มู่จิ่วไม่รู้จะพูดอะไรดี แต่ทั้งร่างกลับผ่อนคลายขึ้นแล้ว!
มีลู่ยาอยู่ข้างกาย นางเข้าไปในบึงมังกรถ้ำเสือก็ไม่กลัว!
…เรื่องราวก็ตกลงกันไปแบบนี้
ที่จริงมู่จิ่วค่อนข้างพอใจกับผลลัพธ์นี้ และคิดไม่ถึงว่าแม้แต่หวังหมู่ยังพูดออกหน้าอยู่ฝั่งนาง นี่ช่างทำให้นางรู้สึกว่าได้รับความเมตตาจนน่าตกใจ แต่ท่าทางของหวังหมู่ช่างน่าสนใจ รู้สึกเหมือนกับนางมีอคติต่อเรื่องชายที่จิตใจโลเลแบบนี้ คราวก่อนเรื่องเฟยอีนางก็เห็นใจชิงผิงที่คลั่งรัก หรือจะมีเหตุผลส่วนตัวอะไร?
แต่เรื่องนี้นางไม่กล้าเดามั่ว สรุปคือนางได้ประโยชน์ ทำตัวสงบเสงี่ยมไว้ดีแล้ว
ลู่ยาพอใจกับการกระทำของหลิวจวิ้นเช่นกัน แบบนี้ทำให้มู่จิ่วได้ชดใช้อ๋าวเชิน ในขณะเดียวกันก็มีคุณสมบัติที่จะอยู่ทัพทหารสวรรค์ต่อ แน่นอนว่าปฏิบัติงานเป็นทหารสวรรค์ไม่ใช่หนทางเดียวที่นางจะฝึกประสบการณ์ แต่ในเมื่อมีโอกาสแบบนี้ และนี่เป็นสิ่งที่นางต้องการ ย่อมเป็นธรรมดาที่เขาต้องคิดแทนนาง
ด่านเคราะห์เล็กใหญ่ก่อนที่นางจะเป็นเซียนเขาล้วนไม่มีหนทางรับแทน มิฉะนั้นคงเรียกว่าการฝึกประสบการณ์ไม่ได้ แต่การปกป้องส่งให้ถึงฝั่งกลับไม่เป็นปัญหา
ส่วนเรื่องที่เขายังรอราชาจิ้งจอกนำกระดิ่งหุนหยวนมาให้ ทางด้านราชาจิ้งจอกเขาสามารถนัดหมายเวลาอื่นด้วยได้ หากเขาไม่ไปด้วย จากนั้นกระดิ่งแผลงฤทธิ์อีก นั่นถึงจะเรียกว่าลำบาก
เสี่ยวซิงบ่นอยู่ทั้งคืน ทั้งยังด่าชายสารเลวอ๋าวเชินอีกหลายร้อยรอบ ถึงตอนฟ้าสว่างยังไม่อาจไม่ตื่นแต่เช้ามาเตรียมอาหารเช้า
ยิ่งนานวันจำนวนครั้งการออกไปปฏิบัติงานของมู่จิ่วยิ่งเพิ่มขึ้น นางแค่ทำเหมือนมู่จิ่วไปปฏิบัติงานก็เท่านั้น
วันนี้อาหารเช้าอลังการอย่างมาก เมื่อบวกกับน้ำตาของเสี่ยวซิง ก็ทำเอามู่จิ่วรู้สึกเหมือนตนเองต้องไปขึ้นแท่นประหาร
หลังอาหารเช้านางส่งเสียงบอกลู่ยา หยิบห่อผ้าไปหาหลิวจวิ้นที่หน่วยลาดตระเวน จากนั้นมุ่งไปตามถนนทางเหนือ ตรงไปยังประตูสวรรค์แดนใต้
ไหนเลยจะรู้ว่าพวกเขาเพิ่งถึงประตูสวรรค์แดนใต้ กลับเห็นลู่ยาท่าทางสบายๆ รออยู่ที่นั่นแล้ว มู่จิ่วเห็นดังนั้นจึงทำได้เพียงอธิบายกับหลิวจวิ้น ถึงแม้หลิวจวิ้นเห็นท่าทาทางใกล้ชิดของพวกเขาแล้วขัดตามาก แต่เขาไม่เข้าใจโลกของหนุ่มสาว อยากตามไปก็ตามไป ยังไงคนเขาก็ตามมาถึงสวรรค์แล้ว
เพียงเวลากินข้าวมื้อหนึ่งก็ถึงที่หมาย ริมทะเลสาบมีทหารกุ้งนายพลปูยืนเฝ้าระวังอยู่นานแล้ว เห็นพวกเขาทั้งสองก็ดำน้ำกลับวังไปแจ้งข่าวทันที
รอจนพวกมู่จิ่วถึงวังมังกร อ๋าวเชินนั่งอยู่ที่ตำหนักใหญ่แล้ว
“ข้าพาคนมาแล้ว นี่คือพระบัญชาของอวี้ตี้ ขอให้ราชามังกรทำตามกฎ ถึงแม้ข้ารับปากว่าราชามังกรมีอำนาจลงโทษ แต่หากท่านใช้โอกาสนี้แอบทำร้ายกัวมู่จิ่ว เมื่อถึงเวลานั้นอย่าโทษว่าหน่วยลาดตระเวนของข้าไม่ไว้หน้าก็แล้วกัน”
หลิวจวิ้นนำคำสั่งส่งขึ้นไป จากนั้นยื่นหนังสือไปให้อ๋าวเชินลงนามเป็นหลักฐาน
อ๋าวเชินอดกลั้นความโกรธ หันไปมองลู่ยา “เขามาทำอะไร?”
“อ้อ” มู่จิ่วคิดคำพูดไว้นานแล้ว จึงเดินหน้าไปเอ่ย “เพื่อแสดงความจริงใจ ข้ายังพาคนคนหนึ่งมาช่วยปฏิบัติงานให้ราชามังกรด้วย เขาชื่อลู่หยา”
อ๋าวเชินกัดฟัน กำลังจะพูด ลู่ยากลับกล่าวก่อน “ราชามังกรให้ตำแหน่งอารักขาแก่ข้าก็พอแล้ว ส่วนที่อยู่ ข้ากับนางเป็นคู่หมั้นกัน ดังนั้นท่านจัดเตรียมให้ห้องเดียวพอ”
อ๋าวเชินไม่ได้พูดอะไร มู่จิ่วกลับสะอึก! ห้องเดียว…ฟังไม่ผิดใช่หรือไม่!
หลิวจวิ้นผินหน้าไปทางอื่น ไม่มองพวกเขาแม้แต่น้อย
แม้อ๋าวเชินคิดอยากจะร้องออกไป แต่มาบังคับข่มเหงแยกสามีภรรยาออกจากกันนี่นับเป็นเรื่องอะไรได้? เขาไม่ถึงกับชั่วร้ายขนาดนั้น จากนี้หากหลิวจวิ้นกลับไปสวรรค์ ไม่แน่ว่าอาจมีคนไม่น้อยล้อเลียน เขาหน้านิ่งขรึมอยู่นาน ก่อนพูด “ขุนนางเต่าอยู่ไหน? พาพวกเขาไปที่หน่วยบัญชาการ!”
ทะเลสาบน้ำแข็งที่จริงเป็นทะเลสาบใหญ่ในผืนแผ่นดิน พูดว่ามันเป็นทะเลยังไม่เกินไป เพราะความกว้างของพื้นที่แห่งนี้มู่จิ่วไม่เคยเห็นมาก่อน
แน่นอน เพราะนางไม่เคยไปที่ไหนมามาก
ใต้ทะเลสาบน้ำแข็งนี้ นอกจากวังมังกรแล้ว ที่แท้เป็นทิวเขามากมาย และมีที่พักอาศัยด้วย ขุนนางเต่าพาพวกเขาทั้งสองออกจากวังมังกรทางด้านตะวันตก ตรงไปทางทิศเดียวกันสามถึงห้าลี้ ตามทางสูงๆ ต่ำๆ มีเรือนเรียงรายอยู่ เมื่อผ่านสะพานหินไป ก็มาถึงตีนเขาซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้
ผ่านสะพานนี้ไปแล้ว ใต้สะพานมีเสียงน้ำไหล มาถึงบนพื้นดินเหล่านี้ถึงได้เห็นต้นไม้ มู่จิ่วเพิ่งรู้ว่าจุดที่วังมังกรอยู่ถูกปกคลุมด้วยเขตพลังผืนหนึ่ง ในเขตพลังไม่มีน้ำ ดังนั้นจึงสามารถสร้างพื้นดินแบบนี้ออกมาได้
หากมีน้ำ กุ้งปลานอกวังกระทั่งศัตรูข้างนอกสามารถว่ายเข้ามาในวังได้ สำหรับการป้องกันอารักขาแล้วไม่สะดวกอย่างมาก
มู่จิ่วรู้สึกว่ามีเหตุผล แต่นางไม่รู้ว่าวังมังกรทั้งหมดเป็นแบบนี้หรือเปล่า หรือมีเพียงวังมังกรแห่งทะเลสาบน้ำแข็งที่เป็นแบบนี้ เมื่อได้ยินลู่ยาบอกดังนั้น คงมีเพียงวังมังกรทะเลสาบน้ำแข็งเท่านั้นที่เป็นอย่างที่เห็น ในหมื่นหมื่นปีนี้เขาคงไปวังมังกรของทะเลทั้งสี่ทิศมามาก หากวังมังกรทะเลล้วนเป็นเหมือนกันหมด เขาคงไม่พูดแบบนี้
แต่เดิมนางเข้าใจว่าอ๋าวเชินเจ้าเล่ห์ไม่สู้ราชาจิ้งจอก คิดไม่ถึงว่ายังมีการระแวดระวังแบบนี้ นี่เขาป้องกันใครกัน?
“นี่คือหน่วยบัญชาการ”
จากตีนเขายังต้องเดินอีกประมาณสองลี้ จึงถึงที่ๆ รอบด้านมีทหารเฝ้าอยู่หน้ากำแพงสูง บนกำแพงมีประตูใหญ่หลายบาน ขุนนางเต่ายืนอยู่หน้าประตูที่ค่อนข้างเล็กบานหนึ่ง บนประตูมีคำว่า ‘โหยวลี่’ สองตัว บนประตูที่สูงที่สุดเขียนว่า ‘ติ้งซาง’ คิดดูแล้วคงเป็นชื่อประตู
มู่จิ่วเห็นขุนนางเต่าเดินเข้าประตูโหยวลี่ จึงเรียกลู่ยาก่อนรีบเดินตามเข้าไป
มหาเทพลู่แน่นอนว่าต้องมาวังมังกรทะเลสาบน้ำแข็งเป็นครั้งแรก ถึงแม้เขาจะรู้ที่มาที่ไปของเฉินผิง แต่เขากลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับวังนี้เลย ดังนั้นตลอดทางจึงมองไปอย่างสนใจ เหมือนกับคนที่ไม่เคยออกมาล่องเมฆครึ่งค่อนชีวิต
ในประตูแต่ละที่ล้วนมีเสียงนกกลิ่นบุปผา ที่นี่ไม่มีน้ำ แต่มีทางน้ำไหลจากมือคนทำ ยังมีสะพานน้อยและศาลา อีกทั้งพวกเขายังจับนกเข้ามาด้วย ตรงกลางเป็นสวนดอกไม้ใหญ่ แต่ห้องทั้งสี่ทิศนั้นกลับเป็นระเบียบเรียบร้อย เป็นลักษณะที่เหมาะสมกับหน่วยบัญชาการอย่างมาก
มีนายพลปูเดินเข้ามาพูดคุย ก็ไม่รู้ว่าพูดอะไรกัน จากนั้นพาพวกเขาทั้งสองเข้าประตูใหญ่ทางตะวันออก ตรงไปยังลานลำดับที่สาม นายพลปูชี้ไปยังห้องทางใต้พลางพูด “นี่คือที่พักของพวกพลอารักขา ในเมื่อพวกเจ้าต้องการอยู่ห้องเดียวกัน เช่นนั้นห้องทิศใต้ห้องนั้นก็เป็นของพวกเจ้าแล้ว”
มู่จิ่วฟังถึงตรงนี้จึงรีบพูด “หากมีห้องว่างอีกคงต้องขอให้พวกเราแยกห้อง ที่จริงก็แน่นไปหน่อย…”
“ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้น ยังไงก็แค่ห้าเดือน เบียดๆ หน่อยเดี๋ยวก็ผ่านไป” ลู่ยาไม่รอให้นางพูดจบ จูงมือนางขึ้นมาอย่างสนิทสนม และยังส่งสายตาเอ็นดูไปให้
ขุนนางเต่าอยู่มาสามหมื่นปี แต่เดิมใจนั้นนิ่งสงบแล้ว แต่เห็นคนคู่นี้ทั้งร่างก็ขนลุกชันขึ้นมา
พวกเขาคือคนที่สวรรค์ส่งมาเป็นพลอารักขา ถึงแม้อ๋าวเชินโกรธแค้นแทนเฉินผิงไปร้องหาความยุติธรรมให้ เขาจะทำอย่างไรได้? ตามที่ตัวเขาเห็น ราชามังกรได้ความยุติธรรมแทนเฉินผิงกลับมาที่ไหน ไม่มีเรื่องก็หาเรื่องใส่ตัวชัดๆ
………………………………………………………………