ลู่ยาเหลือบมองนาง เป่าบาดแผลให้ จากนั้นลูบเบาๆ ด้วยนิ้วทั้งห้าที่ด้านข้าง ประหลาดนัก บาดแผลนั้นค่อยๆ สมาน เดิมทีเข้าใจว่าฤทธิ์การรักษาของยาหลิวหยางนั้นน่าอัศจรรย์มากที่สุด แต่ตอนนี้ดูแล้วประสิทธิผลไม่เหมือนกัน แต่มู่จิ่วรู้ว่าคนตรงหน้านี้เป็นมหาเทพ ถึงแม้ไม่เคยเห็นเขาออกแรงปะทะกับใคร อย่างไรเรื่องรักษาบาดแผลสำหรับเขาแล้วคงไม่ต้องเอ่ยถึง
“เบื้องหลังเฉินผิงคงจะมีเรื่องราวภายในอีก ถึงแม้ข้าไม่รู้ว่าทำไมอ๋าวเจียงทำร้ายเจ้า แต่เจ้าต้องพยายามไม่ปะทะกับเขาซึ่งหน้า ไม่ว่าอย่างไรเฉินผิงก็ตายด้วยเงื้อมมือเจ้า เรื่องนี้เจ้าต้องพยายามเกลี่ยให้เรียบ”
ลู่ยารินชาให้ตนเองพลางพูด
มู่จิ่วเอ่ย “รู้แล้ว ข้ารู้จักขอบเขต”
แสงในห้องค่อนข้างทึม น้ำในทะเลสาบลึกหลายสิบจั้ง ต่อให้เหม่ารื่อซิงจวิน[1]ขยันขึ้นอย่างไร แสงอาทิตย์ที่ส่องลงมาก็ยังจำกัดอยู่ดี ลู่ยาที่นั่งตามสบายดูแล้วเหมือนเป็นเงาของนาง ช่างทำให้คนใจสงบ ในห้องเงียบขนาดนี้ นางพลันอยากเข้าใกล้เขาอีกสักหน่อย จึงเลื่อนเก้าอี้เข้าไปใกล้เขา แล้วพูดขึ้น “เจ้าล่ะ? วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
ถึงแม้นางนั่งอยู่ก็ต้องแหงนหน้าขึ้น ถึงจะสบสายตากับเขาได้
ลู่ยาหันหน้ามา “ข้าสบายดีมาก วังประจิมไสวไม่มีคนอยู่ แต่ที่นั่นใกล้กับวังวารีม่วงของราชินีมาก ข้าว่างไม่มีอะไรทำจึงเดินไปทั่ว ที่แท้เผ่าพันธุ์ของราชินีคือเผ่ามังกรทะเลเขียว หลังจากแต่งให้อ๋าวเชินแล้วมีลูกชายสี่ลูกสาวสอง นับจากอ๋าวเชินกับหงส์เพลิงคบชู้กัน ความสัมพันธ์ของอ๋าวเชินกับราชินีก็ย่ำแย่”
มู่จิ่วขมวดคิ้วพูด “ในเมื่อให้กำเนิดบุตรมากขนาดนี้ ความรู้สึกต่อกันย่อมต้องไม่เลว ทำไมอ๋าวเชินถึงได้คบชู้กับหงส์เพลิงได้? และอ๋าวเชินหน้าตาน่าเกลียดขนาดนี้ อ๋าวเจียงกลับหน้าตาไม่เลวนัก ตามเหตุผลแล้วราชินีน่าจะเป็นหญิงงาม มิฉะนั้นอ๋าวเชินต้องไม่สามารถให้กำเนิดบุตรชายที่เครื่องหน้าสมบูรณ์แบบขนาดนี้ได้ อ๋าวเชินผู้นี้ไม่ใช่ว่าศีรษะถูกลาถีบไปหรอกนะ?”
ลู่ยาชะงักไปสามวินาที หันมามองนางอย่างจริงจัง “เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอ๋าวเจียงหน้าตาสมบูรณ์แบบ?”
“ใช่ เป็นคนหนุ่มที่หน้าตาสมบูรณ์พร้อมคนหนึ่ง”
ถึงแม้เจ้าคนนี้จะเหมือนโรคจิตก็ตาม มู่จิ่วก็ไม่อาจขัดต่อความรู้สึกในใจและไม่ยอมรับหน้าตาของเขา อีกทั้งนางก็ไม่รู้สึกถึงความหมายแฝงในคำพูดของลู่ยาจริงๆ จึงพูดต่อ “ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงเป็นปฏิปักษ์กับข้า อ๋าวเชินน่าเกลียดขนาดนั้นเขากลับไม่น่าเกลียด หรืออ๋าวเจียงไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของอ๋าวเชิน?”
ลู่ยามองนางอย่างล้ำลึก หมุนกลับมาพูด “นี่เป็นตรรกะอันใดกัน?”
มู่จิ่วยักไหล่ นางก็ไม่รู้เหมือนกัน พูดจาส่งเดชแล้ว
“ไปเถอะ” ลู่ยาดึงนางขึ้นมา “เปลี่ยนเสื้อผ้า กินข้าวเสร็จพวกเราไปสูดอากาศริมทะเลสาบกัน”
มู่จิ่วตัดสินใจทิ้งเรื่องนี้ไว้ด้านหลัง
อย่างไรนางก็เป็นเพียงคนที่เข้าเวรอารักขา หลังผ่านประสบการณ์ในวันนี้ อ๋าวเจียงคงเรียนรู้ที่จะสงบนิ่งแล้ว
ส่วนเรื่องที่เขาจะลอบคิดเรื่องแผลงๆ หรือไม่ ยังไงนางระมัดระวังมากหน่อยก็แล้วกัน
พวกนางเปลี่ยนเสื้อผ้ากินข้าว เพราะอยู่ในน้ำไม่มีฝุ่นดิน ไม่จำเป็นต้องอาบน้ำทุกวัน ดังนั้นจึงใช้เวทกันน้ำของลู่ยาลอยไปยังริมทะเลสาบ
รอบด้านของทะเลสาบน้ำแข็งคือภูเขาหิมะ ตีนเขาถึงจะมีต้นไม้ดอกไม้บ้าง กลับไม่อาจเรียกได้ว่าอุดมสมบูรณ์ กวางเหมยฮวา (กวางซิกา) และเสือดาวเดินเล่นอย่างอิสระอยู่ริมทะเลสาบใต้แสงจันทร์ ทิวทัศน์นี้เปรียบกับสวรรค์ แผ่นดินเก้าทวีป และทะเลทั้งสี่แล้วมีเสน่ห์อีกแบบ
ลู่ยาขี่เมฆมาถึงยอดเขาใจกลางทะเลสาบ หยิบขลุ่ยหยกออกมาจากไหนไม่รู้ วางอยู่บนริมฝีปากแล้วเริ่มเป่า
มู่จิ่วนั่งอยู่ข้างเขา แหงนหน้ามองผืนดาวบนฟ้า ลมเย็นพัดผมและเสื้อผ้าขึ้น คิดๆ ดูนานก็แล้วที่ไม่ได้ผ่อนคลายแบบนี้ ความอึดอัดระหว่างวันค่อยๆ หายไป ถึงแม้ไม่ได้พูดอะไรเลย กลับรู้สึกสุขสบายยากจะบรรยาย
ตอนเช้าวันถัดมา มู่จิ่วไปวังเทียมบูรพาตามเวลา
เจี๋ยเจี่ยส่งเวรให้ก่อนจากไป มู่จิ่วรั้งเขาไว้ และพาเขาไปยังห้องเล็ก “พลทหารเจี่ย ไม่ทราบว่าปฏิบัติงานให้กับองค์ชายสามมานานเท่าไหร่แล้ว?”
เจี๋ยเจี่ยนิ่งไปสักครู่ ค้อมตัวก่อนพูด “ตอบพลทหาร ตั้งแต่องค์ชายสามมาที่วังเทียมบูรพา ข้าน้อยก็อยู่ที่นี่แล้ว”
มู่จิ่วพยักหน้าแล้วพูดอีก “เช่นนั้นไม่ทราบว่าความสัมพันธ์ระหว่างองค์ชายสามกับเฉินผิงเป็นอย่างไรบ้าง?”
เจี๋ยเจี่ยแต่เดิมก้มหัวนอบน้อม ได้ยินประโยคนี้สีหน้าพลันเปลี่ยน! หลังจากเขาเงยหน้าขึ้นมองนางอย่างรวดเร็ว ก็ก้มหน้าลงแล้วพูด “ข้าน้อยไม่คุ้นชินกับองค์ชายเฉินผิง คำถามของพลทหารเกรงว่าไม่มีอะไรจะตอบ”
มู่จิ่วไม่เปลี่ยนสีหน้า เก็บปฏิกิริยาของเขาไว้ในสายตา นางยิ้มๆ และไม่ได้พูดอะไรอีก จากนั้นเดินออกไปกับเขา
ชัดเจนมาก ระหว่างอ๋าวเจียงกับเฉินผิงต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ และเรื่องนี้ยังสำคัญมาก เป็นไปได้ว่าอ๋าวเจียงไม่ให้คนพูดถึง หรือไม่ก็ใครบางคนไม่ให้พูดถึง อย่างไรเป็นเพราะเกิดเรื่องนี้ขึ้น อ๋าวเจียงจึงมองนางขัดหูขัดตา
แต่นางเข้าใจเหตุผล สิ่งสำคัญคือระหว่างอ๋าวเจียงกับเฉินผิงเกิดอะไรขึ้นถึงลากนางเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย?
ทั้งสองคนนี้แม้จะเป็นพี่น้องคนละแม่กัน แต่ดูจากจุดยืนของแม่เขา ควรเป็นน้ำไฟที่ไม่ยอมกันสิ!
วันนี้อ๋าวเจียงไม่ได้มาหานาง
ช่วงเช้านางลาดตระเวนสองที่โดยพื้นฐาน จากนั้นนอนในห้องเล็กนั้น
ตอนบ่ายตอนออกมาลาดตระเวนครั้งสุดท้าย บังเอิญเจอเขาที่ประตูวัง เขาหยุดเท้ามองนางอย่างโกรธแค้น หมุนตัวไปคุยกับองค์หญิงรองที่เดินมาด้วยกันทันที
องค์หญิงรองอ๋าวเจียวมองมู่จิ่วคราหนึ่ง สายตาเรียบเฉยเจือไปด้วยการสืบค้นเล็กน้อย จากนั้นก้มหัวให้นางแสดงความจริงใจ ก่อนเดินไป นี่สิควรจะเป็นท่าทีที่บุตรสาวบุตรชายของราชินีพึงมี ที่จริงสำหรับพวกเขาแล้ว มู่จิ่วเป็นคนช่วยพวกเขากำจัดลูกนอกสมรสของบิดาให้
ผ่านไปแบบนี้สี่ห้าวัน ทางนี้มู่จิ่วไม่มีอะไรคืบหน้าเลยแม้แต่น้อย ไม่เพียงอ๋าวเจียงท่าทางเหมือนคนที่ยอมเลิกราแล้วไม่สนใจนาง แม้แต่อ๋าวเชินก็ไม่โผล่หน้าออกมาแม้แต่ครั้งเดียว กลับกัน ทุกวันลู่ยานำพวกผลไม้ขนมกลับมาจนท้องนางใกล้แตกแล้ว นอกจากนั้นขุนนางเต่านานๆ ครั้งยังเดินไปยังวังเทียมบูรพา
วันนี้หลังจากลาดตระเวนหนึ่งรอบก็เห็นพระอาทิตย์ใกล้เที่ยงแล้ว กลับไปถึงห้องเล็ก กำลังคิดจะนอนสักหน่อย ช่วงสะลึมสะลือนั้นกลับได้ยินเสียงของตกจากไหน ชัดเจนแต่ไม่ดังนัก นางเงยหน้ามองหน้าต่าง เหล่าทหารกุ้งกำลังเดินไปมา เข้าใจไปว่าเป็นเสียงเกิดจากการเคลื่อนไหวของพวกเขา จึงปิดตาต่อ
ไหนเลยจะรู้ว่าปิดตาไม่ถึงสามวินาที เสียงคร่ำครวญกลับดังเข้าหูมา!
นางเด้งตัวนั่งขึ้นมาทันที ครั้งนี้นางฟังไม่ผิด เป็นเสียงครวญคราง และเป็นเสียงคร่ำครวญต่ำอย่างอดกลั้นต่อความเจ็บปวดประเภทนั้นด้วย!
…มีคนบาดเจ็บ?
นางรีบเร่งฝีเท้าไป รอบด้านสงบเงียบ ไม่มีอะไรผิดปกติ
ครั้นตั้งใจฟังอีก การเคลื่อนไหวนี้มาจากตำหนักด้านหลัง!
อ๋าวเจียงออกไปแต่เช้าแล้ว ตำหนักด้านหลังควรไม่มีคน ใครจะร้องคร่ำครวญอยู่ในนั้น?
นางชะงักไปนิดหน่อย จากนั้นก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปในนั้นเงียบๆ
ในตำหนักหลังประตูโถงเปิดอยู่ แต่ห้องอื่นกลับปิด มู่จิ่วเข้าไปตรวจสอบ สุดท้ายไปถึงหน้าฉากกั้นลมตรงโถงหลัก
ตอนนี้ถึงแม้จะเป็นกลางวัน ภายใต้ฉากกั้นลมและเหล่าของบดบังแสงแดดทั้งหลายจึงมืดทึมอย่างมาก มืดจนหากไม่ใช้พลังเพ่งจริงๆ แม้แต่ลายบนฉากกั้นลมก็มองไม่ชัด
………………………………………………………