หลิวจวิ้นมองอู่เต๋อที่เดินออกไปไกลแล้ว พลางพูด “ในหน่วยก็มีวิธีการของหน่วย เรื่องที่เจ้าไม่ต้องสืบต่อก็ไม่ต้องสืบต่อ คดีนี้เจ้าทำได้ดีมาก ข้าเห็นเหนียงเหนียงมองเจ้าอยู่หลายครั้ง กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ อีกไม่นานข้าจะเสนอเรื่องเลื่อนตำแหน่งกับฝ่ายทหารให้เจ้า กลับไปบอกข่าวดีแก่คนที่บ้านก่อนไป”
“รับทราบเจ้าค่ะ” มู่จิ่วฉีกยิ้มพูด “นี่ไม่ใช่ผลงานของข้าคนเดียว ทุกคนต่างก็มีส่วนรวม”
หลิวจวิ้นพยักหน้า เห็นท่าทางเงียบๆ ของนางก็อดไม่ได้ถาม “เจ้ามีเรื่องอะไรในใจ?”
มู่จิ่วขมวดคิ้ว “ข้าเพียงคิดว่าหากมีคนรู้ร่องรอยของเฟยอีก็คงดี” อย่างไรนักโทษก่อนโดนประหารยังได้กินข้าวก่อน อู่เต๋อทำเรื่องเหล่านี้เพราะเฟยอี หากให้เขาพบนาง เกรงว่าจะสามารถสงบใจเขาได้
“เรื่องมาก” หลิวจวิ้นค้อนนาง “หากมีกำลังเหลือมิสู้คิดว่าจะเขียนปิดคดีนี้อย่างไรยังดีกว่า”
มู่จิ่วเดินลงขั้นบันไดตามเขา “ข้าเพียงรู้สึกว่า ชิงผิงซิงจวินแบกความแค้นกลับไปเวียนว่ายตายเกิด ดังนั้นภายหลังจึงมีความสัมพันธ์ยุ่งเหยิงมากมายจนทำให้เกิดผลแบบวันนี้ขึ้น สวรรค์มีเทพเซียนมากขนาดนี้ หากสามารถตามหาเฟยอีก่อนอู่เต๋อกลับไปเวียนว่ายตายเกิด ให้เขาได้สงบใจก่อนไป บางทีภายหลังเขาคงไม่ดึงดันขนาดนี้แล้ว”
“ยังมีเรื่องสำคัญที่สุดคือวิญญาณของเฟยอีทำไมถึงหายไป? ใต้เท้าไม่สงสัยเลยหรือ?”
หลิวจวิ้นยิ้มเยาะพูด “ไม่ว่าจะเป็นหลีหังปล่อยไปหรือนางไปเอง สรุปคือภายหลังนางก็ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องดีหรอกหรือ? แล้วเจ้ากังวลเรื่องอู่เต๋อทำไม เจ้าไม่เห็นหรือว่าเขามนุษยสัมพันธ์ดีเพียงนั้น? ไปโลกมนุษย์ยังไงก็ต้องมีคนดูแลเขา”
“แต่ละคนก็มีชะตาชีวิตของตนเอง ไม่ใช่ทุกเรื่องที่เราสามารถช่วยได้ และไม่ใช่ว่าเราต้องช่วยทุกเรื่องด้วย อยู่หน่วยลาดตระเวนต้องเข้าใจสองเรื่อง หนึ่ง เรื่องที่ควรยุ่งก็ต้องยุ่ง สอง เรื่องที่ไม่ควรยุ่งต้องไม่ยุ่งอย่างเด็ดขาด มิฉะนั้นแล้วเจ้าจะไม่มีทางโงหัวขึ้นได้ตลอดไป เข้าใจหรือไม่?”
มู่จิ่วนิ่งเงียบไปนานถึงพยักหน้า “เจ้าค่ะ”
บางทีเขาอาจพูดถูก เรื่องที่อู่เต๋อไร้หนทาง นางยิ่งไม่มีหนทางแน่
ถึงแม้ลู่ยาจะสามารถทะลุฟ้าทะลวงผืนดินได้ แต่นางไม่คิดว่าการไปร้องขอให้เขาช่วยทุกเรื่องจะเป็นความคิดที่ดี
ไม่มีใครชอบการเอาเปรียบโดยอาศัยความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันหรอกจริงไหม?
แต่ละคนมีชะตาชีวิตของตนเอง ไปอย่างไร ไปที่ไหน ต้องพึ่งตนเอง เหมือนกับหลินเจี้ยนหรู ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างไร ก็เหมือนหนีไม่พ้นชาติกำเนิดของตนเอง
เมื่อออกมาถึงลานกว้างนอกวัง หลิวจวิ้นกับซ่างกวนสุ่นพาคนไปที่ยอดเขาราชาเพลิงเพื่อไปหยิบของวิเศษ แต่มู่จิ่วมุ่งไปทางหอวิหคแดง
เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เป็นธรรมดาที่ทั้งโลกเซียนจะตื่นตกใจ ตลอดทางรอบตัวล้วนวิพากษ์วิจารณ์ มีคนเข้าๆ ออกๆ ค่ายทหารสวรรค์ไม่หยุดหย่อน ส่วนใหญ่ต่างตกใจว่าผู้กระทำผิดเป็นอู่เต๋อเจินจวินผู้สง่างามไปได้อย่างไร ส่วนเรื่องที่คดีนี้คลี่คลายได้ด้วยวิธีไหนกลับไม่มีใครสน
มู่จิ่วเพิ่งเข้าหอวิหคแดงอาฝูก็เดินยืดอกตรงมา เสี่ยวซิงก็ล้อมเข้ามาอย่างดีอกดีใจ ดูเหมือนทุกคนจะรู้เรื่องแล้ว
ทางลานจื่อหลิงคึกคักดีใจย่อมไม่จำเป็นต้องบรรยาย ส่วนหลินเจี้ยนหรูที่ลาดตระเวนอยู่บริเวณหลัวอีได้ยินคำสรรเสริญข่าวเรื่องคดีใหญ่ชิงชิวถูกคลี่คลายแล้วก็ยกริมฝีปากขึ้นโดยไม่รู้ตัว เขารู้นานแล้วว่ามู่จิ่วต้องทำสำเร็จ ถึงแม้ความคิดนางจะใสซื่อบริสุทธิ์ แต่กลับหนักแน่นและกล้าหาญ คนแบบนี้สวรรค์ต้องส่งเสริม
แต่เมื่อคิดดูอย่างละเอียดเขากลับสงสัย ถึงแม้นางจะมีลู่ยากับซ่างกวนสุ่นร่วมทำคดีด้วย แต่ไม่มีเหตุผลเลยที่ในเวลาไม่ถึงสองเดือนดีก็คลี่คลายคดีได้แล้ว? ตอนนั้นหลิวจวิ้นบอกให้เวลาสามเดือนเขายังรู้สึกว่าสั้นไปเลย
แต่ไม่ว่าอย่างไร นางสามารถคลี่คลายคดีได้ก็เป็นเรื่องดีมาก
ทว่าต่อไป ควรจะถึงเวลาที่แรกพยับกับชิงชิวชำระหนี้กันแล้ว ในเมื่อมู่จิ่วกับลู่ยาสัญญาว่าจะไม่พูดเรื่องหลินเจี้ยนหรูออกไป ดังนั้นตัวนางเองต้องไม่พูดแน่ แต่ถึงแม้นางสามารถรักษาความลับให้เขาได้ เขาจะปลอดภัยจริงหรือ?
เขาไม่ลืมว่ายังมีเหลียงชิวฉาน ถึงแม้ตอนนี้จะปิดปากนางได้ กลับไม่เป็นการยืนยันว่าจะยับยั้งไว้ได้ หากชิงชิวไม่รับความผิด สุดท้ายวุ่นวายมาถึงสวรรค์ แบบนั้นไม่ว่าอย่างไรเขาก็เก็บงำไว้ไม่อยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเรื่องที่เขาเลื่อนขั้นเซียนถึงสองขั้น เพียงรู้ว่าพลังของเขากล้าแข็งขึ้น เลื่อนขั้นขึ้นมาอย่างมาก คนของแรกพยับย่อมต้องสงสัยแน่
แต่เดิมเข้าใจว่าคดีนี้ต้องรออีกเดือนถึงจะคลี่คลาย เขายังมีเวลาคิดหาวิธีได้ ตอนนี้ดูแล้วเขาคงต้องรีบหาทางโดยเร็ว
อย่างน้อยต้องหาทางยับยั้งไม่ให้แรกพยับไปก่อเรื่องที่ชิงชิว
คิดได้ดังนี้จึงหมุนตัวกลับไปยังหอวิหคแดง
วันนี้เสี่ยวซิงทุ่มเทแรงกายทั้งหมดทำอาหารทั้งโต๊ะขึ้นมา!
อิ่นเสวี่ยรั่วยังตั้งใจซื้อเหล้ากุ้ยฮวามาเพื่อแสดงความยินดี ซ่างกวนสุ่นไปเอาของวิเศษที่เขาราชาเพลิง ตอนกลางวันจึงมีเพียงพวกเขาห้าคนกินข้าว
ถ้าไม่รวมเรื่องของเฟยอี มู่จิ่วยังรู้สึกยินดีมาก เพราะนี่คือคดีแรกที่นางทำ และยังทำสำเร็จอย่างสวยงามด้วย อย่างไรก็ต้องปิดประตูโอ้อวดกันสักหน่อย
แน่นอนว่าขั้นตอนเหล่านี้ขาดความช่วยเหลือของทุกคนไปไม่ได้ ดังนั้นนางจึงดื่มเหล้าให้พวกเขาไม่หยุด กระทั่งรินให้อาฝูครึ่งถ้วย
กำลังยกถ้วยสุราขึ้นเตรียมพูดยินดี ประตูลานพลันเปิดออก ซ่างกวนสุ่นพุ่งเข้ามาราวกับดาวตก ก่อนพูด “เกิดเรื่องแล้ว! ของวิเศษในถ้ำทั้งหมดหายไป!”
เหล้าเพิ่งลงคอมู่จิ่วไป เพียงได้ยินสิ่งที่พูดก็สำลักจนน้ำตาไหล
“เจ้าพูดอะไรนะ? อะไรหายไป?”
“ของวิเศษที่พวกเราพบในถ้ำเมื่อวาน! หายไปทั้งหมด! แม้แต่ชิ้นเดียวก็ไม่เหลือ!” ซ่างกวนสุ่นร้อนใจจนกระทืบเท้า “ที่แปลกประหลาดคือผนึกที่ประตูไม่ถูกแตะต้องแม้แต่น้อย แต่ของวิเศษหายไปหมด!”
มู่จิ่วตื่นตระหนกจนสร่างเมา!
“ของวิเศษหายไป?!”
นี่เป็นไปได้อย่างไร? ชัดเจนว่านาง หลิวจวิ้น และซ่างกวนสุ่นสามคนไปจับหลีเปิง จากนั้นก็ติดแผ่นผนึกไว้ ผนึกของค่ายทหารสวรรค์อวี้ตี้ล้วนประทับตราไว้และกำกับด้วยเวทชั้นสูงสุดของเซียน ถ้าไม่ใช่คนในค่ายทหารไปปลดผนึกออก ของจะหายไปโดยไร้ร่องรอยได้อย่างไร?
“ไปดูกัน!” ลู่ยาวางถ้วยสุราลง นำออกประตูไปก่อน มู่จิ่วกับอิ่นเสวี่ยรั่วตามไปด้านหลัง เสี่ยวซิงกับอาฝูก็นั่งไม่ติด ทำได้เพียงตามพวกเขาออกไปด้วย!
กลุ่มคนขี่ลมไปถึงยอดเขาราชาเพลิง เวลานี้หลิวจวิ้นยืนตะโกนโหวกเหวกอยู่ที่เดิม คนของชิงชิวช่างไม่เปลี่ยนนิสัยทะนงตน ตะโกนเสียงดังเป็นที่สุด “นี่ต้องเป็นอู่เต๋อทำ! เขาเป็นขุนนางชั้นสูงของทัพทหารสวรรค์ สามารถปลกผนึกย้ายของวิเศษได้!”
ถึงแม้หลิวจวิ้นจะเคารพราชาจิ้งจอก ทว่าได้ยินคำนี้ก็อดพูดไม่ได้ “แต่ที่สำคัญคือผนึกไม่มีการเคลื่อนไหว และผนึกของทัพทหารสวรรค์ต่างคนต่างผนึก ต่างคนต่างใช้ จึงไม่มีเรื่องที่ผู้บังคับบัญชาของหน่วยอารักขาพู่เหลืองปลดผนึกของหน่วยลาดตระเวนของข้าได้!”
มู่หรงหลิวเย่เห็นพวกมู่จิ่วก่อน จึงรีบเข้าไปทักทาย “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น?”
มู่จิ่วมองเห็นประตูถ้ำที่เปิดกว้างอยู่ไม่มีปฏิกิริยาอะไรจริงๆ ก็อึ้งจนพูดไม่ออกเช่นกัน!
…………………………………………