ซ่างกวนสุ่นถูกพูดย้อนจนสำลัก เกือบหัวทิ่มไปกับพื้น!
เขารีบพูด “เจ้าไม่รับของข้าจะกลับไปบอกพวกเขาอย่างไร? ข้าอ้างเรื่องส่งของขวัญเพื่อมาที่นี่ เจ้าไม่รับของข้าจะอยู่ต่อไปได้ที่ไหน?”
“ช่างดูไม่ออกจริงๆ เจ้ายังมีช่วงเวลาเกรงใจอยู่บ้างเหมือนกันนี่!” มู่จิ่วกินไปพลางยิ้มเยาะไปพลาง แต่ก็ช่างเถอะ ถึงแม้คนคนนี้จะทำให้นึกรังเกียจ แต่ความตั้งใจของพ่อแม่เขายากที่จะรับมา นางแค่กล้ำกลืนรับบุตรชายพวกเขาไว้สักระยะหนึ่งก็พอ นางพูด “ข้าสามารถเขียนจดหมายไปให้ทางฝั่งพ่อแม่เจ้า เจ้าอยู่ที่นี่อย่างสงบเสงี่ยมก็แล้วกัน!”
ซ่างกวนสุ่นตื่นเต้นจนแทบอยากจะเปลี่ยนร่างเป็นประทัดพุ่งไปบนฟ้า
ถึงแม้มู่จิ่วจะขัดหูขัดตาเรื่องที่เขาไม่เกรงอกเกรงใจเลย แต่หลักๆ คือคิดแบบนี้ แท้จริงในบ้านขาดคนทำงานบ้าน ยังไงเชิญลิงขนทองมาก็ต้องเสียเงิน ประเด็นคือเชิญมาก็ทำงานไม่เหมือนองค์ชายเจ็ดซ่างกวนสุ่น เพียงแค่รับไว้ดูแลบ้านก็มีบารมีกว่าบ้านอื่นแล้ว จริงหรือไม่?
เรื่องในหน่วยมีไม่มาก และก็ไม่จำเป็นต้องเข้างานตรงเวลาเหมือนเมื่อก่อน มู่จิ่วมักจะกินข้าวเช้าก่อนค่อยไป
ช่วงนี้ใช้ชีวิตได้สงบเงียบจริงๆ อีกทั้งสบายจนนางรู้สึกเบื่ออยู่บ้าง แม้แต่ลู่ยายังรู้สึกว่านางว่างเกินไป ช่วงนี้ตอนสั่งสอนอาฝูยังมักจะพานางมาอยู่ข้างๆ
ตอนนี้อาฝูมีความสามารถมากแล้ว ไม่เพียงกระโดดทีเดียวไปได้หลายร้อยลี้ พลังการต่อสู้ก็เพิ่มขึ้นมาก ตอนนี้เขาเปลี่ยนจากนักสะสมผีเสื้อเป็นนักสะสมนกน้อยแล้ว แต่ปกตินกที่บินเข้ามาในรัศมีสิบลี้ต้องถูกเขาจับมาเล่นสักครู่ก่อนปล่อยไป นกน้อยบางส่วนรีบกลับรังไปป้อนอาหารลูก เที่ยวจับหนอนอย่างเอาเป็นเอาตาย เมื่อมาเจอกับตัวไร้เหตุผลเช่นนี้ก็ไร้หนทาง
เสี่ยวซิงสงสารพวกนกน้อย ตอนแม่นกแต่ละตัวจะจากไปจึงมักเตรียมหนอนให้พวกมันนำกลับไปเลี้ยงลูกน้อย
เพราะแบบนี้พวกมันกลับดีใจใหญ่ แม่นกไม่ปฏิเสธแล้ว ส่วนใหญ่ล้วนกล้ำกลืนให้ราชาอาฝูเล่นให้สบายเสียหน่อย ดังนั้นเกือบทุกวันในลานบ้าน ราชาอาฝูจะวางแผนจัดงานเลี้ยงกับพวกสัตว์ปีกทั้งหลาย คิดหาวิธีใหม่ๆ ว่าจะเล่นกับเขาอย่างไรดี
แต่ลู่ยาโทษว่าพวกเขาเอะอะเกินไป จึงไล่ให้ไปเล่นตามสบายอยู่สวนเล็กด้านหลัง
ลู่ยาสั่งสอนอาฝูเสร็จ ก็สอนเสี่ยวซิงด้วย
เสี่ยวซิงเรียนรู้วิชาถ่ายทอดทางใจที่มู่จิ่วสอนให้จนทะลุปรุโปร่งแล้ว ตอนนี้วิชาพัฒนาเพิ่มขึ้นมาก ลมหายใจก็มั่นคงกว่าแต่ก่อนนัก ย้ายตำแหน่งเปลี่ยนร่างอะไรล้วนคุ้นชินกว่าเดิม ลู่ยาชี้แนะนางไปเรื่อยเล็กน้อย จากนั้นหลายวันก่อนยังช่วยนางทะลวงชีพจรเริ่นกับชีพจรตู๋ ตอนนี้นางจึงอยู่ที่ขั้นเจี๋ยตันแล้ว
กลางวันลู่ยาสอนพวกเขาเสร็จ กลางคืนก็เรียกมู่จิ่วมาที่ห้อง
“ถึงแม้เรื่องเลื่อนขั้นบำเพ็ญของเจ้าจะมีกำหนดการแน่นอน ข้าช่วยไม่ได้ แต่พลังฤทธิ์พลังบำเพ็ญกลับสามารถเพิ่มขึ้นได้ ตอนนี้เจ้าเลื่อนตำแหน่งแล้ว เข้ามาสวรรค์ก็ครึ่งปีกว่าได้ ตอนนี้ปลดผนึกพลังพันปีนั้นออกมาได้แล้ว”
พูดจบเขาก็จับข้อมือนางไว้แผ่วเบา ฉับพลันรู้สึกว่าแต่ละจุดลมปราณราวกับถูกทะลวงเปิดออก มีพลังไหลออกมา จากนั้นทั้งร่างก็สบายปลอดโปร่ง เทียบกับแต่ก่อนแล้วมีพลังเต็มเปี่ยมกว่ามาก นางหยิบกระบี่ชี้ไปกลางอากาศ กระบี่นั้นฉวัดเฉวียนไปชี้ไปทางนั้นบ้างทางนี้บ้าง ไม่ต้องใช้พลังควบคุมมาก
แต่ก่อนนางมีพลังบำเพ็ญสองพันปี ภายหลังมีพลังของมู่หรงหลิวเย่เพิ่มมาอีกพันปี จึงมีทั้งหมดสามพันปี นับว่าเป็นหัวเสินที่แก่กล้าแล้ว
“ภายหลังเจอระดับแบบจิ้งจอกเฒ่า ข้าก็ไม่ต้องทุลักทุเลขนาดนั้นแล้วกระมัง?”
นางนั่งขัดสมาธิอยู่บนตั่งอย่างดีใจ พูดพลางมองลู่ยาที่นั่งขัดสมาธิบนโต๊ะเตี้ยฝั่งตรงข้าม
ลู่ยาแค่นเสียงเบาๆ “นั่นต้องดูว่าเขามองเจ้าเป็นคู่ประมือจริงจังหรือไม่”
มู่จิ่วคิดๆ ก่อนพูดอีก “เช่นนั้นหากข้าเรียนวิชาภาพมายาของจิ้งจอกแดงเป็นแล้วล่ะ?”
“ภาพมายาเป็นแค่วิชาลวงตา ไม่มีพลังต่อสู้จริงจังอะไร หากเจอคนแบบข้ามิใช่บอกว่าจะจัดการก็จัดการได้” ลู่ยาพูดอย่างไม่ยี่หระ
มู่จิ่วฟังจบก็ไร้คำพูด “ทั้งบนสวรรค์และพื้นพิภพที่เป็นแบบท่านมีเพียงสี่คน ข้าคงไม่โชคร้ายเจอทั้งหมดหรอก?” อีกอย่าง ใครจะเหมือนเขาที่เบื่อจนวิ่งพล่านไปทั่ว? หรือว่าเวลาไม่มีอะไรทำ พวกหงจวิน หุนคุน กับหนี่ว์วาก็มาเดินเล่นสามภพแล้วหาที่พักอาศัยเหมือนกับเขา?
“พูดอะไรของเจ้า?” ลู่ยาไม่ดีใจ “ ‘ท่านท่านท่าน’ อะไร เจ้าเป็นแบบนี้ทำให้ข้าจนปัญญาจะคุยเล่นกับเจ้าแล้ว”
คำแบบนี้ง่ายต่อการทำให้เขาเกิดความรู้สึกต่ำต้อย ชัดเจนว่าทุกคนดูไปแล้วอายุก็ไม่ต่างกันนัก…ถึงแม้ดูไปแล้วเขาจะมีอายุกว่าเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่มีผลกระทบกระมัง? ต้องแบ่งแยกรุ่นชัดเจน หากเขารู้สึกต่ำต้อยแล้วภายหลังจะไม่เกิดเรื่องหรือ!
เขาร้องเสียงหนึ่งแล้วสะบัดพัดออกมา ยืดตัวมองออกไปนอกหน้าต่าง
“เอาละ เอาละ” มู่จิ่วไม่มีอารมณ์จึงไม่เซ้าซี้เขาเรื่องนี้ “สรุปคือทำตามเจ้าพูด ข้ากลับไปห้องฝึกภาพมายา”
นางพูดพลางลุกขึ้นมา
ลู่ยาเก็บพัด พลันหันกลับมามองนาง “ทำไมต้องกลับไปฝึกที่ห้อง ฝึกที่นี่ไม่ได้หรือ?”
แน่นอนว่าฝึกที่นี่ไม่ได้! ใบไม้ทองสองใบของวิชาถ่ายทอดทางใจอยู่ในกระเป๋าเล็ก หากนางหยิบผิดเป็นวิชายั่วยวนขึ้นมา ใบหน้านี้ของนางยังจะเหลืออยู่อีกหรือ? พูดความจริง นางต้องอาศัยตอนยังว่างไปชิงชิวเพื่อคืนวิชายั่วยวนนี้ให้จิ้งจอกแดงถึงจะถูก! นางไม่ชินกับของเล่นแบบนี้
“ข้ารู้สึกว่ากลับห้องค่อนข้างสงบกว่า” นางพูดพลางลงจากตั่ง
พูดยังไม่ชัดเจน ลู่ยาไหนเลยจะยอมปล่อยนางไป? เพียงยื่นแขนออกไปก็ลากนางขึ้นมาแล้ว “เจ้าฝึกที่นี่”
มู่จิ่วมองแขนที่ขวางอยู่หน้ากระดูกไหปลาร้านางอย่างหมดคำพูด ไหนเลยจะมีคนไร้เหตุผลแบบเขา? กลับบังคับกันอีก!
“หากข้าไม่ยินยอมล่ะ?” นางลองถาม
“ข้าจะตัดรากฐานเซียนเจ้า” คนระยำก็คือคนระยำ จับประเด็นสำคัญได้ตรงเผงขนาดนี้ ประเด็นคือสีหน้าเขาไม่เปลี่ยนใจไม่เต้น น้ำเสียงนี้ราวกับพูดว่าต้องการตัดผักกาดขาวที่นางปลูกไว้เลย
มู่จิ่วสำลัก กระฟัดกระเฟียดนั่งกลับลงไป
ไม่ว่าอะไรก็นำเรื่องนี้มาข่มขู่นาง ที่แท้แล้วมีบุคลิกสง่างามบ้างหรือไม่?
ลู่ยากลับพอใจอย่างมาก รินชาให้นางแก้วหนึ่ง ทั้งยังปลอกส้มให้อย่างใส่ใจ ท่าทางไม่รีบร้อนแม้แต่น้อย เขาย้ายมานั่งกับนาง ป้อนส้มให้นางกิน นางจึงต้องกินอย่างเสียมิได้ เขายิ้มตาหยี สีหน้าผ่อนคลาย ส่วนนางทำได้เพียงอ้าปากอยู่ใต้อำนาจเขา
มีชีวิตเช่นนี้ช่างน่าอัดอั้นตันใจเสียจริง!
คิดไม่ถึงว่านางย้ายหนีหยางอวิ้นอวี๋เสี่ยวเหลียน กลับหนีไม่พ้นพ่อหนุ่มคนนี้
วันคืนเหล่านี้เมื่อไหร่จะจบสิ้นเสียที? ใครก็ได้มาเอาเขาไปเก็บหน่อย!
สวรรค์ชั้นสามสิบเก้าที่แท้ไปอย่างไร? นางต้องแอบไปฟ้องร้องอย่างสุภาพกับหุนคุนและหนี่ว์วาหรือไม่?
“แสดงวิชาถ่ายทอดทางใจของจิ้งจอกแดงให้ข้าดู” ลู่ยาป้อนนางไปพลาง มองผมสีดำเงางามบนหน้าผากนางไปพลาง ยังมีขนตาหนายาวและจมูกจิ้มลิ้มงดงาม แก้มสองข้างขยับไปมาเพราะเคี้ยวตุ้ยๆ ช่างน่ารักอย่างมาก เขาอยากจะบีบสักครั้งจริงๆ
มู่จิ่วใจเต้นกระหน่ำ อึกอักพูดว่า “ไม่ได้เอามา”
“วางไว้ที่ไหน ข้าจะไปเอามา” เขาพูดอย่างพออกพอใจ
“ข้า ข้าลืมแล้ว ต้องหาก่อน” มู่จิ่วยืดคอกลืนส้มลงไป แล้วหยิบแก้วบนโต๊ะขึ้นมาดื่มชา
ลู่ยามองแก้วชานั้นอย่างเย็นชา เอ่ยว่า “นั่นของข้า”
…………………………………………….