ลู่ยาไม่มีเหตุผลที่จะไม่ตอบรับ เขาเหลือบมองมู่จิ่ว เอนร่างไปทางนาง มองเงาของพวกเขาที่สะท้อนแสงจันทร์บนฉากกั้นลมแล้วพูดช้าๆ “ช่างยากที่เจ้าจะยินยอมดูแลข้าก่อน ทำเอาข้าตกใจที่ได้รับความรักแบบไม่คาดฝัน”
มู่จิ่วยิ้มอยู่หลังเขาเหมือนกับดอกหลีที่บานอย่างเงียบๆ
แสงจันทร์ส่องเข้ามา เช่นนี้กลับเป็นความสงบที่หาได้ยาก
เพียงแต่ก่อนนอนกลับพลิกไปมา
นางยังไม่เคยไปทิวเขาริ้วหยก ครั้งก่อนคำนินทาของเถ้าแก่หงส์ยังคงสะท้อนอยู่ในหัวนาง คำสอนที่เลอะเทอะของตระกูลอวิ๋นช่างทำให้เปิดโลก แต่พูดกันตามเหตุผลกลับไม่ใช่แบบนี้ ลู่ยาพูดถูก นางไปครั้งเดียว ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถคลี่คลายความสงสัยในใจ ลู่ยาก็ไม่อาจไปกับนางได้ หนทางเซียนนี้สุดท้ายยังต้องให้นางเดินด้วยตนเอง ฝึกฝนให้มาก ยังไงก็มีประโยชน์ไร้โทษ
ดังนั้นนอนไปสักครู่ ตื่นนอนตอนเช้านางก็จัดการเก็บกวาดแล้วไปยังตำหนักคลื่นหยก
ที่ตำหนักคลื่นหยก อ๋าวเชินตื่นแล้วเช่นกัน
อวิ๋นเฉี่ยนชัดเจนว่าเมื่อคืนพักแรมอยู่ที่นี่ ตอนมู่จิ่วมาถึงนางกำลังช่วยอ๋าวเชินจัดการเครื่องแต่งกายอยู่ที่หน้าต่าง อ๋าวเชินหันหน้ามองนางอย่างล้ำลึก เหมือนกับไม่ยินยอมห่างไปแม้แต่หนึ่งเค่อ…อา ชายชู้หญิงชั่วคู่นี้ นางอดไม่ได้แอบถุยน้ำลายใส่ คนที่ไร้ยางอายนางเห็นมามาก แต่ไร้ยางอายขนาดนี้นางเห็นไม่เยอะจริงๆ
หากนางเป็นราชินีมังกรคงพลิกวังมังกรกลับบ้านมารดาไปนานแล้ว คิดไม่ถึงว่ายังสามารถรั้งอยู่ที่นี่ได้ ช่างน่าเคารพยกย่อง!
แต่อ๋าวเชินหน้าตาน่าเกลียดนัก ไม่ใช่คนที่จะทำให้ผู้หญิงชอบได้ ราชินีอาลัยอาวรณ์อะไรเขา?
ยังมีอวิ๋นเฉี่ยนอีก ผู้ชายบนโลกสูญพันธุ์ไปหมดแล้วหรือ? นางหลับตาลากเอาคนที่เกี้ยวพาข้างตัวมาคนหนึ่ง เทียบกับคนแซ่อ๋าวแล้วยังดีกว่ากระมัง? กลับเลือกชายที่มีลูกชายลูกสาวเป็นฝูงแบบนี้ทำสามี! นางสงสัยว่าคนของเผ่าพันธุ์หงส์เพลิงกรรมพันธุ์ไม่ดีหรือไม่ สมองถึงมีปัญหา?
อ๋าวเชินก็ไม่รู้ว่าทำบุญมาเท่าไร ตนเองน่าเกลียดขนาดนี้ แต่ภรรยาหลักภรรยาน้อยยิ่งมายิ่งสวย บุตรที่ราชินีคลอดให้เขาแต่ละคนล้วนโดดเด่นขนาดนี้ ไม่มีใครเหมือนเขา เป็นไปได้หรือไม่ว่าเป็นเหมือนที่นางเดาไว้ ราชินีสวมหมวกเขียว[1]ให้เขามากมาย ลูกชายลูกสาวเหล่านี้ไม่ใช่เลือดเนื้อของเขา ดังนั้นเขาจึงไปหาเอาข้างนอก?
“เมื่อวานทำไมเจ้าหนีไป?”
นางกำลังยืนบ่นอย่างออกรสอยู่ใต้ต้นซานหู ด้านหลังพลันมีเสียงเย็นชาลอยเข้ามา
เป็นอ๋าวเจียงเจ้าเด็กนั่น
มู่จิ่วรีบทำหน้าตึง “เจ้าทำอะไรลงไป!”
“ข้าทำไม?” ใบหน้าขาวของอ๋าวเจียงแดงแล้ว “ไม่ใช่ข้าคิดพาพวกเขามา และข้าก็ไม่ได้ซัดทอดเจ้าด้วย!”
“มีประโยชน์อะไร? มิใช่ข้ายังต้องไปทิวเขาริ้วหยกเป็นเพื่อนพวกเจ้ารับโทษหรือ?” มู่จิ่วไม่สบอารมณ์ เมื่อวานไม่มีโอกาสด่าเขา วันนี้นับว่ามันเข้ามาอยู่ในมือนางแล้ว ช่างเป็นคนรุ่นเยาว์ที่ทำอะไรไร้ประสบการณ์และพึ่งพาไม่ได้ เขารู้ว่าเรื่องแดงแล้วก็ไม่ส่งคนกลับมาเตือนนางก่อน? ดีร้ายนางก็สามารถย้ายที่ ไม่ให้มือที่สามแซ่อวิ๋นจับได้คาหนังคาเขา!
อ๋าวเจียงหายใจถี่รัวเหมือนกบที่พองลมเต็มที่ มู่จิ่วกลับสะบัดหัว เชิดหน้าใส่เขา
คนล้วนมารวมกันแล้ว แต่กลับยังไม่เห็นอวิ๋นซี
นางแอบมองไปรอบด้าน เห็นเงาร่างสีดำเดินเข้ามาบนทางเดินอย่างช้าๆ
“ออกเดินทาง ออกจากวัง!”
อ๋าวเชินที่น่าเบื่อหน่ายอย่างมากตรงหน้าต่างและอวิ๋นเฉี่ยนเห็นอวิ๋นซีมาแล้ว จึงทำหน้านิ่งถลึงตาใส่พวกมู่จิ่วทั้งสอง จากนั้นลุกขึ้นมาออกคำสั่ง
คนมารวมกันแล้วจึงเริ่มออกเดินทางไปทิวเขาริ้วหยก
ตอนนี้เผ่าพันธุ์หงส์เพลิงแห่งทิวเขาริ้วหยกมีอวิ๋นชือฉางคนโตตระกูลอวิ๋นเป็นผู้นำ ไม่มีการยอมรับจากอวิ๋นชือฉาง แม้อ๋าวเจียงถูกอ๋าวเชินตีตายก็ไม่สามารถปิดคดีได้
ทะเลสาบน้ำแข็งอยู่ทางเหนือ ทิวเขาริ้วหยกอยู่ทางใต้ ห่างกันไม่ใช่เพียงหนึ่งแสนแปดพันลี้ นี่ก็ทำให้มู่จิ่วยิ่งเข้าใจได้ยากถึงหนึ่งในเหตุผลที่อ๋าวเชินกับอวิ๋นเฉี่ยนสามารถมาพบกันได้
อวิ๋นเฉี่ยนกับอ๋าวเชินแต่ละคนมีราชรถ ขนาดใหญ่กำลังแรงไม่น้อย อ๋าวเจียงกับอวิ๋นซีมีพาหนะ มู่จิ่วเพียงขี่เมฆเท่านั้น
เดินทางไปได้หลายร้อยลี้ อ๋าวเจียงพลันลงจากนกจิงเว่ย[2]ตัวนั้นของเขามานั่งเมฆกับมู่จิ่ว
มู่จิ่วเหลือบตามองเขาหลายครั้ง ก่อนพูด “เจ้ามาทำไม?”
เขาทำหน้าตึงยื่นเข้ามา “แผลข้าเพิ่งหายดี เจ้านกนั่นบินฉวัดเฉวียนจนแผลข้าเจ็บ”
มู่จิ่วแค่นเสียงเยาะเย้ย ให้ลมพัดแก้ม ไม่สนใจเขา
อ๋าวเจียงพูดอีก “ดูจากพลังบำเพ็ญอันน้อยนิดของเจ้าแล้ว หากเจ้าเดินทางไกลไม่ไหว เห็นแก่เจ้าที่ช่วยข้า นกของข้าให้เจ้าขี่ก็ได้”
“ขอบใจ!” เก็บไว้เถอะ มู่จิ่วไม่อยากรับน้ำใจเขา ถึงแม้พลังบำเพ็ญนางจะไม่ล้ำลึก แต่พลังฤทธิ์มากพอ ลู่ยาให้ยาเพิ่มพลังแก่นางมามาก และชีพจรของนางก็ทะลวงผ่านแล้ว สามารถพูดโอ้อวดได้ว่า นางไม่ใช่หัวเสินน้อยที่แม้แต่พวกผู้เฒ่าหลายคนจากสำนักตะวันอำพรางยังสู้ไม่ได้อีกแล้ว
อ๋าวเจียงผิดหวังเล็กน้อย เงียบไปสักครู่ ก่อนถามนาง “เจ้ายังโกรธข้าอยู่หรือ?”
สายตาไม่ดีหรือ? นางแสดงออกชัดเจนขนาดนี้ยังถามว่านางโกรธหรือไม่ ดูแล้วไม่เพียงแต่สมองของเหล่าหงส์เพลิงไม่ดี สมองของเผ่ามังกรก็ไม่เท่าไร!
คราวนี้มู่จิ่วไม่มองสักนิด
อ๋าวเจียงเงียบไป สักครู่ก็พูดเสียงเบา “ที่จริงข้าไม่ได้ตั้งใจลากเจ้าเข้ามาลำบากด้วย เพียงแต่วันนั้นข้าต้องการลงมือพอดีแต่หาคนไม่ได้ จึงเรียกเจ้ามา อีกอย่างพวกเขาก็รู้หมดว่าข้ากับตระกูลอวิ๋นไม่ถูกกันนานแล้ว ไม่ใช่เพราะว่าเจ้ายุยงถึงได้…สรุปคือข้าขอโทษเจ้า ขอโทษก็แล้วกัน!”
ขอโทษก็แล้วกัน?
ช่างเป็นผักกาดขาวหัวใหญ่ที่น่าแทะจริง
สีหน้ามู่จิ่วยิ่งหนักอึ้งขึ้น ทำท่าทางจะเรียกเมฆอีกก้อน อ๋าวเจียงกลับยื่นมือดึงนางไว้ “ไม่ให้ไป!”
มู่จิ่วถลึงตาใส่เขา
เขาก็จ้องเขม็งกลับมา “เจ้าเป็นพลอารักขาของข้า แน่นอนว่าต้องติดตามข้า”
มู่จิ่วหรือจะกลัวเจ้าเด็กเหลือขอนี่? ไม่ไปก็ไม่ไป เขากินนางไม่ได้สักหน่อย? จึงจับกระบี่ยืนนิ่ง ก่อนพูด “ไม่ไปย่อมได้ แต่เจ้าต้องบอกข้า ทำไมเจ้าถึงลักพาตัวลำดับที่สี่แห่งตระกูลอวิ๋น หลังจากลักพามาแล้ว เจ้าจับเขาขังไว้ในวังทั้งวัน เจ้าพูดอะไรกับเขา? เจ้าต้องการอะไรจากเขา?”
อ๋าวเจียงอึ้งไปครู่ ปล่อยแขนทั้งสองลง ผ่านไปนานเขาค่อยพูด “ข้าต้องการเอากุญแจจันทรากลับมา”
กุญแจจันทรา?
มู่จิ่วไม่เคยได้ยินของชิ้นนี้ แต่ในเมื่อมีสิ่งนี้อยู่จริง นั่นแสดงว่าเมื่อวานอวิ๋นซีพูดจริง
แต่เขาพูดว่าเอากลับมา?
“กุญแจจันทรานี้แท้จริงเป็นของใคร?” นางยืดตัวเข้ามา เผชิญหน้ากับเขาโดยตรง
“แน่นอนว่าเป็นของตระกูลอ๋าวของข้า” สีหน้าอ๋าวเจียงเย็นชา “กุญแจจันทรานี้บรรพบุรุษข้าให้พ่อข้าไว้ เป็นมรดกตกทอด มีผลต่อการคุ้มครองวิญญาณ ทะเลสาบน้ำแข็งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลตะวันออก กุญแจจันทราคือวิญญาณแห่งทะเลสาบน้ำแข็งเปลี่ยนร่างมา หลังจากพ่อข้ามาที่วังมังกรแห่งนี้ ของชิ้นนี้ก็เป็นหนึ่งในสมบัติของวังเรา ไปเป็นของคนอื่นตอนไหน?”
มู่จิ่วเงียบ
แบบนี้แล้วคำพูดของอ๋าวเจียงกลับไม่เหมือนหลอกลวง หรืออวิ๋นซีโกหก?
“ทำไมอวิ๋นซีบอกว่าเจ้าลักพาตัวเขาเพราะว่าอยากได้ของของเขา? ของของพวกเจ้าวังมังกรทำไมไปอยู่ในมือของพวกเขาได้?”
…………………………………………