“เรื่องนั้นมีเหตุผล!” อ๋าวเจียงพูดอย่างเคียดแค้น “ปีนั้นอวิ๋นเฉี่ยนพาเฉินผิงมาวังมังกร อย่างไรก็เข้ากับท่านแม่ข้าไม่ได้ ทะเลาะกันอยู่บ่อยๆ ทว่าพ่อข้ากลับลังเล ถึงแม้อยากให้พวกเขาแม่ลูกรั้งอยู่ต่อ แต่ก็กลัวท่านแม่สังหารพวกเขาสองคน ดังนั้นจึงเกลี้ยกล่อมให้อวิ๋นเฉี่ยนออกไป เพียงให้เฉินผิงรั้งอยู่ต่อ ให้สัญญาว่าภายหลังเฉินผิงนิสัยอ่อนน้อมค่อยรับนางกลับมา”
“อวิ๋นเฉี่ยนไม่เชื่อ ต้องการให้พ่อข้ามอบกุญแจจันทราแก่นางเป็นหลักประกัน ด้วยเหตุนี้กุญแจจันทราจึงไปอยู่ที่ทิวเขาริ้วหยก”
มู่จิ่วย่อยข้อมูลเหล่านี้สักครู่ ก่อนถาม “แบบนั้นทำไมเจ้าต้องนำมันกลับมา?”
ในเมื่อเป็นตัวอ๋าวเชินรับปากให้นางไปเอง เขากดดันคนรุนแรงขนาดนี้ไม่เหมาะสมนัก นับได้ว่าอวิ๋นซีไม่ได้พูดโกหก
“เจ้าจะรู้อะไร?” อ๋าวเจียงถลึงตาใส่นาง “ที่กุญแจจันทรามีค่า เพราะมันมีความสามารถในการปกปักรักษาวิญญาณแรงกล้ามาก จิตต้นกำเนิดของใครก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นปีศาจ มาร หรือเซียนเทพผีคน เพียงมีจิตต้นกำเนิดสายหนึ่ง ใช้กุญแจจันทราปกปักเลี้ยงดูไว้ ส่วนที่ขาดหายไปสามารถเพาะเลี้ยงจนเต็มสมบูรณ์ ส่วนที่เสียหายกลับมาแข็งแรงได้ ตอนแรกกุญแจนี้แต่เดิมมอบให้อวิ๋นเฉี่ยนเพราะเฉินผิง ตอนนี้เขาตายแล้ว แน่นอนว่าข้าต้องนำกลับมา!”
“หากจะเอาคืนก็ต้องให้พ่อเจ้าไปเอาคืน เจ้าเข้ายุ่งทำไม?” มู่จิ่วรู้สึกว่าเขาทำเรื่องไร้ประโยชน์จริงแท้ และยังมุ่งมั่นขนาดนี้ พบเห็นได้น้อยจริงๆ
“ไม่ใช่เพราะเจ้าหรือ?” อ๋าวเจียงถลึงตาใส่นางอีก “เฉินผิงยังไม่เข้าสู่ความเป็นเซียน ทำได้เพียงอาศัยครรภ์มนุษย์กลับไปเวียนว่ายตายเกิด หากข้านำกุญแจจันทรากลับมา อย่างน้อยก็สามารถปกปักรักษาวิญญาณเขา ทำให้เขากลับชาติมาเกิดเป็นสัตว์วิเศษ!”
มู่จิ่วอ้ำอึ้ง อ้อมไปอ้อมมา คิดไม่ถึงว่ากลับอ้อมมาตกลงบนหัวนางได้?
ทว่าเอาเถอะ ใครใช้ให้นางเป็นคนทำ ‘บาป’ นี้จริง
แต่เขาดีต่อเฉินผิงน้องชายต่างมารดาเกินไปหรือไม่? ไม่เห็นเขาปฏิบัติต่อพี่น้องตนเองดีขนาดไหนเลย!
นางทำได้เพียงพูด “เจ้ากับเฉินผิงที่แท้มีความรู้สึกอะไรพิเศษกัน?”
อ๋าวเจียงฟังถึงตรงนี้ เบ้าตาพลันแดงขึ้น เขามองเมฆที่อยู่ด้านล่างพลางกัดฟันพูด “ที่จริงข้าเป็นคนผิด”
มู่จิ่วอึ้งไป คนผิด? “เรื่องนี้หมายความว่าอย่างไร?”
หรือเขาก็ทำเรื่องผิดต่อคนอื่น?
อ๋าวเจียงเม้มปากมองไปข้างหน้า กลับไม่พูดอะไรต่อ
มู่จิ่วจึงไม่สะดวกจะถามอีก นางย้อนกลับไปคิดคำพูดเมื่อครู่ของเขา ก่อนพูด “ในเมื่อเจ้าคิดจะเอากุญแจจันทรากลับมาช่วยเฉินผิง เจ้าสามารถพูดกับพ่อเจ้าได้ เฉินผิงก็เป็นลูกของเขา เขามีเหตุผลอะไรไม่เห็นด้วย? ยังมีอวิ๋นเฉี่ยนอีก หรือนางไม่หวังให้ลูกชายของตนเองกลับชาติมาเกิดใช้ชีวิตอย่างดีหน่อย?”
“ข้าพูดแล้ว!” อ๋าวเจียงกระฟัดกระเฟียดเอ่ย “แต่เดิมข้าก็เข้าใจแบบนี้ แต่เรื่องกลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย พ่อข้าเคยไปทิวเขาริ้วหยกเพื่อเอากุญแจจันทราแล้ว พวกเขาตระกูลอวิ๋นกลับไม่เห็นด้วย! ไม่เพียงตระกูลอวิ๋นไม่เห็นด้วย แม้แต่อวิ๋นเฉี่ยนก็เหมือนกัน! ในใจของผู้หญิงคนนั้นเฉินผิงไม่นับเป็นอะไร!”
เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด มู่จิ่วฟังแล้วตาเบิกกว้างปากอ้าค้าง
ตระกูลอวิ๋นไม่เห็นด้วย? เป็นเพราะอะไร? อวิ๋นเฉี่ยนอยู่กับอ๋าวเชินหลายปีขนาดนี้ จะไม่รักเฉินผิงได้อย่างไร?
“เจ้าอย่าพูดมั่วซั่ว ไหนเลยจะมีแม่ที่ไม่รักลูกชาย?”
“นั่นเป็นเพราะเจ้าประสบการณ์น้อย ไม่เคยเจอแม่ที่ไม่รับผิดชอบ! ไม่เพียงมีแม่ที่ไม่รับผิดชอบ ยังมีพ่อไร้คุณธรรมแล้งน้ำใจ! เช่นพ่อข้า!” เห็นชัดเจนว่าอ๋าวเจียงพูดถึงสองคนนั้นด้วยความโกรธ แต่สำหรับมู่จิ่วที่เป็นคนนอกซึ่งไม่คุ้นเคย คงไม่ดีหากจะเปิดเผยเรื่องทั้งหมด จึงอดกลั้นคำพูดไว้ที่ลำคอ กลั้นจนหน้าเขียวแล้ว
หากเขายืนกรานจะเข้าใจแบบนี้ละก็ มู่จิ่วก็ไม่คัดค้าน
ที่จริงเรื่องแปลกประหลาดบนโลกนี้มีมาก พ่อแม่ที่ไม่รักเลือดเนื้อเชื้อไขก็ไม่ใช่ไม่มี
แต่นางรู้สึกว่าคนผู้นี้ยังชินกับไม้ไผ่ลำเดียวพลิกเรือคว่ำ[1] เพียงเพราะตระกูลอวิ๋นไม่คืนของมีค่าของตระกูลพวกเขาก็ก่อเรื่องแบบนี้ให้ จุดสำคัญคือของชิ้นนั้นมอบแก่ตระกูลอวิ๋นภายใต้สถานการณ์แบบนั้น นั่นเท่ากับเป็นสิ่งของค้ำประกันคำสัญญา! ความสัมพันธ์ของอ๋าวเชินกับอวิ๋นเฉี่ยนมีหรือไม่มีคุณธรรมละไว้ไม่พูดถึง อย่างไรเสียคนที่ไม่มีความน่าเชื่อถือย่อมไม่สำเร็จ ให้แล้วจะเรียกเอากลับคืน นี่ไร้เกียรติเกินไปแล้ว
ราชรถมังกรด้านหน้าเลิกม่านทั้งสี่ด้านขึ้นหมด จึงสามารถมองเห็นอวิ๋นเฉี่ยนกับอ๋าวเชินศีรษะชิดไหล่ชน กระซิบกันอยู่บ่อยๆ
ทั้งสองคนนั้นที่จริงเข้าสู่วัยกลางคนแล้ว กลับใกล้ชิดกันเหมือนเด็กวัยรุ่นอายุสิบแปด ช่างเหมือนกับคำพูดที่ว่าคนแก่ตัณหากลับ เห็นได้ว่าเมื่อก่อนที่เขาทำตัวเหลวไหลต่อหน้าราชินีมังกรไม่ใช่การพูดส่งเดช เรื่องอื่นไม่เอ่ยถึง เพียงพูดว่าตอนนี้มีลูกชายของภรรยาหลักของอ๋าวเชินอยู่ที่นี่ ยังไม่คิดเก็บอาการบ้าง มู่จิ่วเห็นแบบนี้ มากน้อยก็เข้าใจความรู้สึกของอ๋าวเจียงหลายส่วน
พวกเขาพูดมาถึงตรงนี้ก็เดินทางมาได้ครึ่งทางแล้ว ต้นไม้เนินเขาตรงหน้าค่อยๆ เพิ่มขึ้น เมฆหมอกบดบัง เทียบกับทะเลสาบน้ำแข็งที่มีหิมะปกคลุมตลอดปีแล้ว ทิวทัศน์นี้งดงามราวกับเปิดม้วนภาพออกมากะทันกัน
เดินทางไปอีกครึ่งชั่วยาม เห็นทิวเขาสูงใหญ่เรียงตัวกันไปด้านหน้าอยู่รางๆ พื้นที่ทั้งผืนล้วนเป็นป่า ทิวเขาสูงต่ำ ป่าไม้อุดมสมบูรณ์ ท่ามกลางผืนป่าพลันปรากฎทะเลสาบสีเขียวเข้ม เรียบเหมือนแผ่นกระจก สัตว์วิเศษในป่าเขาบินร่อนไปมา มีเมฆมงคลลอยอยู่ไม่ขาดสาย
อวิ๋นเฉี่ยนกับอ๋าวเชินมาถึงเขตในผืนป่า ทุกที่ที่ผ่านเต็มไปด้วยนกร้อง ค่อยๆ เข้ามาล้อมรอบอวิ๋นเฉี่ยน หงส์ยังเป็นราชาแห่งสัตว์ปีก อวิ๋นเฉี่ยนเป็นองค์หญิงของเผ่าพันธุ์หงส์เพลิง เป็นธรรมดาที่แรงกดดันจะกระตุ้นสัตว์ปีกเหล่านี้
ผู้บังคับราชรถมังกรด้านหน้าสองคนพลันเร่งความเร็วขึ้น ขี่ม้าบินมุ่งไปยังยอดเขาที่สูงที่สุด
คิดดูแล้วนี่คงเป็นทิวเขาริ้วหยก
กลุ่มคนทั้งหมดมุ่งไปยังเขานั้น ใต้เขามีทะเลสาบน้ำสีเขียวกระจ่าง ล้อมรอบภูเขาทั้งสี่ด้าน ใต้ไผ่เขียวที่บดบังเลียบทะเลสาบมีวังงดงามละเอียดอ่อน ทับซ้อนเป็นชั้นๆ เข้าไปในใจกลางภูเขา! สถานที่ซ่อนอยู่แบบนี้ หากไม่ตั้งใจมาหาต้องหาไม่เจอแน่!
“เจ้าบอกว่าเจ้าหลอกอวิ๋นซีออกมา ที่แบบนี้เจ้าหาเจอได้อย่างไร?” มู่จิ่วอดสงสัยไม่ได้ หันหน้าไปมองอ๋าวเจียง
“ข้าเคยมา” อ๋าวเจียงกดหัวเมฆลง ยังคงเกร็งคางไว้ “ตอนที่อวิ๋นเฉี่ยนเพิ่งทิ้งเฉินผิงไป ข้าเคยแอบมาหานางเป็นเพื่อนเขา”
มู่จิ่วถอนหายใจ พี่ชายต่างมารดาอย่างเขายังทำถึงขนาดนี้
ตอนพูดคุยกันพวกเขาหยุดลงบนแท่นที่ยื่นออกมาจากทะเลสาบ แท่นเป็นแท่นหยก ด้านล่างเป็นชั้นหิน เส้นทางสามเส้นบีบให้มุ่งไปยังประตูวังที่อยู่ชิดภูเขา ประตูมีพลอารักขาอยู่สองแถว ตรงหน้าสุดคือผู้ติดตามที่สวมเสื้อระยิบระยับ บนศีรษะครอบมงกุฎหางนกยูง แสดงให้เห็นถึงร่างเดิมที่เป็นปีศาจนกยูง
ไม่รู้ว่าราชามังกรพูดอะไรกับปีศาจนกยูง กลุ่มคนทางนี้จึงเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ที่จริงอ๋าวเชินเป็นราชามังกร และยังเป็นเขยของตระกูลหงส์เพลิงด้วย
มู่จิ่วไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะได้เดินทางมาเป็นเพื่อนกับกลุ่มคนแปลกประหลาดแบบนี้ เข้าไปในที่แปลกประหลาดเช่นนี้ ตลอดทางไร้คำพูด ดีที่วังนี้อาศัยภูเขาสร้างได้งดงามเฉพาะตัว เข้าประตูวังไป สิ่งก่อสร้างอะไรล้วนมี น้ำพุไหลเข้ามาจากบนเขา แต่ละชั้นของภูเขากลายเป็นน้ำตกเล็กๆ ในลานทั้งสี่ด้านล้วนเป็นต้นอู๋ถงหอมหมื่นลี้ ทิวทัศน์ไม่เลวเลย
ขึ้นไปขั้นบันไดประมาณสามขั้น พื้นก็สูงขึ้นมา ที่แท้สิ่งก่อสร้างของวังหลังชนกับทิวเขาริ้วหยก หน้าหันเข้าทะเลสาบที่สร้างอยู่ช่วงกลางเขา
ตำหนักใหญ่ชื่อตำหนักสุริยัน อ๋าวเชินกับอวิ๋นเฉี่ยนมุ่งตรงเข้าไป ถึงประตูจึงหยุดลง จากนั้นทำหน้านิ่งหันไปมองอ๋าวเจียงและมู่จิ่ว “ยังไม่เข้าไปอีก!”
………………………………………………………………