“แต่ข้ายังอยากให้เจ้าลอง” อ๋าวเจียงยืนขึ้น มองนางอย่างลึกล้ำพลางพูด “ข้าขอโทษสำหรับเรื่องที่ข้าล่วงเกินเจ้าก่อนหน้านี้ทั้งหมด ขอให้เจ้ายกโทษให้ความหุนหันและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของข้าด้วย เพียงขอให้เห็นแก่ว่าข้ากับเจ้าต่อไปต้องเป็นเพื่อนร่วมฝึกฝนในโลกเซียน ช่วยข้าสักครั้ง หากทำไม่สำเร็จ ข้าก็จะไม่โทษเจ้า”
จริงใจขนาดนี้ มู่จิ่วจึงไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี
องค์ชายมังกรสามผู้นี้แต่ก่อนเย่อหยิ่งไม่เห็นคนในสายตาขนาดไหน ตอนนี้กลับพูดกับนางอย่างเกรงอกเกรงใจถึงขั้นนี้ ทำให้ไม่อาจไม่ไว้หน้า
นางคิดแล้วพูด “บ้านเจ้ามีพี่น้องมากขนาดนั้น ทำไมเจ้าแบกรับเรื่องนี้ไว้คนเดียว?”
เขากัดฟันพูด “หากไม่ใช่เพราะข้าทำร้ายเฉินผิง เรื่องอาจไม่มาถึงขั้นนี้ ข้ายากที่จะปฏิเสธความรับผิดชอบ และเพราะความเย็นชาของแม่ข้า พี่ชายหลายคนก็ไม่ใส่ใจท่านพ่อ ข้าคิดว่าอย่างน้อยเขาก็มีบุญคุณเลี้ยงดูข้ามา ไม่มีเขาข้าคงไม่สามารถเติบใหญ่มาอย่างมั่นคงได้ถึงตอนนี้ ข้าจะไม่สนใจเลือดเนื้อของตนเองได้หรือ?”
มู่จิ่วตื้นตันเพราะคำพูดของเขาบ้างแล้ว
ถึงแม้อ๋าวเชินประพฤติตนไม่ดีนัก แต่ก็มีโทษไม่ถึงตาย หากปล่อยให้เขาตายไปจริง พวกอ๋าวเจียงต่างอะไรกับฆาตกร? ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ยังเคยวางมือเรื่องบีบให้นางทำงานที่วังมังกรต่อ เพื่อไปช่วยอ๋าวเยวี่ยกลับมา จากเรื่องนี้ อย่างน้อยเขายังมีความดีอยู่บ้าง
เท้าคางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง มองดูท้องฟ้าแล้วนางก็ลุกขึ้น “เรื่องนี้ข้ายังต้องคิดก่อน มิสู้เจ้าตามข้ากลับบ้านก่อนค่อยว่ากัน”
อ๋าวเจียงรู้ว่านางมีอคติต่ออ๋าวเชิน บวกกับตอนแรกเขายังเคยปะทะกับนางมาครั้งหนึ่ง ในใจแต่เดิมไม่มั่นใจว่านางจะตอบรับ ตอนนี้ได้ยินน้ำเสียงนางยังเหลือหนทางอยู่บ้าง ใจก็ราวกับยกก้อนหินออกไป ดังนั้นจึงลุกขึ้นพยักหน้า
เมื่อก้าวออกจากประตู อาฝูที่รออยู่ด้านหน้านานแล้วสะบัดหัวเดินตาม
อ๋าวเจียงเห็นอาฝูคลอเคลียอยู่หลังมู่จิ่ว ดูเชื่องเหมือนแมว ก็อดประหลาดใจไม่ได้ “หรือว่าเจ้าเป็นคนเลี้ยงแมวนี่?”
เจ้าตัวนี้สืบสายเลือดโดยตรงมาจากเสือขาวเผ่าพันธุ์เทพที่มีพรสวรรค์เหนือคน กลับถูกเขาเรียกเป็นแมว?
อาฝูระเบิดโทสะ!
ดีร้ายมังกรกับเสือสองตระกูลก็มีความสัมพันธ์ไม่ตื้นเขินนะ!
เขาเพิ่งพูดจบ อาฝูที่เห็นเขาขัดตามานานแล้วจึงพุ่งเข้าไป กดเขาลงกับพื้นโดยไม่ให้โอกาสอธิบาย จากนั้นใช้น้ำหนักตัวออกแรงกดทับเพื่อบอกว่าแท้จริงสิ่งที่เขาเห็นเป็นเสือหรือแมว
แต่ก่อนอ๋าวเจียงเข้าใจว่าอาฝูเป็นพาหนะของใครสักคนในหน่วย จึงลงมืออย่างไม่ลังเล ตอนนี้ในเมื่อรู้ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเป็นสัตว์เลี้ยงของมู่จิ่ว ไหนเลยจะกล้าลงมือส่งเดช? ก้อนเนื้อหนักร้อยสิบจินบนอกทับจนเขาพลิกตัวไม่ได้ หายใจไม่ออก ช่างทุลักทุเลนัก ในมุมอาฝู กลับเหมือนเจ้าป่าที่หมอบอยู่บนยอดเขาเขียว กวาดสายตาไปรอบด้านอย่างสบายอกสบายใจ
จนมู่จิ่วมองดูต่อไปไม่ได้ เดินไปลูบหัวอาฝู เขาจึงค่อยยืดคอเลียมือนางอย่างเอาใจ แล้วลุกตามขึ้นมา
ยามอยู่ที่ทะเลสาบน้ำแข็ง อ๋าวเจียงคือองค์ชายสามที่ตำแหน่งสูงใหญ่ ตอนนี้ถูกเสือน้อยตัวนี้ทับไว้ หลังจากลุกขึ้นกลับยังคงหวาดกลัวอยู่!
รอจนถึงบ้านสกุลกัวแล้ว พอเห็นคนที่ออกมารับยังมีองค์ชายแห่งเผ่าพันธุ์ต้าเผิงด้วย เขายิ่งตกใจ ลานบ้านนี้ไม่สะดุดตา กัวมู่จิ่วก็ไม่ได้สะดุดตาเป็นพิเศษ เหตุใดกลับซ่อนมังกรพยัคฆ์ไว้ บารมีเทียบกับเขาองค์ชายมังกรที่มีเพียงนกปี้ฟางเป็นพาหนะยังยิ่งใหญ่กว่า?
จากนั้นเห็นมู่หรงรุ่ยเจี๋ยจูงอุ้งเท้าอาฝูออกมาทีหลังอีก เขาพลันสูดลมหายใจเย็นๆ เข้าไป!
ในลานนี้ไม่เพียงมีองค์ชายของเผ่าพันธุ์ต้าเผิง มีเสือขาวแห่งเผ่าพันธุ์เทพสงคราม ยังมีองค์ชายแห่งเผ่าพันธุ์จิ้งจอกเก้าหางชิงชิว!
ตำแหน่งของตระกูลซ่างกวนแห่งเขาเนินอาราม ถึงแม้จะกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่ชิงชิวเทียบกับทะเลสาบน้ำแข็งของเขาแล้วแข็งแกร่งกว่ามาก! ยามราชามังกรทะเลตะวันออกจัดงานเลี้ยง ราชาจิ้งจอกแห่งชิงชิวเป็นแขกผู้สูงศักดิ์ที่ต้องเชิญทุกครั้ง!
ที่สำคัญคือระหว่างพวกเขาเองยังกลมเกลียวกันขนาดนี้ มารดามันเถอะ เหมือนครอบครัวขนาดใหญ่ครอบครัวหนึ่ง กัวมู่จิ่วนางทำได้อย่างไร?
นางเป็นหัวเสินเท่านั้น!
ตอนนี้เอง เขารู้สึกว่าเฉินผิงตายด้วยน้ำมือนางก็ไม่แปลกเลยสักนิด ตอนนั้นอ๋าวเชินกล้าเอาเหตุนี้มาหาเรื่องนาง แปดส่วนคงไม่รู้ว่าเบื้องหลังนางยังมีกลุ่มผู้สนับสนุนเบื้องหลังแข็งแกร่งเพียงนี้?
เบื้องหลังเหล่านี้เป็นตัวแทนของเผ่าพันธุ์ใหญ่หลายเผ่าพันธุ์!
หากพูดก่อนหน้านี้ เขาถูกอาฝูทับอยู่บนร่างยังรู้สึกว่าไม่สามารถทำอะไรได้ ตอนนี้เห็นพวกเขาทั้งบ้านก็ไม่มีความคิดอื่นแม้แต่น้อยแล้ว
อาฝูเป็นทัพหน้าแห่งทหารแปดทิศ กลับมาถึงบ้าน หลังจากกระโดดเข้าไปรายงาน เสี่ยวซิงกับซ่างกวนสุ่นจึงรู้ว่ามู่จิ่วพาหนุ่มหน้ามนที่ถูกเขาตีจนหมอบไปกลับมากินข้าว…ถึงแม้อาฝูยังเปิดปากพูดไม่ได้ แต่รู้จักกันมานาน เขาย่อมมีวิธีแสดงออกอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา…หลังจากนั้นเมื่อได้ยินอีกว่าเป็นลูกของอ๋าวเชิน ใบหน้าหลายคนก็ดำทะมึน
พวกเขาอาศัยตอนมู่จิ่วไปลานด้านหลังเพื่อรายงานเรื่องราวแก่ลู่ยา รวมตัวกันห้อมล้อมอ๋าวเจียงที่นั่งอยู่ในโถง
อ๋าวเจียงถึงแม้ไม่กลัวกระต่าย แต่ถูกเสือขาวลูกหลานเทพสงครามกับนกต้าเผิงที่มีชื่อเรื่องกำลังรบจ้องอย่างเอาเป็นเอาตาย ด้านข้างยังมีจิ้งจอกเก้าหางที่สง่างามอบอุ่นมองสำรวจ แต่มีท่าทางหากเจ้ากล้าไม่สงบเสงี่ยมก็จะเอาตะกร้าทุบจนตาย กดดันอย่างมากเช่นกัน
หลังจากปาดเหงื่อไปไม่รู้กี่ที ก็พยายามฝืนยิ้มเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ อย่างไรก็ตาม รอยยิ้มนี้ยังไม่ทันเป็นรูปร่างก็ถูกดวงตาที่มองจนเหล่ของอาฝูจ้องเสียยิ้มไม่ออก
ผ่านไปแบบนี้ครู่หนึ่ง บางทีอาจเพราะรู้สึกว่าข่มได้ที่แล้ว ซ่างกวนสุ่นที่นำอยู่จึงกอดอกเหลือบมองเขา “ตอนแรกราชาจิ้งจอกแห่งชิงชิวมาบ้านพวกเราในฐานะแขก เพียงแค่ยื่นมือก็ให้ไข่มุกราตรีเม็ดใหญ่เท่าแตงโมสองลูกแก่อาจิ่วของพวกเรา ยังมีเพชรอีกโต๊ะหนึ่ง ขอบังอาจถามว่าองค์ชายสามนำของขวัญอะไรมา?”
ที่แท้ต้องมีของขวัญ
อ๋าวเจียงชะงักเล็กน้อย รีบหยิบไข่มุกนิลถาดหนึ่งออกมาจากกระเป๋าแปดมงคล “นี่คือไข่มุกน้ำแข็งที่เกิดโดยเฉพาะในทะเลสาบน้ำแข็ง ของเล็กน้อยโปรดรับไว้”
ซ่างกวนสุ่นหยิบไข่มุกขึ้นมาดูกำมือหนึ่ง แล้วพูด “ได้ยินว่าเจ้ายังรังแกอาจิ่วของเรามาก่อนด้วย?”
อ๋าวเจียงเหงื่อหยดมาอีกสองหยด เงียบอยู่สักครู่ ค่อยหยิบผ้าทอเงือกจากในกุญแจทองออกมาคลี่ออก “นี่คือผ้าไหมเงินที่ราชินีเงือกแห่งทะเลเหนือทอขึ้นด้วยตัวเอง ข้ามีเพียงพับเดียว”
ซ่างกวนสุ่นประคองผ้าทอเงือกไว้ในมือ ส่งให้เสี่ยวซิง ก่อนพูดอีก “ได้ยินว่าเจ้าจะอยู่กินข้าวด้วย?”
ถึงแม้อ๋าวเจียงอยากแสดงออกว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะกินข้าวอะไรแต่แรก แต่ถึงแม้ไม่กินข้าว ปล้นชิงกันแบบนี้ เกรงว่าคงเก็บค่ากับข้าว ถ้าไม่พอก็คงเก็บค่าที่นั่งด้วย คิดอยู่นานจึงกัดฟันหยิบหยกข้างเอวคู่หนึ่งออกมา “มารบกวนอย่างบุ่มบ่าม น้ำใจเล็กน้อย ช่วยดูแลด้วย”
สีหน้าของซ่างกวนสุ่นถึงได้ค่อยๆ อ่อนโยนขึ้น เขาหยิบเก้าอี้มานั่งต่อหน้าอ๋าวเจียง ประเมินอีกฝ่ายอย่างละเอียดโดยที่ห่างกันหนึ่งฉื่อ กล่าวอีกว่า “ข้าได้ยินว่าเจ้ายังคิดขอร้องให้อาจิ่วทำอะไรให้?”
……………………………………………………