คนผู้นี้ชัดเจนว่าคือผิงหนานอ๋องที่เพิ่มจุดแดงเข้าไป!
มู่จิ่วมองลู่ยาอย่างรวดเร็ว ลู่ยากลับทำราวกับไม่เคยเห็นเขามาก่อน จนหลีหังคุกเข่าลงบอกเข้าพบท่านปู่ซือจู่ลำดับที่สาม ลู่ยาค่อยยกปากขึ้นเล็กน้อย โบกมือขึ้นไป
หลีหังนั่งลงตรงฝั่งขวา ลู่ยาพูดขึ้น “งานยุ่งหรือไม่?”
หลีหังค้อมตัวเล็กน้อย “ตอบท่านอาจารย์อา เรื่องงานเรื่อยๆ”
เสียงของเขาหนักแน่นเจือความทุ้ม จังหวะในการพูดไม่เร็ว ฟังแล้วสุขุมเยือกเย็นยิ่ง
พวกเขาพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ มู่จิ่วฟังไปฟังมาล้วนเป็นคำพูดไร้สาระทั้งสิ้น ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ลู่ยาจึงจะลงมือ รอจนในใจรู้สึกเบื่ออยู่บ้าง จึงมองประเมินไปทางหลีหัง นี่คือหลีหังผู้กล้าหาญแข็งแกร่งจากปากหลิวจวิ้น แต่ตรงหน้านางกลับรู้สึกแค่ว่าเขาพูดคุยอย่างสบายๆ แสดงถึงท่วงท่าของแม่ทัพใหญ่อย่างชัดเจน แต่เมื่อดูอย่างละเอียด หางตาที่ยกขึ้นเล็กน้อยก็เผยให้เห็นความทระนงตนของเขา
“รูปงามหรือไม่?”
ตอนนี้เอง เสียงลู่ยาพลันดังขึ้นข้างหูนางอย่างเยียบเย็น
ใบหน้านางแดงเถือก รีบยืดตัวตรง
หน้านางแดงไม่ใช่เพราะเขารู้เรื่องในใจ แต่เพราะเสียงของเขาใกล้ขนาดนั้น รู้สึกราวกับว่าหน้านางกับเขาอยู่ห่างกันเพียงเส้นผมกั้น ทำให้รู้สึกกระดากอาย
“สงบใจไว้ อีกสักพักในงานเลี้ยงค่อยลงมือ”
เขาพูดประโยคนี้จบก็เงียบลง
ยังมีงานเลี้ยงอีก!
มู่จิ่วไร้คำพูด แต่เขาฐานะสูงส่ง เหล่าจวินไม่จัดงานเลี้ยงก็ช่างไม่เหมาะสมจริงๆ
ดีที่นั่งอยู่ครู่หนึ่งก็ย้ายไปงานเลี้ยงที่ตำหนักอี่ชาง รอจนนั่งพร้อมกันแล้ว ลู่ยาจึงเรียกหลีหังมานั่งที่ด้านขวา “แบบนี้คุยสะดวกหน่อย”
เหล่าจวินรู้มาตลอดว่าอาจารย์อาน้อยผู้นี้ไม่ใส่ใจเรื่องเล็กน้อย ในเมื่อต้องตาศิษย์ของเขาเช่นนี้ ยังจะมีเหตุผลให้ปฏิเสธอีกหรือ?
ลู่ยายิ้มน้อยๆ พลางดึงมือหลีหังให้เขานั่งลงด้วยสีหน้าอารี จากนั้นตอนชักมือกลับ ข้อมือกลับเกี่ยวโดนพู่ในมือมู่จิ่ว มู่จิ่วคาดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ ร่างโผไปข้างหน้า หัวพู่ถากโดนขมับของหลีหังเข้า…หลีหังอยู่ต่อหน้าลู่ยาและเหล่าจวิน แน่นอนว่าไม่กล้าใช้เวทอะไรป้องกัน การปัดโดนคราวนี้ หน้าผากของเขาจึงมีเลือดซึมออกมา
“เจ้าเด็กคนนี้!”
ลู่ยาทำหน้านิ่งต่อว่ามู่จิ่ว หยิบผ้าเช็ดหน้ามากดแผลของหลีหังพลางต่อว่านางต่อ “ทำไมไม่ระมัดระวังอยู่เรื่อย โดนหลีหังเข้าแล้ว! ยังไม่รีบขออภัยอีก?”
มู่จิ่วถึงเพิ่งรู้ว่าที่แท้นี่คืองิ้วฉากหนึ่งที่เขาแสดง!
นางยอมรับว่างิ้วนี้กะทันหันเกินไป ทั้งยังเป็นธรรมชาติเกินไป แต่ย่ามันเถอะ ดีร้ายอย่างไรก็ช่วยบอกกันก่อน! ผลักนางขึ้นเวทีกะทันหันขนาดนี้ ไม่กลัวนางทำเรื่องเสียหรือไร!
นางอดทนก้าวขึ้นไปค้อมตัวข้างหน้า “ข้าน้อยขออภัยเจินเหริน…”
“ไม่ต้องขอโทษ!”
เหล่าจวินรีบลุกขึ้นมา “เป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น อาจารย์อาสามไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ หากนับตามลำดับรุ่นแล้ว หลีหังก็คงรับผิดชอบไม่ไหว”
หลีหังเป็นหลานศิษย์ของลู่ยา เด็กหญิงตัวน้อยตรงหน้าดูแล้วคงเป็นศิษย์เหมือนกับเขา เกรงว่าไม่ใช่ศิษย์เป็นทางการก็มีสถานะเป็นศิษย์และอาจารย์ ไหนเลยจะมีศิษย์ขออภัยหลานศิษย์กันเล่า?
“ในเมื่อเหล่าจวินขอไว้ เจ้าก็ลุกขึ้นเถิด” ลู่ยาไหลไปตามน้ำ จากนั้นเก็บผ้าเช็ดหน้าที่เปื้อนเลือดของหลีหังเข้าไปในแขนเสื้ออย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนพูด “ยังนิ่งทำอะไร? ไม่กินข้าวต่อรึ?” พูดจบเขาก็หันไปยิ้มกับเหล่าจวิน “เด็กของข้าคนนี้กำลังโต แม้แต่ครึ่งมื้อก็ขาดไม่ได้”
เหล่าจวินได้ยินดังนี้ จึงรีบลุกขึ้นทำหน้าเคร่ง “ใครก็ได้ ไปเตรียมสำรับให้เซียนท่านนี้”
เขาอยู่มานานขนาดนี้ จนกลายเป็นคนเข้าใจโลกไปแล้ว คำพูดนี้ของลู่ยาหมายถึงอะไรจะไม่เข้าใจได้หรือ?
ในภาพจำของเขา ลู่ยาไม่เคยใส่ใจใครมาก่อน แต่กลับสนใจอาหารสามมื้อในวันหนึ่งของนาง หญิงคนนี้ต้องมีที่มาไม่ธรรมดาแน่ เขาไหนเลยจะล่วงเกินไหว? ย่อมต้องกำชับเป็นพิเศษ
หลีหังกลับมองผ้าเช็ดหน้าเปื้อนเลือดที่ลู่ยาเก็บเข้าไปในแขนเสื้ออยู่ครู่หนึ่งก่อนละสายตากลับมา ยกจอกเหล้าขึ้นชิดริมฝีปาก จิบลงไปเล็กน้อย จิบเสร็จจึงมองมู่จิ่วคราหนึ่ง แต้มแดงเหมือนกับหยดเลือดระหว่างคิ้วราวกับสว่างขึ้นมา
มู่จิ่วไปกล้าสบสายตากับเขา ทำทีเป็นคุยกับเซียนเด็กที่นำทางมาก่อนหน้า ออกจากประตูตำหนักไปไม่ช้าไม่เร็ว
เหล่าเซียนจัดการรวดเร็ว ช่วงเวลาแค่เดินมา โต๊ะอาหารก็ถูกจัดไว้เรียบร้อย เห็นแล้วก็ทำให้นึกอยากอาหาร ดังนั้นจึงหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบกิน
นางคิดถึงเรื่องที่ทำลายเขาของสำนักตะวันอำพรางขึ้นได้ อวี้ตี้ยังลงโทษนางด้วยอสุนีบาตสามสาย คิดไม่ถึงว่าเพิ่งผ่านไปไม่กี่เดือน นางกลับมากินข้าวอยู่ข้างลู่ยาในวิมานหลีเฮิ่น เรื่องบนโลกช่างยากจะคาดเดาจริงๆ แต่เมื่อคิดถึงหลิวหยางที่พลอยต้องรับอสุนีบาตสามสายแทนนาง นางก็อยากจะถามหาเหตุผลกับเหล่าจวิน!
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่านางโดนลัทธิฉ่านขึ้นบัญชีดำ วันนี้ยังทำคดีล้างอายแทนพวกเขาอีก!
บางทีอาจเพราะลู่ยานั้นยิ่งใหญ่เกินไป เหตุการณ์ต่อไปจึงไม่มีคลื่นลมอะไร
เพียงแค่สายตาของหลีหังที่มองนางครั้งนั้น จากนั้นก็ไม่มีอะไรอีก แท้จริงแล้วนางก็ไม่ปฏิเสธหากเขาเดินเข้ามาถาม เช่นนี้ไม่แน่ว่านางอาจได้เบาะแสมาบ้าง แต่กลับไม่มีเลย
จากยามที่นางกินข้าวจนถึงดื่มชา และกลับไปยังตำหนักด้านหน้าข้างกายลู่ยา ก็ไม่มีเรื่องนอกเหนือความคาดหมายใดเกิดขึ้น
หลีหังนั่งอยู่ข้างขวาของลู่ยา นั่งฟังเขากับเหล่าจวินคุยกันตั้งแต่ต้นจนจบ ท่าทางเคารพแต่ผ่อนคลาย อย่างไรก็ตาม ดวงตาทั้งคู่กลับนิ่งลึกจนคนคาดเดาไม่ออก
หลังผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม พวกเขาก็พูดคุยจบแล้ว ลู่ยาจึงลุกขึ้นบอกลา
ไท่ซ่างเหล่าจวินพาเหล่าศิษย์ไปส่งพวกเขาหลายร้อยลี้จึงหยุดลง
ลู่ยาจัดขบวนเดินไปเรื่อยๆ ตลอดทาง จนกระทั่งถึงทะเลแดนใต้จึงค่อยหยุดลง ผนึกพลังกลับเข้าไป แต่ละคนกลับคืนสู่ร่างเดิม หงส์วิหคเขียว เซียนหญิง และอ๋าวอินล้วนค้อมกายจากไป กลิ่นอายมงคลรอบด้านล้วนไม่เห็นแล้ว
มู่จิ่วค่อยรู้สึกว่าลู่ยากลับมาใกล้ชิดอีกครั้ง
พูดตามจริง ถึงแม้รับเรื่องที่เขาเป็นมหาเทพได้แล้ว แต่ก็จำกัดขอบเขตอยู่ในชีวิตประจำวัน หากต้องจัดขบวนแบบนี้ มีคนติดตามมากมายแบบนี้จริง นางก็ไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเขาอย่างไร
ลู่ยาราวกับมองทะลุจิตใจนาง ไพล่มือพูดอย่างสบายๆ “ปกติเมื่อไปเยี่ยมเยียนข้าไม่จัดขบวนแบบนี้ เพียงแค่ข้าไม่ได้ไปวิมานหลีเฮิ่นนานแล้ว เกรงว่าไปกะทันหันจะทำให้คนสงสัย ดังนั้นจึงตั้งใจเล่นให้ใหญ่เหมือนมากินข้าวแบบไม่เสียเงิน”
มู่จิ่วหลั่งเหงื่อ
ไม่รู้ว่าเหล่าจวินจะว่าอย่างไร หากรู้ว่าอาจารย์อาน้อยของเขาคนนี้ นอกจากตั้งใจไปตีศิษย์เขาแล้ว ยังตั้งใจไปกินข้าวแบบไม่เสียเงินอีก?
ลู่ยาพูดอีก “หากจะจัดขบวนจริงๆ แล้ว แค่นี้ยังไม่พอ”
มู่จิ่วมีสีหน้าอ่อนล้า
ครั้นกลับไปถึงลานจื่อหลิง เสี่ยวซิงพาอาฝูออกไปจ่ายตลาด ในปากคาบหยกโมราชิ้นหนึ่ง หลังจากเห็นมู่จิ่วก็พุ่งเข้ามาหานางอย่างดีใจ
“ได้หยกมาจากไหน?” นางถาม
“ราชาจิ้งจอกให้เขา” เสี่ยวซิงถอนหายใจ “แต่เช้าก็เอาเจ้านี่มาแหย่เด็กน้อย ทำเอาเขาไม่กินแม้แต่อาหารเช้า!”
ราชาจิ้งจอกกลับไม่ใช่คนขี้เหนียว
มู่จิ่วเม้มปากยิ้ม เข้าประตูไป
ซ่างกวนสุ่นกำลังทำความสะอาด ปกติเขาที่ปากร้ายอย่างหนัก เวลาทำงานบ้านกลับจัดการได้เป็นระเบียบ
ทางฝั่งนางเข้าไปในเรือนลู่ยา ราชาจิ้งจอกซึ่งพักอยู่ใต้ต้นจื่อเถิงเห็นสถานการณ์ก็รีบตามเข้ามา