นางทิ้งเขาอ้อมผ่านพุ่มดอกโบตั๋นมาถึงด้านหลัง นำพลังลมปราณทั้งหมดในร่างมารวมที่นิ้ว วาดวงกลมตามรากโบตั๋น จากนั้นเรียกพลังอีกครั้ง เห็นเพียงโบตั๋นที่ปลูกไว้สามต้นลักษณะเหมือนอักษรพิ่น (品) ค่อยๆ ลอยขึ้นมากลางอากาศ รากโบตั๋นลึกราวสามฉื่อ ลึกลงไปมีหลุมลึกสี่เหลี่ยมขนาดราวฉื่อสร้างจากหินหยก!
ที่แท้ด้านล่างดอกโบตั๋นกลับมีหลุมลึก!
ถึงแม้อ๋าวเยวี่ยยังออกแรงอยู่ แต่บนใบหน้าชัดเจนว่ามีความตกใจระคนยินดี ตอนโบตั๋นลอยขึ้นมาถึงประมาณความสูงครึ่งคน นางเดินเข้าไปนั่งยองๆ อยู่ข้างหลุมเพื่อสำรวจด้านใน
แสงค่อนข้างมืดทึม แต่ไม่ยากที่จะพบว่าในหลุมมีกล่องสลักดอกไม้ขนาดฝ่ามือซ่อนอยู่
นางยื่นมือเข้าไปอย่างตื่นเต้น หยิบกล่องไว้ในมือแต่กลับยกไม่ขึ้น กล่องนี้มีพลังยิ่งใหญ่มากดูดไว้ ทำให้นางไม่อาจไม่ใช้พลังส่วนหนึ่งงัดมันขึ้นมา
ทั้งในและนอกวังล้วนเงียบกริบ ความเงียบนี้ทำให้ยิ่งกังวลและตึงเครียด
นางกัดฟัน นำพลังที่เหลือทั้งหมดส่งมาอยู่ที่ปลายนิ้ว ก่อนนำกล่องนี้ขึ้นมา
ไม่รู้ว่ากล่องนี้อยู่มากี่ปีแล้ว ขยับสักหน่อย เสียงเคลื่อนไหวของพลังที่ส่องสว่างและเงียบงันดังขึ้นมาอย่างชัดเจน
เห็นตัวอักษรบนกล่อง นางจับอกสงบอารมณ์ ก่อนมองไปรอบด้าน แล้วเปิดกล่องออก
กล่องมิได้ทำจากทองคำธรรมดา แต่เป็นเหล็กโบราณที่สามารถสะสมพลังได้ สำคัญและมีค่าอย่างมาก แต่ในกล่องนี้กลับ…
“ทำไมถึง…”
นางชะงักไปทันที!
“ที่แท้วังประจิมไสวนี้ยังซ่อนของไว้จริงเสียด้วย”
ยามนางกำลังนิ่งอึ้งอยู่นั้น ด้านหลังพลันมีเสียงดังขึ้นมา เสียงนี้บางกระจ่างใส เหมือนน้ำไหลในลำธาร และเหมือนหยดน้ำค้างที่หยดลงในป่า…ดวงตาทั้งสองของอ๋าวเยวี่ยเบิกกว้าง หมุนตัวเหมือนลูกข่างหันมามองลู่ยาที่ยืนอยู่ข้างหน้ากอดอกสบายๆ พริบตาเดียวใบหน้าซีดขาวราวขี้เถ้า “เจ้าไม่โดนฝ่ามือข้า?!”
“ชัดเจนว่าไม่โดน”
ลู่ยาเดินไปตรงหน้านาง รับกล่องมาจากในมือนางก่อน มองมันสองครั้งก่อนมองนาง “ในนี้ใส่อะไร?”
อ๋าวเยวี่ยสีหน้าชะงัก พลันเก็บพลังลมปราณทั้งหมดเข้ามาแล้วร่ายเวท เหลือบมองด้านหลังเตรียมจากไป ลู่ยาคว้าหลังคอนางไว้ได้ จับนางกลับมา “เหยี่ยวพิษพลังบำเพ็ญแค่ไม่กี่หมื่นปีตัวหนึ่ง คิดจะหนีไปจากเงื้อมมือข้า มิใช่ว่ามองตนเองสูงส่งไปสักหน่อยหรือ?”
พูดจบเขากดหัวนางลงไป องค์หญิงมังกรผู้งดงามฉับพลันกลายเป็นสัตว์ประหลาดหัวแหลมหางแหลม บนหัวมีเขาเดียวงอกอยู่!
เหยี่ยวพิษมองเขาอย่างตื่นกลัว หมุนไปอ้าฟันอันน่ากลัวโจมตียังข้อมือเขา…สัตว์ร้ายโบราณคือสัตว์ร้ายโบราณ ถึงแม้อยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ก็ยังไม่ถอยไป กระบวนท่ายังคงดุร้ายไม่ลังเลแม้แต่น้อย แต่ลู่ยาที่ไม่มีอารมณ์เล่นด้วยกลับไม่ให้โอกาสนางบรรลุเป้าหมายอันใด มือที่กดอยู่บนศีรษะนางพลันคลายออก ก่อนจับคออย่างรวดเร็วราวกับอสุนีบาต!
เหยี่ยวพิษใช้กำลังดิ้นรน กลับพลันกระอักเลือดออกมา ลู่ยาส่งลมหมัดเข้าไปไม่หยุด จนร่างกายนางลดขนาดลงเท่ากับนิ้วมืออย่างรวดเร็ว สุดท้ายถูกลู่ยาจับหางสะบัดไปมาอยู่กลางอากาศ แล้วโยนใส่เข้าไปในน้ำเต้าที่หยิบออกมาจากแขนเสื้อ
…………………………..
พวกมู่จิ่วกินข้าวแล้ว จากนั้นก็ไม่มีอะไรให้ทำ
พลอารักขากระเรียนอาศัยตอนเข้ามาเก็บตระกร้าอาหาร พามู่จิ่วออกไปยังตำหนักข้างที่อยู่ด้านหลังตำหนักหอมกำจาย ไม่รู้ว่าเป็นความต้องการของตระกูลอวิ๋นหรือเป็นความคิดของอ๋าวเชิน ส่วนอ๋าวเจียงก็ถูกปล่อยจากการควบคุมตัว
คืนนี้ไม่มีคลื่นลมอะไร ถึงแม้มู่จิ่วยังอยากไปสำรวจอีก แต่กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น ดังนั้นจึงพักผ่อนอย่างสงบเสงี่ยม
เช้าวันถัดมาไปหาอ๋าวเจียงที่ตำหนักหอมกำจาย เขากลับถูกอ๋าวเชินพาไปขอโทษต่อหน้าอวิ๋นชือฉาง นางอดเจ็บปวดแทนเขาอยู่ตรงริมระเบียงทางเดินไม่ได้ มีพ่อแบบนี้ เปลี่ยนเป็นนางมิสู้ตายแล้วไปเกิดใหม่จะดีกว่า
กลับห้องไปรอประมาณครึ่งชั่วยาม อ๋าวเชินส่งคนมาบอกนางให้นางไปด้านหน้า เตรียมเดินทางกลับทะเลสาบน้ำแข็ง
คิดไม่ถึงว่าไม่ได้ให้นางไปขอโทษอะไร นี่กลับทำให้นางรู้สึกแปลกใจอย่างมาก จากท่าทางของอวิ๋นเฉี่ยนก่อนหน้านี้ ไม่น่าคิดจะปล่อยนางแม้แต่นิดเดียว!
แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ไม่ได้เรียกนางไป ก็ย่อมไม่มีเหตุผลที่ตนเองจะไปหาที่ประตู เตรียมตัวเสร็จก็ไปที่ด้านหน้า เห็นพาหนะของอ๋าวเชินเตรียมเรียบร้อยแล้ว อวิ๋นชือฉางกับอวิ๋นเฉี่ยนมายืนส่งอยู่บนชั้นบันไดหิน มู่จิ่วสำรวจอวิ๋นเฉี่ยนสักหน่อย เห็นเพียงทั้งใบหน้าล้วนเป็นความอาลัยอาวรณ์ ความกังวลอึดอัดและเหนื่อยล้าเมื่อคืนราวกับเป็นมโนภาพของคนนอก!
ผู้หญิงคนนี้ซ่อนได้ลึกจริง!
มู่จิ่วยืนอยู่ตรงกลุ่มคนโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า ระหว่างทางคาดไม่ถึงว่าสบตาเข้ากับสายตาอีกคู่ อวิ๋นซีที่อยู่ข้างหลังอวิ๋นชือฉางจับจ้องนางแน่นิ่ง สายตาล้ำลึกเหมือนถนนสายที่นำไปสู่อาคารเล็กกลางภูเขาคืนนั้น
ช่วงนี้เหมือนนางได้รับความสนใจเป็นพิเศษ!
นางยกริมฝีปากตอบรับสักหน่อย ก่อนกอดอกมองไปทางอื่น
อ๋าวเชินยังคงนั่งอยู่บนราชรถข้างหน้า มู่จิ่วกับอ๋าวเจียงตามอยู่ข้างหลัง
หนทางกลับเทียบกับตอนขามาแล้วเร็วกว่ามาก บางทีอาจเพราะตอนขามาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตระกูลอวิ๋นเลย
บนทางกลับอ๋าวเจียงไม่ได้พูดถึงเรื่องไปขอโทษเลย มู่จิ่วก็ไม่ได้พูดอะไรกับเขา นางคิดถึงลู่ยาเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเช้าค่ำเขาใช้ชีวิตอย่างไร ไม่นานก็ถึงวังมังกร อ๋าวเชินกลับไปตำหนักคลื่นหยกของเขา แต่ตอนอ๋าวเจียงกับนางเดินไปด้วยกันจนถึงประตูวังใหญ่ เขาพลันหยุดฝีเท้าพลางเอ่ย “เรื่องของอวิ๋นรอง ข้าจะไปถามอีกที” พูดจบก็มุ่งไปทางวังราชินีมังกร
มู่จิ่วชะงักอยู่ที่เดิม ก่อนไปวังประจิมไสว
ไหนเลยจะรู้ว่านางเพิ่งเดินไปได้ครึ่งทาง ทางด้านตำหนักคลื่นหยกพลันมีเสียงตะโกนมา ถึงแม้ฟังไม่ได้ศัพท์ว่าตะโกนอะไร แต่เสียงนั้นกลับเป็นของอ๋าวเชินอย่างไม่ต้องสงสัย!
ยังไม่ทันรอให้นางมีปฏิกิริยามากกว่านี้ เห็นร่างมังกรทองสายหนึ่งกลางอากาศ มุ่งมาทางถนนตะวันตกราวกับฟ้าแลบจากทางที่เสียงตะโกนดังขึ้น ลมฝนที่หอบมาด้วยระหว่างทางเกือบจะเหมือนพายุรุนแรง พริบตาเดียวต้นไม้สั่นกระเบื้องปลิว ทำให้เหล่าทหารตามจุดตรวจบนถนนต่างๆ ตกใจทยอยหลบ!
…วังประจิมไสวก็อยู่ที่ถนนตะวันตก! มู่จิ่วคิด ทันใดนั้นจึงตามไปทันที!
นางเพิ่งถึงรอบนอกวังประจิมไสว เห็นต้นไม้ตรงทางเข้าถูกหักโค่นไปหลายต้น ทหารแถวหนึ่งอยู่ตรงประตูมองเข้าไปข้างใน ไม่รู้ว่าจะเข้าไปหรือไม่เข้าไปดี ความโกรธที่ออกมาจากในประตูวังเทียบกับความกดดันของร่างมู่จิ่วแล้วยังแข็งแกร่งกว่า อ๋าวเชินอยู่ที่ประตูระเบียงทางเดิน หันหน้าไปข้างในขณะทั้งร่างสั่นเทา หมัดที่กำแน่นจนซีดขาว ไหล่ที่แข็งเกร็ง ล้วนแสดงออกถึงความโกรธของเขา
และลู่ยากำลังยืนอยู่ข้างหลังอ๋าวเชิน ถึงแม้ไม่ได้พูดอะไร ใบหน้ายังคงสงบ แต่ความสงบนี้ถ่ายทอดออกมากลับไม่ใช่ความสงบแบบปกติ
“นี่เกิดอะไรขึ้น?” นางรีบเดินเข้ามาในประตูวัง ดึงแขนเสื้อเขา
การพบเจอกันคราวนี้ไม่ทันได้ถามทุกข์สุขและไม่ทันได้ทักทาย
ลู่ยาขมวดคิ้วเปิดปาก เหมือนตอบคำพูดนาง และเหมือนอธิบายกับอ๋าวเชิน “มีเหยี่ยวพิษตัวหนึ่งปลอมเป็นองค์หญิงรอง อาศัยตอนราชามังกรไม่อยู่สองวันนี้ขุดรากโบตั๋นตั้งใจเอาสิ่งของที่ซ่อนอยู่ข้างใต้ โชคร้ายโดนข้าพบเข้า ตอนเหยี่ยวพิษดิ้นรนต่อสู้โดนข้าโจมตีกลับ สัตว์นี้ถูกจับแล้ว แต่ข้าค้นหาในวังมังกรทั้งนอกใน กลับไม่พบร่องรอยของอ๋าวเยวี่ยตัวจริง”
……………………………………………………………