มู่จิ่วเข้าประตู มุ่งตรงไปยังลานล้อมด้วยกำแพงขาวทางทิศตะวันออกที่มีสามห้อง นี่คือห้องทำงานสำหรับเหล่าผู้ดูแลร้าน และเป็นที่ที่เถ้าแก่หงส์นั่งทำงานอยู่เป็นประจำ
เพิ่งเดินเข้าไปตามทางป่าไผ่หลายจั้ง ตรงมุมด้านหน้าพลันมีเสียงพูดคุยดังมา ฟังแล้วเป็นเถ้าแก่หงส์ กำลังจะทักทาย กลับได้ยินอีกฝ่ายพูด “ตระกูลอวิ๋นกับตระกูลกงของพวกเราไม่เหมือนกัน ถึงแม้ล้วนเป็นหงส์ แต่ตระกูลอวิ๋นทุกสามพันปีต้องผ่านเคราะห์ไฟหนึ่งครั้ง ดังนั้นตอนนี้ตระกูลพวกเขาในรุ่นเดียวกันและชนรุ่นหลังจึงมีไม่ถึงสามคน คราวนี้ไม่รู้ลำดับที่สองตระกูลอวิ๋นจะผ่านไปได้หรือไม่!”
มู่จิ่วได้ยินนางกำลังคุยเรื่องซุบซิบ ไม่อาจส่งเสียงออกไป จึงถอยหลังกลับไปหลายก้าว
ตอนนี้เองอีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา “หลายปีมานี้ตระกูลอวิ๋นไม่ราบรื่น ก่อนอื่นมีแม่นางกูเป็นภรรยาน้อย ไม่ง่ายนักกว่าจะเลี้ยงลูกชายจนเติบใหญ่ ใครจะรู้ว่าไม่อยู่แล้ว ลำดับที่สองตระกูลอวิ๋นคนนี้ไม่เลวนัก น่าเสียดายร่างกายไม่ค่อยดี ไม่รู้ว่าขึ้นสวรรค์ไปคราวนี้จะได้เจอผู้ช่วยเหลือหรือไม่”
คนที่พวกเขาพูดถึงมู่จิ่วไม่รู้จักแม้แต่คนเดียว
นางถอยไปยังระยะห่างที่หลีกเลี่ยงข้อสงสัยได้ จึงค่อยส่งเสียงออกไป “เถ้าแก่หงส์อยู่หรือไม่?”
ตอนนี้ป่าไผ่เงียบสงัด จากนั้นมีหญิงงามนุ่มนวลแต่งหน้าจัดค้อมตัวยื่นศีรษะออกมาจากหลังป่าไผ่ ครั้นเห็นมู่จิ่ว รอยยิ้มบนใบหน้าคลี่ออกราวกับดอกโบตั๋นบาน “ที่แท้เป็นท่านกัวนี่เอง! วันที่ร้อนขนาดนี้ท่านกลับมาด้วยตัวเอง รีบเข้ามานั่งดื่มชาพักเท้าข้างในห้องเร็ว!”
เถ้าแก่หงส์เกิดมาเป็นคนค้าขายโดยแท้ มู่จิ่วเป็นเพียงผู้บัญชาการระดับหกเล็กๆ เท่านั้น แต่นางกลับมองเป็นเทพเซียนสูงส่ง อยู่ต่อหน้าคนแบบนี้ เงินในกระเป๋าไหนเลยจะเก็บได้อยู่? และนางมีดวงตาใสกระจ่างฟันขาว เมื่อแย้มยิ้มลักยิ้มทั้งสองและเขี้ยวเล็กๆ คู่หนึ่งล้วนเผยออกมา มองดูแล้วสบายใจยิ่งนัก
มู่จิ่วพบเถ้าแก่หญิงที่รู้จักวางตัวเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมดีใจ นางเดินไปด้านหน้าเถ้าแก่หงส์ พูดกับนางพลางยิ้ม “ท่านเกรงใจไปแล้ว ข้านำรายการอาหารมาให้ ท่านคงไม่ลืมว่าคืนนี้ข้าจองห้องไว้ห้องหนึ่ง”
“ท่านกัวเพิ่งเลื่อนตำแหน่ง ตั้งใจมาที่ร้านข้าเพื่อจัดงานเลี้ยงเลื่อนขั้น ข้าจะลืมได้อย่างไร? แต่เช้าได้จัดการให้คนเก็บกวาดหอจันทร์เสี้ยวไว้แล้ว เพียงรอท่านและพวกพ้องมาสังสรรค์ยามค่ำคืน!”
เถ้าแก่หงส์พูดพลางนำนางเข้ามาในห้อง เรียกกระเรียนน้อยมารินชาให้
มู่จิ่วออกจากภัตตาคารมุ่งตรงกลับบ้าน พรุ่งนี้หมดเวลาลาพัก ต้องกลับไปรายงานตัวที่หน่วย นางเก็บกวาดสักหน่อยค่อยพักผ่อน ก็ถึงเวลากลางคืนแล้ว พอดีพวกเฉินอิงอาศัยอยู่ที่ตรอกแปดเซียนแห่งนี้เช่นกัน พวกเขาร้องตะโกนอยู่ที่หน้าประตู นางจึงพาอาฝูเดินไปยังภัตตาคารหงส์ระบำกับพวกเขา
หอจันทร์เสี้ยวที่เถ้าแก่หงส์จัดเตรียมไว้ให้พวกเขาอยู่บนไหล่เขา แบ่งเป็นสูงต่ำสองส่วน ส่วนที่สูงมีเก๋ง ส่วนที่ต่ำเป็นแท่น รอบแท่นกลับล้อมรอบด้วยน้ำมรกต ตรงกลางหลุบลงไป มีโต๊ะกลมสองตัวตั้งอยู่ ส่วนบนแท่นมีทางลอดผ่านตรงกลางน้ำมรกต มุ่งตรงออกไปยังสวนดอกไม้ที่อยู่รอบนอก
สงบเงียบเย็นสบายเช่นนี้ ช่างเป็นที่ที่ดีเสียจริง
หลังจากเหล่ากระเรียนน้อยเข้ามาทักทายแล้ว ไม่นานแต่ละคนก็มากันตามลำดับ หลิวจวิ้นมาถึงช้าที่สุด ที่นี่นับว่าเขาใหญ่สุด แน่นอนว่าย่อมไม่มีใครว่าอะไรเขา แต่วันนี้เขากลับดูเหมือนใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว เพราะมู่จิ่วเตือนเขาถึงสองคราว่ากระบี่วางไว้ด้านข้างได้เขาก็ไม่ได้ยิน จนนางเข้าไปใกล้จึงตอบรับมาคำหนึ่ง แล้ววางกระบี่ลง
ล้วนเป็นคนคุ้นเคยกัน ทุกคนเห็นหลิวจวิ้นให้หน้าแก่มู่จิ่วอยู่มาก จึงดื่มเหล้าอวยพรสองครั้ง อารมณ์ของหลิวจวิ้นถึงค่อยๆ ดีขึ้นเล็กน้อย
มู่จิ่วมียาเซียนสร่างเมาระงับไว้อยู่ ไม่กลัวว่าจะดื่มเยอะไป แต่หลิวจวิ้นดูแลอย่างดี สั่งไม่อนุญาตให้ทุกคนชวนนางดื่มเหล้า ดังนั้นคนที่นั่งอยู่ด้านข้างนางจึงทำได้เพียงนั่งกินข้าวเป็นเพื่อน
คนข้างๆ ชวนหลิวจวิ้นดื่มเหล้าไม่ขาดสาย เป็นเทพเซียนคิดจะดื่มจนเมาไม่ง่ายนัก งานเลี้ยงผ่านไปถึงครึ่งหนึ่งเขาก็ลุกออกไปเพื่อขับไอเหล้า เป้าหมายของทุกคนจึงเปลี่ยนไปยังเฉินอิงและผู้บัญชาการอีกสิบเอ็ดคนแทน บรรยากาศงานกินเลี้ยงสังสรรค์ที่คึกคักนี้กลับดูสมานฉันท์ยิ่ง
มู่จิ่วเห็นอาฝูน้ำลายไหลยาวเป็นจั้ง จึงลุกขึ้นไปป้อนอาหารเขา
เมื่อมาถึงสวนดอกไม้เล็ก เห็นหลิวจวิ้นจับภูเขาจำลองไว้ ใจลอยมองน้ำใต้หินอย่างเงียบๆ ใบหน้าด้านข้างดูเศร้าซึม ไม่ใช่อารมณ์โกรธฉุนเฉียวที่มักเห็นบ่อยๆ และก็ไม่เห็นความจู้จี้จุกจิกด้วย มู่จิ่วไม่เคยเห็นท่าทางแบบนี้ของเขามาก่อน ไม่รู้ว่าควรจะเดินเข้าไปทักหรือทำเป็นไม่เห็นดี
“หงิง หงิง…”
นางกำลังลังเล อาฝูกลับพุ่งเข้าไปอย่างกระตือรือร้น
หลิวจวิ้นหันกลับมา เห็นอาฝูที่พัวพันเท้าเขาก่อน จากนั้นค่อยเห็นมู่จิ่ว
มู่จิ่วรู้สึกไม่ดีอยู่บ้าง เหมือนกับตนแอบเห็นความลับของเขาเข้า จึงกระแอมไอเล็กน้อยก่อนหัวเราะพูด “อาฝูเด็กคนนี้อยู่ไม่นิ่ง ข้ากลัวเขาวิ่งหนีหายไป ดังนั้นจึงตามออกมา”
หลิวจวิ้นมองนางคราหนึ่ง นั่งลงไปบนหิน ลูบศีรษะอาฝูพลางพูด “ระยะนี้เด็กคนนี้ฉลาดขึ้นไม่น้อย เป็นผลงานของลู่หยาใช่หรือไม่? ซ่านเซียนที่สามารถสั่งสอนเสือขาวได้อย่างเขามีไม่มากนัก”
มู่จิ่วหวั่นเกรงขึ้นมา ไม่รู้จะพูดอะไรดี ทำได้เพียงกล่าวว่า “อาฝูเป็นสัตว์เทพ และแต่เดิมก็ฉลาดอยู่แล้ว”
หลิวจวิ้นมองนางแล้วเอ่ย “ราชาจิ้งจอกแห่งชิงชิวดูเหมือนจะเคารพเขามากเสียด้วย”
หน้าผากมู่จิ่วมีเหงื่อซึม นางยิ้มแห้งพูด “ราชาจิ้งจอกผู้นั้น…แต่ก่อนข้าเคยพูดกับท่านแล้ว ตอนข้าอยู่ชิงชิวมีความสัมพันธ์กับพวกเขาไม่เลวนัก บางทีอาจเพราะเหตุนี้เขาเลยเป็นแบบนั้น”
หลิวจวิ้นมองนางอย่างล้ำลึก นางยิ่งรู้สึกไม่สงบเหมือนมีปลายแหลมทิ่มแทงหลัง ลู่ยาพ่อหนุ่มคนนี้ ต้องการให้นางรักษาความลับ ตัวเองกลับไม่ระวังสักหน่อย นี่มิใช่ตั้งใจให้นางช่วยโกหกหรือ!
ดีที่หลิวจวิ้นไม่ได้ไล่ถามอีก และมองน้ำนั่นต่อขณะพูด “เจ้าเข้าไปเถอะ ข้าจะนั่งอยู่ที่นี่สักพัก”
มู่จิ่วรับคำ รีบเรียกอาฝูเดินเข้าไปกินข้าวในห้องตรงสวนดอกไม้
แต่ไหนแต่ไรนางไม่เคยเห็นหลิวจวิ้นเป็นแบบนี้ ความเศร้าบนใบหน้าเขาต่างจากภาพลักษณ์ในใจที่นางมีต่อเขาราวเป็นคนละคน หรือเขาจะมีเรื่องลำบากใจ? แต่ไม่มีเหตุผลเลย เขาเป็นขุนนางลำดับสามของสวรรค์แล้ว ทั้งยังดูแลจัดการหน่วยที่สำคัญ ประสบการณ์มากมาย การวางตัวการปฏิบัติตนล้วนสำรวม ที่สำคัญคือไม่มีครอบครัว เขาจะมีเรื่องลำบากใจอะไร?
นางอดไม่ได้ มองยังที่ที่เขาเคยนั่งมากอีกหน่อย
มองครั้งนี้พบเจอสิ่งของนอนส่องสว่างอยู่ใต้หิน
นางรีบเข้าไปคุกเข่าดู กลับเป็นหินหยกธรรมดาก้อนหนึ่ง ไม่ได้สลักอะไรไว้ เหมือนกับกรวดที่เห็นได้ตามริมแม่น้ำทั่วไป แต่หินนี้กลับโปร่งแสงกึ่งหนึ่ง ตรงกลางยังมีเงาเส้นสีเขียวขดอยู่
นี่ต้องไม่ใช่หินปกติแน่ หินปกติตรงกลางทำไมถึงมีผมฝังอยู่?
ชัดเจนว่าหลิวจวิ้นเพิ่งทำตกไว้
นางมองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นเงาของเขาแล้ว จึงหยิบมันขึ้นมาก่อนกลับไปยังโต๊ะ
เหล่าคนที่โต๊ะสังสรรค์ก็กินไปสักประมาณหนึ่งแล้ว หลิวจวิ้นกับเฉินอิงกำลังคุยอะไรอยู่ ท่าทางขมวดคิ้วตั้งใจฟังต่างกับเมื่อครู่นี้เป็นคนละคน
ต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ มู่จิ่วไม่เหมาะจะคุยกับเขาเรื่องทำของหล่น ตอนนี้จึงเก็บหินไว้ก่อนชั่วคราว
………………………………