“ยังออกมารับแขกได้?”
มู่จิ่วลูบคาง
“ทำไมหรือ?” อ๋าวเจียงถาม
มู่จิ่วยืนขึ้น เดินไปมาหลายก้าว ลังเลไปสักครู่ก่อนพูด “ยังสามารถออกหน้ารับแขกได้แสดงว่าสุขภาพยังไม่แย่ ทว่าอวิ๋นซีที่ข้าเห็นเมื่อครู่กลับดูอ่อนแออย่างมาก หมายความว่าในพันปีนี้ร่างกายเขาค่อยๆ อ่อนแอลง”
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ต่อไปเขายังมีความเป็นไปได้ที่จะแย่ลงเรื่อยๆ เฉินผิงที่สายเลือดไม่บริสุทธิ์เทียบกับอวิ๋นรองที่สายเลือดบริสุทธิ์ แน่นอนว่าอวิ๋นรองต้องสำคัญกว่า เฉินผิงตายแล้ว แต่ชีวิตของอวิ๋นรองยังยืดเวลาต่อไปได้ และยังสามารถสร้างชีวิตใหม่ สำหรับเผ่าหงส์เพลิงที่แต่เดิมลูกหลานไม่มากแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรือ?
อ๋าวเจียงอึ้ง
มู่จิ่วพูดต่อ “ดังนี้ การที่ตระกูลอวิ๋นยึดกุญแจจันทราไว้มีเหตุผลอย่างมาก ตระกูลอวิ๋นต้องการใช้กุญแจจันทราปกป้องจิตต้นกำเนิดของอวิ๋นรอง แน่นอนว่าพวกเขาต้องไม่คืน จากเรื่องนี้คาดเดาไปได้ว่า อวิ๋นเฉี่ยนพาเฉินผิงไปวังมังกรสักแปดเก้าในสิบส่วนคือฉากบังหน้า”
“ตระกูลอวิ๋นรู้ว่าด้วยฐานะของแม่เจ้าไม่อาจยินยอมให้พ่อเจ้าพาผู้หญิงอื่นกลับมา ดังนั้นพวกเขาใช้ถอยเป็นการรุก ตั้งใจใช้การถอยห่างของอวิ๋นเฉี่ยนแลกกับกุญแจจันทรา พ่อเจ้าหลงใหลอวิ๋นเฉี่ยน ในใจอ่อนยวบยาบ เกรงว่าแม้แต่ชีวิตก็ยินยอมจ่าย ไหนเลยจะใส่ใจกับของนอกกาย?”
อ๋าวเจียงฟังถึงตรงนี้ หมัดทั้งสองข้างอดกำแน่นไม่ได้
นางไม่พูดเขาก็ไม่รู้สึก แต่ละเรื่องแต่ละราวที่เอ่ยออกมามิใช่เรื่องจริงหรือ?
เฉินผิงเป็นเพียงมังกรสี่ขาที่มีธาตุน้ำไฟเท่านั้น และน้ำไฟไม่เข้าคู่กัน ถึงแม้ตอนนี้ไม่ตาย ช้าเร็วก็ต้องได้รับความลำบากด้วยธาตุที่ไม่เข้ากันสองธาตุในร่างกาย เขาที่เป็นเช่นนี้เทียบกับอวิ๋นรองที่มีพลังบำเพ็ญหลายหมื่นปี และยังแบกรับภาระความรุ่งเรืองแทนเผ่าพันธุ์หงส์เพลิง ใครสำคัญใครไม่สำคัญ?
ยิ่งไปกว่านั้นเฉินผิงยังตายแล้ว…ตระกูลอวิ๋นไม่อาจคุ้มครองการกลับมาเกิดของเขาแล้วปล่อยให้อวิ๋นรองตาย!
“เมื่อพูดแบบนี้ หรือการเกิดของเฉินผิงจะเป็นแผนร้ายตั้งแต่เริ่มแรก?”
เขาพูดไม่ออกอยู่บ้าง ไม่เคยคิดเลยว่าเฉินผิงที่ถูกเขาทำลายด้วยตนเองอาจมีความเป็นมาแบบนี้ หากตั้งแต่เริ่มแรก การที่อวิ๋นเฉี่ยนเข้าใกล้อ๋าวเชินคือแผนร้าย หรือเฉินผิงจะเป็นเครื่องบูชายัญโดยแท้? และเขาคือคนชั่วผู้แทงซ้ำเครื่องบูชายัญนี้?!
มู่จิ่วก็ไม่ได้พูด
เป็น ‘ฆาตกร’ ที่สังหารเฉินผิงด้วยตัวเอง ชัดเจนว่านางไม่มีอะไรเหมาะที่จะพูด
แต่ก่อนเพียงรู้สึกว่าตนเองสังหารมังกรดุร้ายไปตัวหนึ่งเท่านั้น ตอนนี้ดูแล้วบางทีเป็นเพียงเด็กที่บริสุทธิ์คนหนึ่ง
นางมองหินสลักบนหน้าต่าง ครุ่นคิดเงียบๆ
แต่ไม่นาน นางพลันหมุนตัวกลับมา ดวงตาทั้งสองมองอ๋าวเจียงอย่างเปล่งประกาย “ไม่ถูกสิ หากพูดว่าเพื่อกุญแจจันทรา อวิ๋นเฉี่ยนจึงเข้าใกล้ชิดพ่อเจ้า แบบนั้นหลังจากนางได้กุญแจจันทราแล้ว ทำไมยังต้องแสดงละครต่อหน้าเขาต่อ?”
อ๋าวเจียงนิ่งอึ้งไปเพราะคำพูดของนาง
พูดตามเหตุผลก็เป็นเช่นนี้จริง หากกล่าวว่าแต่ก่อนยังมีเฉินผิงต้องดูแล แต่หลังจากเฉินผิงตาย อวิ๋นเฉี่ยนอาศัยโอกาสนี้ตัดขาดความสัมพันธ์กับเขาได้ไม่ใช่หรือ? เป็นคุณหนูลำดับสองแห่งเผ่าพันธุ์หงส์เพลิง นางคงไม่มีเหตุผลจะติดใจการเป็นภรรยารองกระมัง?
“ข้าเดาว่าบางทีอวิ๋นเฉี่ยนต้องการแยกจากเขา ก่อนพ่อเจ้าจับข้าได้ นางไม่พบเจอเขาเลยตลอดครึ่งปีมิใช่หรือ?” มู่จิ่วพูด “บางทีตอนนั้นนางตั้งใจไว้แบบนี้แล้ว? เพียงแต่ภายหลังไม่รู้เกิดเรื่องใดอีก ทำให้นางเปลี่ยนใจกลับมาหาพ่อเจ้า”
อ๋าวเจียงเห็นด้วยกับการคาดเดาของนางทั้งหมด “มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่าจู่ๆ อาการป่วยของอวิ๋นรองเลวร้ายขึ้น?”
“อาการป่วยของอวิ๋นรองเลวร้ายขึ้น แต่ราชามังกรได้ให้กุญแจจันทราแก่เขาแล้ว จะช่วยอะไรได้อีก?” มู่จิ่วกอดอกครุ่นคิด “ยิ่งไปกว่านั้น หากอวิ๋นรองไม่ได้บาดเจ็บอะไรกะทันหัน ภายในไม่กี่เดือนนี้อาการป่วยจะหนักขึ้นได้อย่างไร?”
อ๋าวเจียงส่ายศีรษะ คิ้วขมวดกันจนเหมือนมะระ
หากมิใช่นางสงสัยเรื่องเหล่านี้ วันนี้เขาคงคิดไม่ถึงขั้นนี้
เขารังเกียจอวิ๋นเฉี่ยน แม้แต่คนตระกูลอวิ๋นทั้งหมดก็เริ่มเกลียดชัง อ๋าวเชินไม่สนใจภรรยาและลูก ยืนกรานจะอยู่กับนาง ความจริงทำให้เขาเจ็บปวด วันนี้มู่จิ่วคาดเดาอย่างมีเหตุผลและหลักฐาน อ๋าวเชินชัดเจนว่ากลายเป็นผู้ได้รับความไม่เป็นธรรม ถึงแม้เป็นแบบนี้ เขาก็ไม่มีความคิดจะไปบอกบิดาให้หลีกห่างจากอวิ๋นเฉี่ยน
“ก๊อกก๊อก”
ตอนนี้เองประตูมีเสียงเคาะดังเข้ามา เขามองตากันกับมู่จิ่ว ก่อนเอ่ย “ใคร?”
“รายงานองค์ชายสาม ข้าน้อยมาส่งอาหาร”
อ๋าวเจียงไม่ได้พูด จากนั้นประตูตำหนักถูกเปิดออก พลอารักขากระเรียนหลายตัวยกกล่องอาหารเรียงแถวกันเข้ามา
เหล้าอาหารถูกวางเต็มโต๊ะอย่างรวดเร็ว หน้าตาอาหารเทียบกับตอนเลี้ยงรับอ๋าวเชินเมื่อครู่แล้วไม่ด้อยกว่า
“นี่คืออาหารที่องค์หญิงของพวกเราลงมือจัดเตรียมด้วยตนเอง เชิญองค์ชายทานตามสบาย”
ในเผ่าพันธุ์หงส์เพลิงยังมีการแบ่งชั้นต่างๆ ในราชวงศ์ที่เข้มงวด เพียงแต่เพราะกำลังอำนาจของเผ่ามีน้อย ท่ามกลางเผ่าพันธุ์เทพมากมายจึงไม่ได้เป็นที่จับตามอง
รอคนถอยออกไป พลอารักขากระเรียนปิดประตูลงอีกครั้ง มู่จิ่วจึงกวาดตามองโต๊ะ พูดกับอ๋าวเจียงว่า “ดูแล้วเมื่อครู่นางยังยุ่งอยู่กับการรับรององค์ชายสามเช่นเจ้า”
สีหน้าอ๋าวเจียงไม่น่าดูนัก
มู่จิ่วหัวเราะ เตรียมยกตะเกียบขึ้นกิน เห็นปลาซงฮวาตรงหน้ากลับหยุดลง ลู่ยาชอบกินปลาที่สุด แต่นางกลับจำไม่ได้ว่านานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้ทำปลาให้เขากิน…
……………..
ลู่ยามองอ๋าวเยวี่ยที่ล้มลงกับพื้น ผ่านไปหนึ่งเค่อเต็มๆ ถึงได้เงยหน้าขึ้นมา
มองศีรษะที่ดำทะมึนก็เงียบไปครู่ใหญ่ เขาจึงนั่งยองลง ยื่นมือไปตรวจลมหายใจนาง
ลมหายใจอ่อนมาก สม่ำเสมอมาก สภาพเหมือนไม่ได้สติ
เขาตรวจชีพจรนาง กลับอ่อนแรงอย่างมาก…
แต่เมื่อครู่เขาไม่ได้ทำร้ายอะไรนาง
เขาขมวดคิ้วเงียบไปครู่หนึ่ง ยื่นมือจับข้อมือนางแล้วส่งพลังเข้าไป ไม่นานเปลือกตานางขยับ ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา เมื่อประสานสายตากับลู่ยา ทันใดนั้นน้ำตาไหลออกมาจากหางตาของอ๋าวเยวี่ย ท่าทางเปราะบางแบบนี้ ราวกับว่าแม้แต่พระโพธิสัตว์ยังหวั่นไหว
ลู่ยานิ่งเฉย มองนางอยู่อย่างนั้น
“ข้าร่างกายอ่อนแอแต่กำเนิด พาข้าออกจากที่นี่ที” นางยันตัวขึ้นนั่ง พูดลมหายใจติดขัดเล็กน้อย “พาข้าออกจากวังมังกร ข้าจะบอกเรื่องทั้งหมดแก่เจ้า”
โบตั๋นข้างตัวกำลังสั่นไหวเพราะพลังลมปราณที่เคลื่อนไหวในร่างของนาง
ลู่ยาชะงักไปสักครู่ ให้ยาเสริมร่างกายแก่นาง “ส่งเจ้าออกไปได้ แต่เจ้าต้องไปเอง” พูดพลางยืนขึ้นมา หมุนตัวไปทางนอกประตู
อ๋าวเยวี่ยมองแผ่นหลังของเขา กินยาเข้าไป จากนั้นก็ยืนขึ้นตาม และพลันง้างมือสับเข้าหลังคอเขา ลู่ยาเหมือนไม่ได้เตรียมรับมือไว้ก่อนเลย กลับโดนนางโจมตีจนล้มลงไปกับพื้น…
อ๋าวเยวี่ยมองร่างเขาที่ตรงแน่วอยู่บนระเบียงทางเดิน ยิ้มเยาะเย้ย พลันหมุนไปด้านตรงข้าม กลับไปยังประตูวัง
ถึงแม้เขาคิดได้รอบคอบแล้วอย่างไร? อ่านใจนางออกแล้วอย่างไร? เขาเป็นเพียงซ่านเซียนน้อยวัยเยาว์เท่านั้น เทียบฝีมือกับนางแล้วยังห่างชั้นกันมาก! โดนฝ่ามือซัดวิญญาณของนาง ไม่ถึงร้อยกว่าปีก็อย่าหวังจะฟื้นขึ้นมา!
…………………………………………………………………