มู่จิ่วรีบตามไป “อ๋าวเจียง!”
แต่พลังของเขาล้ำลึกมากกว่านาง พริบตาเดียวก็ไม่เห็นเงาแล้ว…
รอจนในที่สุดนางกลับถึงวังมังกรแล้ว รอบด้านสงบไร้คลื่นลม ครั้นเข้าไปดูในวังเทียมบูรพา ประตูปิดแน่น ถามเหล่าทหารกุ้งบนระเบียงทางเดิน พวกเขากลับไม่รู้ว่าอ๋าวเจียงออกไปแต่แรก!
แม้แต่ออกไปยังไม่รู้ เป็นธรรมดาว่าต้องไม่รู้ว่าเขากลับมา มู่จิ่วอ้อมไปด้านหลังที่ไม่มีคนแล้วขึ้นบนยอดหลังคา จากนั้นกระโดดลงมาและเข้าไปทางหน้าต่าง เห็นอ๋าวเจียงบีบคออวิ๋นซีไม่รู้พูดอะไร เห็นนางเข้ามาก็มองอย่างโกรธแค้น
“เจ้าอยากสังหารเขา?” นางถาม
“ไม่เกี่ยวกับเจ้า! ไปซะ!” อ๋าวเจียงดุร้าย
มู่จิ่วชี้เขา “หากเจ้าสังหารเขา ข้าจะไปบอกพ่อเจ้าทันที!”
อ๋าวเจียงโกรธจนกระโดดขึ้นมา “เขาเป็นอะไรกับเจ้า เจ้าถึงปกป้องเขาแบบนี้!”
“ทำไมข้าต้องปกป้องเขา? ข้าปกป้องตัวข้าเองต่างหาก!” มู่จิ่วยิ้มเยาะ “หากรู้แต่แรกว่าเจ้าจะจับคนกลับมาจริง เมื่อครู่ข้าคงไม่ช่วยเจ้า! เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำแบบนี้จะลากข้ามาเกี่ยวข้องด้วย? พ่อเจ้ากำลังลับมีดรอ ไม่รู้จะจัดการข้าอย่างไร หากรู้ว่าข้ากลับช่วยเจ้าจับน้องชายของภรรยาน้อย เขาต้องเฉือนข้าทั้งเป็นแน่!”
“เจ้ากลัวอะไร? ข้าไม่โทษเจ้าหรอก!” อ๋าวเจียงไม่รู้ว่านางเครียดอะไร แต่เดิมก็ไม่เกี่ยวกับนางอยู่แล้ว!
“พูดง่ายนัก!”
มู่จิ่วเหลือบสายตาเย็นเยียบไปมอง พูดพลางเดินไปเพื่อปล่อยอวิ๋นซี
นางไม่สนใจจะยุ่งเรื่องยุ่งเหยิงอะไรระหว่างพวกเขา แต่มีนางเข้าร่วมด้วย นางไม่อาจให้เขาทำเรื่องถึงชีวิตได้
อ๋าวเจียงเข้ามาดึงนางออกอย่างรวดเร็ว เขาหายใจขัดยืนขวางอยู่หน้าอวิ๋นซี แล้วพูด “ใครบอกว่าต้องการสังหารเขา? ข้าบอกว่าแค่จับเขากลับมา ฟังไม่เข้าใจหรือ?! หากเจ้ากล้าปล่อยเขา ข้าจะไปฟ้องว่าเจ้ายุยงให้ข้าไปหาเรื่องเขา!” หากต้องการข่มขู่ใครเล่าจะทำไม่เป็น ที่นั่งตรงบัลลังก์ด้านหน้านั่นเป็นพ่อแท้ๆ ของเขา!
คราวนี้มู่จิ่วโกรธแล้วจริงๆ!
เจ้านี่กลับยังเล่นตุกติกกับนางอีก
“หากเจ้าไม่ได้จับเขามาเพื่อสังหารล้างแค้น แบบนั้นเจ้าจับเขามาทำอะไร?!”
“ข้ามีเรื่องของข้า!” อ๋าวเจียงพูดอย่างโกรธเกรี้ยว
มู่จิ่วเข้าใจ เพียงแต่ไม่เชื่อ
สองคนจ้องตาคุมเชิงกันอยู่ราวกับไก่ชน
อวิ๋นซีที่อยู่บนพื้นกลับพลันหัวเราะขึ้นมา ก่อนพูด “เขาไม่สังหารข้าแน่นอน”
ดวงตาทั้งสองของมู่จิ่วเหมือนโคมสาดส่องไปยังเขา และเขาไม่ได้พูดเล่นจริงๆ ถึงแม้มุมปากยกขึ้น แต่ท่าทางกลับจริงจังนัก!
เขารู้ได้อย่างไรว่าอ๋าวเจียงไม่สังหารเขา?
นางมองนี่แล้วก็มองนั่น ความสงสัยเกิดขึ้นมาอีก
แต่ในเมื่อตัวเขาเองพูดแบบนี้แล้ว นางยืนกรานต่อไปก็ออกจะเกินความจำเป็นไปหน่อย
อ๋าวเจียงเม้มปากถลึงตาใส่นาง ราวกับผ่อนคลายขึ้นหน่อย ส่วนนางก็ไม่ได้พูดอะไรอีก กลับออกไปทางเดิม
นางหยุดอยู่บนระเบียงทางเดิน คิดจะแอบกลับไปฟัง แต่กลับชนเข้ากับผนังอย่างจัง…เจ้าคนแซ่อ๋าวกลับสร้างเขตพลังกั้นไว้!
คืนนี้ไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นอย่างไร ยังไงจนถึงตอนฟ้าสว่างก็ยังมีเสียงเคลื่อนไหวดังออกมา
ถึงแม้เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับนาง แต่ใครจะรู้ว่าอ๋าวเชินขุดหลุมอะไรดักนางไว้? อย่างไรเรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว นางได้แต่หวังว่าอ๋าวเจียงจะทำเรื่องที่เขาควรทำได้อย่างมิดชิด ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เรื่องราวถูกเปิดเผย ก่อนเลิกงานนางจึงยังไปเคาะประตูบอกเขา อ๋าวเจียงไร้สีหน้า ฟังจบก็ปิดประตูไป
ตอนเจี๋ยเจี่ยมารับช่วงงานต่อ มู่จิ่วยังคงส่งงานให้เขาจนเสร็จแล้วค่อยกลับค่ายบัญชาการ
ลู่ยากลับไม่ได้ออกไปไหน นั่งเงียบอยู่บนเตียงนางเพียงลำพัง และตอนนี้เขาควรไปปฏิบัติงานที่วังประจิมไสวได้แล้ว
“เจ้าลาพัก?” มู่จิ่วปลดกระบี่ลงพลางถามเขา
ลู่ยากลับไม่ตอบ ถามนางตรงๆ ว่า “เมื่อคืนเจ้าออกไปไหนกับอ๋าวเจียง?”
มู่จิ่วกำลังหายใจติดขัด คิดจะพูดกับเขา ได้ยินเขายกเรื่องนี้ขึ้นมา จึงรีบเอ่ย “พูดไปเรื่องก็ยาว” พูดจบจึงนั่งลงไป แล้วนำเรื่องที่อ๋าวเจียงลากนางไปจับอวิ๋นซีบอกเขา จากนั้นพลันนึกขึ้นมาได้ “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าตามเขาออกไป?”
ลู่ยาเหลือบมองนาง หันมองไปทางอื่นก่อนพูด “มีอะไรที่ข้าไม่รู้บ้าง”
มู่จิ่วได้ยินคำนี้ก็รู้สึกว่ามีเหตุผล นางมองสีหน้าเขาอย่างละเอียด พลันรู้สึกเหมือนเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น จึงอดไม่ได้เข้าไปใกล้สักหน่อย “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” หรืออ๋าวเชินก็รู้เรื่องนี้? ไม่ก็คนตระกูลอวิ๋นมาหาถึงประตู? แต่ไหนแต่ไรนางไม่เคยเห็นท่าทางแบบนี้ของเขา
“ไม่มีเรื่องอะไร” ลู่ยามองความเครียดบนใบหน้านางพลางคลายสีหน้าลง ก่อนพูด “แค่คราวต่อไปไม่อนุญาตให้ออกไปกับบุรุษโดยส่วนตัวอีก โดยเฉพาะตอนกลางคืน”
สวรรค์คงรู้ว่าตอนหากลิ่นอายของนางไม่เจอ เขาร้อนใจและโกรธเคืองขนาดไหน หากไม่ออกไปนอกทะเลสาบแล้วรู้ว่าพวกเขาไปขวางหงส์เพลิง เขาก็เกือบจะไปจับนางกลับมาโดยไม่สนอะไรทั้งสิ้น
มู่จิ่วอึ้ง “หากข้ามีเรื่องเร่งด่วนล่ะ?”
จะจำกัดอิสระของนางได้อย่างไร? ช่วงนี้มิใช่เขาคบหาเป็นเพื่อนอยู่กับอ๋าวเยวี่ยหรือ ทำไมถึงมีใจมาสนใจว่านางจะออกไปกับใคร?
“ถ้าเช่นนั้นต้องบอกข้า” ลู่ยาเหลือบมองนาง “ยิ่งไปกว่านั้นมีเรื่องอะไรเร่งด่วนที่ข้าช่วยเจ้าไม่ได้หรือ?”
นี่ก็ใช่ มู่จิ่วพยักหน้า แต่นางยังรู้สึกว่าไร้เหตุผลอยู่ “ยังไงข้าก็ยังมีเรื่องบางเรื่องที่ไม่สะดวกพาเจ้าไป”
“เรื่องอะไร?” ลู่ยาลากสายตาคมกริบมองผ่านไป นอกจากนัดพบกับเด็กหนุ่มแล้ว ยังมีเรื่องอะไรไม่สะดวกพาเขาไปอีก? และหากอยากนัดพบ บอกเขาตรงๆ ก็พอแล้วมิใช่หรือ? นางอยากขึ้นฟ้าเขาสามารถพานางขึ้นไปได้ อยากลงดินเขาก็พานางลงดินได้ อยากไปช่วงเวลาไหนเขาก็สามารถพานางไปช่วงเวลานั้น คนอื่นทำได้หรือ? ใครทำได้?
“อย่างเช่นไปปฏิบัติงาน ยังมีเรื่องเมื่อคืน แต่เดิมข้าก็ไม่ได้ไปทำอะไรกับอ๋าวเจียงอยู่แล้ว” มู่จิ่วหักข้อนิ้วอธิบาย นางก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องอธิบาย แต่เพียงรู้สึกว่าต้องพูดให้ชัดเจนถึงจะดี เพื่อเรื่องนี้เขาถึงกับชักสีหน้าใส่นาง ทำให้นางรู้สึกว่าตนเองสุดจะไม่มีหัวจิตหัวใจ
ลู่ยามองสายตาวาดหวังคู่นั้น สีหน้ามีท่าทางผ่อนคลายขึ้น
เขาลากเสียงพูด “เจ้ารู้สึกว่าอ๋าวเจียงเป็นอย่างไร?”
มู่จิ่วทำหน้าเคร่งอยู่สักครู่ ก่อนตอบ “ไม่เท่าไหร่” เจ้าเด็กเวรที่ในหัวไม่รู้คิดอะไรอยู่จะดีได้อย่างไร?
ลู่ยาจ้องนางอยู่ครู่หนึ่ง มุมปากยกขึ้นมา
“ที่จริงช่วงนี้มังกรสาวน้อยนั่นก็ไม่ได้มาพบข้า” เขายื่นหน้ามาข้างหูนางจากด้านหลัง พูดเจือความรู้สึกได้ใจอยู่เล็กน้อย อย่าคิดว่าเขาไม่รู้ว่านางย้ายเวลางานเพราะอะไร นางโง่ขนาดนี้ เขาก็ยินยอมขัดเกลานาง แต่พอแล้ว อย่างไรเสียคนที่ตอนนี้สนใจว่าพวกเขาจะได้อยู่ด้วยกันหรือไม่ก็คือเขา ไม่ใช่นาง
“จริงหรือ?”
มู่จิ่วพลันใจเต้นเพราะเสียงของเขา เอนศีรษะไปข้างๆ โดยไม่รู้ตัว
ลู่ยากลับจับหัวนางเข้ามา แก้มทั้งสองที่อยู่กลางฝ่ามือเขาถูกบีบจนเสียรูป
“แน่นอนว่าใช่” ลู่ยาชักมือกลับ สีหน้าไม่สามารถจริงจังกว่านี้ได้อีกแล้ว “ถ้าเป็นพลังเซียนสายตรงของเจ้าทำอะไรข้าไม่ได้ ดังนั้นข้าต้องถูกมนต์มารของเจ้าแล้ว เจ้าดูสิ ตั้งแต่รู้จักเจ้า แม้แต่พูดคุยกับหญิงคนอื่นข้าก็ไม่สนใจแล้ว เจ้าทำแบบนี้ทำให้ต่อไปข้าแต่งภรรยาไม่ได้ จะเป็นเรื่องใหญ่มากทีเดียว”
มู่จิ่วหน้าร้อนเห่อ จับเสื้อไว้ ศีรษะเงยไม่ขึ้นราวกับหนักพันจิน
…………………………………………………………