นางแอบไปตามระเบียงทางเดินแต่ละชั้นๆ ลึกเข้าไป สุดท้ายราวกับเข้าไปกลางไหล่เขา ท้องฟ้าไม่สว่างเหมือนข้างนอก ตลอดทางล้วนมีแสงคบไฟส่องสว่าง บนทางเดินที่เงียบเสียจนเกือบได้ยินเสียงเต้นของหัวใจ ยังมีเสียงติ๋งติ๋งของธารน้ำแว่วมาเบาๆ
ทางเดินนี้เหมือนแขนที่ยื่นเข้าไปในกลางไหล่เขา ยื่นยาวลึกเข้าไปไกล
มู่จิ่วกลั้นลมหายใจรวบรวมสมาธิ ก่อนเดินเข้าไป
ผ่านทางเดินที่มืดทึมไปช่วงหนึ่ง ตรงหน้าพลันสว่างขึ้น นางออกมาจากปากถ้ำ สุดท้ายมีอาคารเล็กผนังทองส่องสว่างที่ประณีตงดงามหลังหนึ่ง อาคารนี้ตัดกับกลุ่มวังที่เรียบง่ายทว่าโบราณด้านหน้า โอ่อ่าเลอค่าอย่างมาก ดูจากของประดับตกแต่ง ตำหนักนี้ไม่ได้สร้างด้วยกันกับวังด้านหน้า
ที่นี่ให้ใครอยู่?
มู่จิ่วเกิดความสงสัย แต่นางกลับไม่กล้าเข้าใกล้ ตามความรู้ทั่วไป คนที่มาซ่อนตัวถึงสถานที่แบบนี้ส่วนใหญ่ล้วนไปมีเรื่องด้วยไม่ได้ นางเดินมาครั้งนี้เพียงแค่เดินเล่นเพื่อเสี่ยงโชคเท่านั้น ไม่คิดจะเสี่ยงกับอันตรายที่ไม่จำเป็น
“วันนี้เขาเป็นอย่างไร?”
กำลังคิดจะไปสำรวจสักหน่อยค่อยกลับตำหนักหอมกำจาย ตอนนี้เองด้านหลังกลับพลันมีเสียงที่คุ้นเคยดังเข้ามา
นางตกใจ พลันหันศีรษะกลับไป เห็นเพียงอวิ๋นซีเดินก้าวยาวๆ เข้ามา มุ่งตรงเข้าไปในอาคารตามการนำของผู้ติดตาม
เขา?
มู่จิ่วขมวดคิ้ว เขาที่ว่านี้คือใคร? เห็นอวิ๋นซีเดินเร็วขนาดนี้เหมือนใส่ใจยิ่ง หรือที่นี่เป็นที่พักของคนที่สำคัญมาก?
นางพลันละทิ้งความคิดที่จะไปเสีย เลือกเดินเข้าไปยืนที่ปลอดภัยฝั่งตรงข้าม ห่างจากประตูใหญ่ไปไม่ถึงสามจั้ง
ตอนนี้ไฟในห้องสว่างขึ้น หน้าต่างที่เปิดออกเผยให้เห็นคนที่เอนร่างอยู่ คนผู้นี้คืออวิ๋นซี แต่สายตาเขาจดจ้อง ท่าทางราวกับกำลังสนใจใครอยู่ นี่ยิ่งทำให้มู่จิ่วสนใจใคร่รู้ ความประทับใจที่อวิ๋นซีให้แก่นางตั้งแต่ต้นจนจบคือเกียจคร้านเชื่องช้า ทว่าท่าทางเขาตรงหน้านี้กลับจริงจัง
นางกัดฟันมองซ้ายขวา เรียกพลังลมปราณกระโดดขึ้นไป
เมื่อยืนอยู่ที่สูงจึงมองเห็นได้มากขึ้น ที่แท้บนตั่งริมหน้าต่างมีคนเอนนอนอยู่ หลังเขาพิงหน้าต่าง หน้าหันไปหาอวิ๋นซี สวมเสื้อขาวธรรมดา ผมยาวแผ่กระจายอยู่บนแขนและแผ่นหลัง กระทั่งยังแผ่ไปบนผ้าห่ม ดูจากรูปร่างแล้วน่าจะเป็นผู้ชาย กายสูงโปร่งและค่อนข้างผอม
คนนี้เป็นใคร?
มู่จิ่วสงสัย ก้มหน้ารำลึกความทรงจำแต่ก็ไม่พบอะไร
นางพยายามฟังว่าพวกเขาพูดอะไร แต่กลับได้ยินไม่ชัดเจน เพียงได้ยินคร่าวๆ ว่าผู้ชายเสื้อขาวที่เสียงต่ำและเนิบผู้นี้พูดอะไรบางอย่าง บางครั้งยังตามมาด้วยเสียงหายใจติดขัด
เขาป่วย?
“ใครอยู่ข้างนอก?!”
ทางนี้กำลังครุ่นคิด อวิ๋นซีที่อยู่ในห้องพลันขมวดคิ้วตะโกนขึ้น ต่อมาพลอารักขารอบด้านจึงถือกระบี่พุ่งออกมา
มู่จิ่วตื่นตกใจ มองดูซ้ายขวาไม่มีคน แต่ตอนนี้อวิ๋นซีกลับพลันบินออกมาจากในห้อง!
ที่แท้เขามุ่งเข้ามาหานางจริงๆ!
นางไม่มีเวลาคิดมาก เรียกพลังขึ้นมาแล้วหมุนตัวกระโดด พุ่งออกจากถ้ำไปราวกับลูกธนู
อวิ๋นซีมองเงาเขียวที่พาดผ่านออกไป คิ้วและตาปรากฎรอยครุ่นคิดเพิ่มขึ้น
เสียงของอวิ๋นหมินลอยออกมาจากหน้าต่าง “เป็นใคร?”
“อ้อ เป็นข้าดูผิดไป” อวิ๋นฉัวตอบรับหนึ่งประโยค จากนั้นหมุนตัวเข้าห้องไป
มู่จิ่วกลับมาตำหนักหอมกำจาย อ๋าวเจียงโดดผลุงขึ้นราวกับต้มน้ำลวกเท้าตัวเอง “เจ้าไปไหนมา?!”
มู่จิ่วเทชาดื่มทำคอให้ชุ่มชื้นก่อน จึงค่อยพูด “ข้าออกไปเดินเล่น” พูดจบนางก็นั่งลง ก่อนพูดอีก “เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนตระกูลอวิ๋นที่อาศัยอยู่ในอาคารเล็กกลางไหล่เขาคือใคร?”
อ๋าวเจียงอึ้ง “กลางไหล่เขา?”
มู่จิ่วถอนหายใจ เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง “เห็นอวิ๋นซีใส่ใจขนาดนั้น คนผู้นี้ต้องเป็นใครสักคนในตระกูลอวิ๋น”
“ลำดับที่สองของตระกูลอวิ๋น!” อ๋าวเจียงทำหน้าเคร่ง “ตระกูลพวกเขามีเพียงคนเดียวที่ป่วย คนที่เจ้าพูดหากไม่ใช่บุตรลำดับที่สองยังจะเป็นใครได้?”
“ลำดับที่สองตระกูลอวิ๋น?” มู่จิ่วคิด เหมือนกับเคยได้ยินใครที่ไหนพูดมาก่อน จึงคิดอีก ใช่แล้ว วันนั้นเถ้าแก่หงส์พูดถึงนี่! นางคล้ายพูดว่าลำดับที่สองของตระกูลอวิ๋นป่วยหรืออะไร “ลำดับที่สองผู้นี้ป่วยเป็นอะไร?”
“ข้าก็ไม่ชัดเจนนัก” อ๋าวเจียงพูด “อย่างไรก็ตาม เท่าที่ข้ารู้คือพันกว่าปีแล้ว ขวดยาไม่ห่างกาย ตระกูลอวิ๋นก็ทำเหมือนเขาอยู่ไปวันต่อวัน”
“อยู่ไปวันๆ จะจงใจขุดถ้ำภูเขาสร้างอาคารเล็กให้เขาอยู่หรือ?” มู่จิ่วไม่เชื่อ นางไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็น ระดับความงดงามของอาคารเล็กนั้น เทียบกับตำหนักทางถนนตะวันออกแล้วมีแต่หรูหรากว่า หากไม่ใช่ลำดับที่สองตระกูลอวิ๋นได้รับความสำคัญจากพวกเขา ตระกูลอวิ๋นทั้งหมดมีเหตุผลอะไรต้องลงแรงขนาดนี้?
อ๋าวเจียงเหมือนรู้สึกขัดแย้งเช่นกัน จึงพูด “บางทีอาจเป็นเพราะตระกูลอวิ๋นแต่เดิมผู้สืบทอดน้อยมาก ดังนั้นจึงให้ความสำคัญเป็นพิเศษ”
มู่จิ่วไม่แสดงออกอะไร
คำพูดนี้ของเขาพูดได้มีเหตุผล แต่นางกลับแอบรู้สึกว่ายังไม่ใช่เพียงเท่านี้ ถ้าหากเป็นเพียงแค่นี้ อวิ๋นซีคงไม่ถึงกับใส่ใจขนาดนั้น? แน่นอน หากไม่พูดว่านั่นเป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องนางก็จนปัญญา สรุปคือนางรู้สึกว่าตระกูลอวิ๋นนี้แปลกนัก
“ใช่แล้ว!” คิดถึงตรงนี้นางพลันยืดตัวขึ้น “เจ้าพูดว่าพวกเขาเอากุญแจจันทราไปไม่ยอมปล่อย ใช่หรือไม่ว่าเพื่อให้ลำดับที่สองแห่งตระกูลอวิ๋นปกปักรักษาวิญญาณ?”
อ๋าวเจียงกำลังดื่มชา ได้ยินคำนี้ก็อมชาอยู่นานถึงค่อยกลืนลงท้องไป “ไม่น่าใช่? ไม่คู่ควรเลย!”
เขาวางแก้วชาลง ครุ่นคิดพลางพูด “ลำดับที่สองตระกูลอวิ๋นอย่างมากก็ร่างกายอ่อนแอ เฉินผิงกลับตายแล้ว ไหนเลยจะมีคนเป็นแม่ที่แม้แต่ลูกชายตัวเองก็ไม่สนใจ แล้วไปห่วงใยพี่น้องที่ร่างกายแต่เดิมก็อ่อนแออยู่แล้ว? ยิ่งไปกว่านั้น กุญแจจันทรายังส่งให้ตระกูลอวิ๋นเพราะอวิ๋นเฉี่ยน หากต้องการใช้ ไหนเลยจะไม่ใช้กับเฉินผิง? ไม่ว่าเขาตายหรือยัง ของชิ้นนี้ควรจะให้เขาใช้ก่อนมิใช่หรือ?”
นี่ก็ถูก หากไม่ใช่ให้ลำดับที่สองแห่งตระกูลอวิ๋น ทำไมตระกูลอวิ๋นถึงเก็บกุญแจจันทรานี้ไว้ไม่เอาออกมา?
มู่จิ่วคิดๆ ก่อนพูด “ข้ายังรู้สึกว่าคนผู้นั้นมีปัญหา สีหน้าของอวิ๋นซีที่ข้าเพิ่งเห็นแปลกมาก นั่นต้องไม่ใช่ความใส่ใจฉันพี่น้องธรรมดาแน่ ความใส่ใจแบบนั้นเหมือนการดำรงอยู่ของลำดับที่สองแห่งตระกูลอวิ๋นสำคัญอย่างมากสำหรับพวกเขา…”
“อวิ๋นซี?” อ๋าวเจียงได้ยินชื่อนี้กลับชะงักไปครู่ “เจ้าเพิ่งพูดว่าอวิ๋นซีพบเจ้า?”
“ใช่” มู่จิ่วพยักหน้า พริบตานั้นนางก็ตกใจ “ไม่ผิด พลังบำเพ็ญเขาสู้ไม่ได้แม้แต่เจ้า เจ้ามองเสื้อซ่อนเซียนข้าไม่ออก เขาจะพบได้อย่างไร?”
สีหน้าของอ๋าวเจียงกับนางพลันเคร่งขึ้น
ฟากลู่ยาเข้าประตูวังประจิมไสวกับอ๋าวเยวี่ย เดินตามระเบียงทางเดินเข้าไปยังโบตั๋นม่วงด้านใน
ตลอดทางอ๋าวเยวี่ยไม่ได้พูดอีก แต่เดินมองสำรวจไปรอบด้าน ลู่ยาก็ไม่เคยเข้ามาข้างใน แต่เขาเอามือไพล่หลัง เดินเรื่อยเปื่อยอย่างผ่อนคลายยิ่ง
ผ่านประตูตำหนักสองประตู ก็มีกลิ่นดอกไม้ลอยมา กลุ่มดอกโบตั๋นม่วงที่เบ่งบานผืนใหญ่ปรากฏในครรลองสายตา ดึงดูดผีเสื้อมากมายมาบินพัวพัน
ดอกโบตั๋นม่วงแต่ละต้นล้วนมีลำต้นหนาเท่ากับปากชาม และมีความสูงเท่าคนธรรมดา ดูออกว่าอายุหลายปีแล้ว
อ๋าวเยวี่ยหยุดเท้าลงใต้ต้นไม้ ยิ้มก่อนพูด “ดอกโบตั๋นหลายต้นนี้หลายปีก่อนย้ายมาจากเขาคุนหลุน ปลูกไว้น่าจะมากกว่าพันปีแล้ว”
…………………………………………………