไป ม่านสีแดงเข้มอยู่ท่ามกลางเมฆหมอกราวกับชาดแพร่กระจายอยู่ในน้ำ และเหมือนกับเลือดที่หยดลงไป
นอกจากกลิ่นดอกไหวแล้ว ในอากาศยังมีกลิ่นเหล้าอีกด้วย
เซียนเด็กถอยตัวออกมาค้อมกายประสานมือด้านข้าง อู่เต๋อเดินจึงขึ้นบันไดหินหยกไป
ท่ามกลางม่านสีแดงเข้ม มีโต๊ะหนึ่งตัวเบาะรองนั่งสองตัว บนโต๊ะมีเหล้า และหลังโต๊ะมีคนอยู่คนหนึ่ง หลีหังเพียงสวมเสื้อสีดำสบายๆ นั่งอยู่ในระเบียงที่เปิดกว้าง ผมสีดำเกล้าสูง คิ้วตาจมูกปากเผยความเยือกเย็นสง่างามออกมา อย่างไรก็ตาม จุดสีแดงชาดระหว่างคิ้วกลับเหมือนกับคนงามแต้มสีบนเล็บ กดความทระนงตนที่กดดันคนของเขาไว้
“ดื่มเหล้ายามเช้าขนาดนี้ งานอดิเรกของเจินเหรินช่างน่าสนใจจริง”
อู่เต๋อหยุดที่ประตู คำพูดยังคงเนิบนาบ แต่ในความเนิบนาบนี้ยังแอบซ่อนความโหดร้ายไว้
หลีหังดื่มเหล้าไปสองจอกค่อยเงยหน้าขึ้นมองเขา “ก่อนที่ข้ากับเจ้าจะร่วมกันสถาปนาต้าเว่ย ทุกวันตอนเช้าล้วนดื่มเหล้าหนึ่งกา งานอดิเรกนี้ไม่ใช่ว่าสร้างขึ้นมาด้วยกันกับเจ้าหรือ?” พูดพลางดันจอกเหล้าไปยังฝั่งตรงข้าม “แต่บางทีเจินจวินคงลืมไปบ้างแล้ว อย่างไรชั่วพริบตาเรื่องราวก็เปลี่ยนไปมาก หลายพันปีผ่านมาแล้ว”
อู่เต๋อขมวดคิ้ว “พูดแบบนี้แสดงว่าเจ้ารู้เหตุผลที่ข้ามา”
“ไม่ยากหากจะคาดเดา ไม่ใช่ว่าเจ้ามาสู้อย่างหมาจนตรอกหรือไร”
หลีหังดื่มเหล้าจนหมดจอก สูดกลิ่นเหล้าแล้วลุกขึ้นมา
“ถ้าเช่นนั้นเจ้ารู้ได้อย่างไร” รอยยิ้มของอู่เต๋อหายไป สายตาค่อยๆ เยียบเย็นขึ้น
“ข้ามีพลังบำเพ็ญสูงกว่าเจ้าถึงสองหมื่นปี”
หลีหังกุมมือเดินเข้ามาอยู่ตรงหน้าเขา ยิ้มน้อยๆ พลางพูด “ไม่ปิดบังเจ้าแล้วกัน ข้าคาดเดาไว้แล้วว่าเจ้าต้องมาหาข้า และครั้งนี้เราก็หนีไม่พ้นแล้ว หลายวันก่อนอาจารย์อาน้อยพลันมาเยี่ยมที่วิมานหลีเฮิ่น จากนั้นยังนำเลือดข้าไป นอกจากปฐมวิญญาณแล้ว ได้ยินมาว่าคนอย่างอาจารย์อาน้อยไม่เคยใส่ใจใคร แต่เขากลับหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดเลือดที่ขมับให้ข้า และยังนำมันไปอีก”
“พลังหยั่งรู้ของอาจารย์อาข้าถึงขั้นสุดยอดแล้ว เขาเอาผ้าเช็ดหน้าไป ความรู้สึกแรกของข้าคือเดาว่าเขานำไปเพื่อดูความทรงจำของข้า และในความทรงจำทั้งหมดมีเพียงตอนของเจ้ากับเฟยอีเท่านั้นที่ชัดเจนลึกซึ้งที่สุด เขาคิดจะดูความทรงจำข้าไปทำไม? ทุกวันนี้ไม่เห็นเฟยอีแล้ว แน่นอนว่าจึงเหลือเพียงเกี่ยวข้องกับเจ้าเท่านั้น”
“ข้าแบกความสงสัยนี้ไว้ ไปตรวจสอบเรื่องเจ้า ดังนั้นจึงได้ผลมา ข้าตรวจสอบเจอว่าเมื่อไม่นานมานี้เจ้ากับสัตว์เขาเดียวของเจ้าเคยพบกับคนของหน่วยลาดตระเวนมาก่อน เจ้าถูกคนของหน่อยลาดตระเวนจับตามอง และในขณะเดียวกันอาจารย์อาน้อยก็จับตามองข้า ข้าควบคุมหน่วยทหารมานานหลายปีขนาดนี้ แน่นอนว่าไม่คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องบังเอิญ”
“และคดีที่สามารถทำให้อาจารย์อาของข้าตื่นตัวได้ หากไม่เกี่ยวข้องกับลัทธิฉ่านของพวกเรา ยังจะมีเรื่องอื่นอีกหรือ?”
“ดังนั้นหากข้าเดาไม่ผิด คดีชิงชิวนั้นมีความเป็นไปได้มากว่าเจ้าเป็นคนทำ และเจ้าต้องไม่รู้ว่าเบื้องหลังยังมีอาจารย์อาคอยจับตาดูอยู่ ดังนั้นจึงไม่ได้จัดการเก็บกวาดให้เรียบร้อยหมดจดมากนัก พอดีข้ายังสืบได้ว่าหลิวจวิ้นพาคนของหน่วยลาดตระเวนออกนอกหน่วยไปกลางดึก ถึงแม้ข้าไม่อาจแน่ใจได้ว่าพวกเขาไปทำอะไร แต่รู้สึกว่ายังไงก่อนตายเจ้าก็ต้องมาหาข้าแน่”
ใบหน้าของอู่เต๋อเย็นเยียบอย่างยิ่ง
หลีหังยิ้มๆ พูดอีกว่า “เจ้าทำให้แต่ละเผ่าพันธุ์บาดหมางกันและยังสังหารเผ่าเทพ ตามกฎแล้วมีแต่ประหารชีวิตอย่างเดียว ทำแบบนี้เพื่อผู้หญิงคนเดียวคุ้มแล้วหรือ?”
“ข้ากลับยินดีจะทำ” อู่เต๋อมองเขา “หากข้าใจโลเลไม่หนักแน่นเหมือนเจ้า คงไม่พาเฟยอีกลับยอดเขามรกต นางไม่กลับมากับข้า ข้าก็คงจะไม่กดความรู้สึกนับหมื่นปีไว้ที่นาง เหมือนเจ้าที่เป็นคนแบบนี้ ตลอดชีวิตในใจมีเพียงแต่อำนาจเท่านั้น ตลอดกาลมีแต่ประเมินว่าคุ้มหรือไม่คุ้ม!”
“เป็นเหมือนข้ามีอะไรไม่ดี?” หลีหังยังคงยิ้ม “พวกเราไม่ใช่มนุษย์ หนึ่งชีวิตหนึ่งชาติภพหนึ่งคู่ช่างเพ้อฝัน ว่ากันตามพลังบำเพ็ญของพวกเราแล้ว ถึงแม้ตอนแรกข้าจะไม่รับซูชิว หลายปีถัดมาเฟยอีก็อาจทิ้งข้าไปก่อน หรือข้ายังต้องเก็บความทรงจำนี้ไว้กับชีวิตที่เหลือ? อย่าโง่เลย”
“ในเมื่อเจ้าไม่สามารถหนึ่งชีวิตหนึ่งชาติหนึ่งคู่ครอง ทำไมเจ้าถึงไม่ให้นางรั้งอยู่ที่ยอดเขามรกต!” อู่เต๋อตัดบทคำพูดเขา ถามออกไป “ในเมื่อเจ้าพูดอย่างสบายใจขนาดนี้ เช่นนั้นทำไมต้องยืนกรานพานางไป? หนึ่งชีวิตหนึ่งชาติเจ้ามีหนึ่งคู่ไม่ได้ แต่ข้าทำได้! หากไม่มีการสอดมือของเจ้า ข้ากับนางต้องทำให้เจ้าเห็นได้แน่!”
หลีหังเงียบไป เนิ่นนานกว่าจะพูด “เพราะนางคือภรรยาของข้า”
“นางไม่ใช่แล้ว!”
ใบหน้าของอู่เต๋อขึ้งเครียดราวกับเหล็ก สายตาก็กลายเป็นหนาวบาดกระดูกในพริบตาเดียว
เขาชักกระบี่ข้างเอวออกมา เกือบจะไม่เอ่ยปากอะไร ตรงเข้าไปสังหารหลีหังทันที
หลีหังกระโดดขึ้นไปสูงสามจั้ง หลังคาปลิดปลิวออก เขาฟาดฝ่ามือลงไปยังอู่เต๋อ เรือนอันสวยงามโอ่อ่ากลายเป็นสนามรบ
ตอนมู่จิ่วกับเฉินอิงมาถึงที่พำนักของหลีหัง ก็เห็นคนสองคนอยู่ท่ามกลางแสงอสุนีบาตหินไฟแล้ว! เห็นเพียงเหล่าเซียนเด็กศิษย์ล้วนพุ่งออกมาเพื่อหนีเอาชีวิตรอด สะเก็ดหินเหมือนกับกระสุนบินไปทุกทิศทุกทาง สิ่งที่เกิดขึ้นเรียกคนมาไม่น้อย สะเก็ดหินที่บินมาเกือบทำให้หน้าผากของมู่จิ่วเป็นรูสองรู!
นางรีบคว้าเซียนเด็กผู้หนึ่งมาถามเรื่องราว เซียนเด็กเล่า “อู่เต๋อเจินจวินไม่รู้มาหาด้วยเหตุผลอะไร อาจารย์กับเขากลับปะทะกันขึ้นมา!”