ลู่ยาไม่สนใจเสียงโวยวายของเขา แล้วพูดต่อ “ดูจากรอยสนิมบนกล่อง ถึงแม้ไม่ใช่หายไปหลังจากเจ้าฝังมันไว้ตอนนั้น อย่างน้อยก็หลายร้อยปี หมายความว่า อย่างน้อยห้าร้อยปีก่อนกุญจันทราหยางก็ไม่อยู่ใต้โบตั๋นม่วงนี้แล้ว”
อ๋าวเชินอึ้งมองเขา หน้าซีดเหมือนขี้เถ้าไปแล้ว
หากคำพูดนี้เป็นมู่จิ่วพูด หรือเป็นคนอื่นพูด เขาต้องไม่เชื่อแน่นอน แต่ความสามารถของลู่ยาทำให้เขาไม่มีหนทางหลีกหนี เขาสามารถจับเป็นเหยี่ยวพิษที่เป็นสัตว์ดุร้ายโบราณ ยังสามารถทลายคาถาของเขาได้สบายๆ เขาไม่มีความจำเป็นต้องคะคานกับเขาเพื่อกุญแจจันทรา ยิ่งไม่มีเหตุผลหลังจากเอาไปแล้ว รออยู่ที่นี่ให้เขาถาม
…งั้นแสดงว่ากุญแจจันทราหยางหายไปแล้วจริง?!
ของมีค่าของวังที่เขาเข้าใจมาตลอดว่าซ่อนอยู่อย่างดีไร้รอยขีดข่วนที่ใต้โบตั๋นม่วงจะหายไปแบบนี้!
“นี่จะเป็นไปได้อย่างไร?” เสียงของเขาสั่นอยู่บ้าง “ห้าร้อยปีก่อน…ถึงแม้จะมีคนเดาออกว่ามันซ่อนอยู่ที่นี่ ก็ไม่สามารถก่อนหน้านานขนาดนั้น ห้าร้อยปีก่อนคือตอนที่ข้านำกุญแจหยินออกมาจากพื้นให้อวิ๋นเฉี่ยนพอดี ภายหลังข้าก็ไม่ได้ไปยุ่งกับมันอีก ใครสามารถเอามันไปได้อย่างเงียบเชียบ?”
สำคัญคือ แม้แต่ตระกูลอวิ๋นที่ไม่ลืมมันอยู่ตลอดยังไม่ได้นำไป คนที่นำมันไปคนนี้ทำได้อย่างไร?
เขาเป็นใคร?!
ในวังเริ่มเงียบกริบ
แม้แต่พวกอ๋าวเจียงยังเปลี่ยนไปไม่อาจยอมรับได้
บางทีพวกเขาไม่ใส่ใจว่าของมีค่าจะมากหรือน้อยลงไปเท่าไหร่สำหรับวังมังกรแล้วมีอะไรต่าง แต่ฝีมือของคนนี้ หลังจากทำสำเร็จแล้วคิดไม่ถึงว่าหลายปีขนาดนี้กลับไม่มีคนรู้ พูดแบบนี้การอารักขาของวังมังกรมิใช่ว่ามีช่องโหว่ขนาดไม่เล็กอยู่หรือ?
มู่จิ่วอึ้งไปนานถึงได้คืนสติกลับมา พูดมานานที่แท้ทั้งตระกูลอวิ๋นและตระกูลอ๋าวเสียแรงเปล่า เมฆหมอกของสองตระกูลที่มีมาแต่เดิมบางลงแล้ว กลับคิดไม่ถึงว่าพลันมีควันกลุ่มใหม่ขึ้นมา…
“สามารถดูได้หรือไม่ว่าใครขโมย?” นางถามลู่ยา
ลู่ยาส่ายหน้า มีเพียงกล่องเท่านั้น ไม่มีร่องรอยอื่น สืบหาอะไรไม่ได้
อ๋าวเชินนั่งลงบนหินข้างตัวอย่างเหนื่อยล้า เพียงแค่ชั่วพริบตานั้น ราวกับแก่ลงไปหลายพันปี
สีหน้าของเขาทำให้คนดูไม่ออกว่ากำลังกังวลหรือกำลังเจ็บปวด กำลังเสียใจที่ของมีค่าหายหรือกำลังเสียใจว่าหลังจากนี้เส้นทางรักกับอวิ๋นเฉี่ยนจบลงตรงนี้หรืออะไร
เหนือหัวมีนกสาลิกาปากดำบินผ่าน เสียงจิ๊บจิ๊บเรียกสติมู่จิ่วที่ลอยล่องอยู่
นางทำคอโล่งมองไปรอบด้าน พบว่าวังมังกรที่แต่เดิมมืดทึมวันนี้ยิ่งกดดัน
ทางนี้เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด หลอกลวง ไม่ยุติธรรม นี่ทำให้นางอดคิดถึงลานบ้านเล็กๆ ของนางไม่ได้ ที่นั่นมีแสงแดดมีฝนพรำ ที่สำคัญที่สุดคือมีเสี่ยวซิงที่มีความซื่อสัตย์และอบอุ่นและอาฝูที่ตาเป็นประกายจ้องของกิน และยังมีซ่างกวนซุ่นที่ชอบบ่นก่นด่าจุกๆ จิกๆ และรักความสะอาดอย่างมาก วันคืนที่ไม่สำคัญและเต็มไปด้วยควันไฟเหล่านั้นช่างมีความสุขมาก เทียบกับเรื่องราวขัดแย้งที่นี่แล้วต่างกันมาก
“ทางนี้ไม่มีเรื่องของพวกเราแล้ว พวกเรากลับกัน”
นางหันหน้าไปเรียกลู่ยา
รู้ชัดเจนว่าพวกเขาทั้งสองฝั่งมีเรื่องอะไรกันก็พอแล้ว กุญแจจันทราหายไปอย่างไร ยังมีหนี้ของพวกเขาทั้งสองตระกูล ล้วนไม่เกี่ยวกับนาง
เมื่อจบห้าเดือนนี้ นางก็กลับสวรรค์แล้ว
“ช้าก่อน!”
เพิ่งเดินไปได้สองก้าว อ๋าวเชินพลันยืนขึ้นมา แต่เขากลับมุ่งตรงไปยังลู่ยาที่ยังยืนอยู่ที่เดิม “เจ้าเอาเหยี่ยวพิษมาให้ข้า ข้ารับปากส่งหนังสือไปยังสวรรค์ยกเลิกโทษห้าเดือนนี้!”
ส่งหนังสือไปสวรรค์ยกเลิกโทษ?
นางฟังไม่ผิดใช่หรือไม่!
มู่จิ่วพลันหมุนกลับมาตรงหน้าเขา “จริงหรือ?”
อ๋าวเชินขมวดคิ้วพูดเสียงหนัก “เอากระดาษพู่กันออกมา!”
นอกประตูผู้ติดตามได้ยินก็นำเครื่องเขียนเข้ามาทันที
อ๋าวเชินจับพู่กันเขียนหวัดๆ ลงไปหลายตัว จากนั้นหยิบตราประทับจากกระเป๋าเล็กประทับลงไป ส่งให้มู่จิ่ว “เจ้าดูว่าจริงหรือไม่!”
บนกระดาษเขียนขอยกเลิกโทษที่สังหารเฉินผิงอย่างไม่ได้ตั้งใจจริง ตอนแรกเขาทุ่มเทลากนางมารับโทษขนาดนั้น ตอนนี้กลับเพราะเหยี่ยวพิษตัวเดียวทำลายความตั้งใจ ยินดีปล่อยนางไป?
“เจ้าไม่คิดร้องทุกข์แทนเฉินผิงแล้ว?” นางถาม
อ๋าวเชินส่ายศีรษะ “เรื่องที่ข้าควรทำล้วนทำแล้ว ระหว่างข้ากับอวิ๋นเฉี่ยน ต้องมีบทสรุป อ๋าวเยวี่ยก็เป็นลูกของข้า ข้าต้องตามหานาง” เขายื่นมือไปหาลู่ยา “ให้ข้าเถอะ”
ลู่ยาลังเลอยู่นาน นำน้ำเต้าหยกใส่ในมือเขา
เขารับมาเปิดดู จากนั้นปิดลง เดินก้าวใหญ่ออกจากวังไป
อ๋าวเจียวยืนนิ่งอยู่นาน ก่อนออกไปกันหมด มีเพียงอ๋าวเจียงที่เดินอยู่รั้งท้ายหยุดอยู่ที่ธรณีประตู จากนั้นก็เดินเร็วๆ กลับเข้ามา “เจ้าต้องกลับสวรรค์แล้วจริงหรือ?”
มู่จิ่วพยักหน้า “แน่นอน”
ในตาของอ๋าวเจียงมีความเสียใจ เม้มปากมองนาง ก่อนจากไป
ในวังประจิมไสวเหลือเพียงมู่จิ่วกับลู่ยาสองคน
จนนอกประตูไม่เห็นเงาคนแล้ว มู่จิ่วจึงหมุนตัวกลับมา มองลู่ยา “ที่แท้เจ้ารั้งอยู่เพราะว่าสงสัยอ๋าวเยวี่ยแต่แรกแล้ว ข้ากลับมองไม่ออกแม้แต่นิดเดียว”
ลู่ยาลูบหัวนางไม่ตอบคำ
มู่จิ่วถามอีก “อ๋าวเยวี่ยตัวจริงอยู่ไหน?”
ลู่ยาส่ายหน้า “ข้าหาไม่เจอจริงๆ อย่างน้อยในทะเลสาบน้ำแข็งไม่มี ข้าก็ไม่รู้ว่านางไปไหน”
มู่จิ่วเงียบ
ในวังมังกรรอบด้านไม่แตกต่างกันกับที่มาวันนั้น
มีหนังสือนี้ อย่างไรก็สบายใจได้
ถึงแม้ยังมีความรู้สึกไม่กล้าเชื่อว่าเรื่องจะจบลงแบบนี้ แต่สถานที่เวรแบบนี้กดดันอย่างมาก ยังกดดันจนทำให้คนหายใจไม่ออก เรื่องเวรนี้จบแล้ว นางก็สามารถหายใจอย่างโล่งอกได้แล้ว ไม่ว่าอย่างไรล้วนเป็นเรื่องดี
หากวันนั้นสามารถคาดเดาได้แต่แรกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างวันนี้ แบบนั้นดอกบัวกลีบม่วงต่อให้ดีกว่านี้นางก็ไม่ไปเก็บ …นางไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วแม้แต่สักครู่เดียวจริงๆ ถึงแม้ยังอยากรู้เรื่องตระกูลอวิ๋น หลังจากออกจากวังนางมุ่งตรงกลับไปเก็บของที่ค่ายบัญชาการ ประมาณไม่ถึงสองเค่อก็ออกจากวังไปกับลู่ยาแล้ว
มาถึงผิวน้ำ ถอนลมหายใจที่สบายที่สุดในรอบสองเดือนนี้ ราวกับแหกคุกออกมารีบกลับสวรรค์ ไม่หยุดเท้าตรงไปยังประตูสวรรค์แดนใต้
ตลอดทางลมเย็นพัดหน้า สบายอย่างพูดไม่ออก
ถึงแม้สองวันนี้ไปกลับทิวเขาริ้วหยกสองรอบอากาศแจ่มใสอบอุ่น ความรู้สึกนั้นกลับไม่เหมือนกันเลย ไม่มีอะไรน่ายินดีไปกว่าการได้รับอิสระแล้ว และสำคัญที่สุดคือ วังมังกรเต็มไปด้วยความโกรธความดุร้าย ทัพทหารสวรรค์ถึงแม้มีเรื่องยุ่งยากไม่น้อย แต่เทียบกันแล้ว กลับนับได้ว่าเป็นแดนที่สงบสุข
หลังจากเข้าประตูสวรรค์แดนใต้ไปแล้ว จึงเข้าวังเทียมเมฆารายงานเหตุผลกับอวี้ตี้ก่อน อวี้ตี้ไม่ได้นำเรื่องมาใส่ใจอยู่แล้ว บวกกับวันนั้นท่าทางของหวังหมู่ชัดเจนขนาดนั้น ทั้งยังมีหนังสือที่อ๋าวเชินเขียนด้วยตัวเอง ไหนเลยยังมีคำพูดอีก? โบกมือพูดสักหน่อยก่อนเอ่ย “รู้แล้ว” แล้วพลิกตัวงีบอยู่ในศาลาแปดมุม
แน่นอนมู่จิ่วเลี่ยงไม่ได้ต้องไปพบหวังหมู่ แต่หวังหมู่ไปป่าไผ่ม่วงแห่งทะเลใต้พูดคุยกับกวนอิม ก็ช่างเถอะ
ระหว่างทางเจออิ่นเสวี่ยรั่วอยู่กับองค์หญิงรองชมดอกไม้ที่สะพานรุ้ง สองคนเห็นนางท่าทางดีใจอย่างมาก ก็อดไม่ได้ถามอย่างสงสัย เมื่อรู้ว่านางถูกอ๋าวเชินคนนั้นจับไปปฏิบัติงาน องค์หญิงรองเหมยอิงอดไม่ได้ช่วยนางบ่นสองประโยค
……………………………………………………………