แต่อุ้มไปครู่หนึ่ง มือนางพลันหยุดอยู่บนหัวจิ้งจอกน้อย จ้องราชาจิ้งจอกอย่างระแวดระวังเป็นครั้งที่สาม “เจ้ามีเป้าหมายอะไร?”
มีพ่อที่ไม่มีเรื่องอะไรก็นำลูกชายตัวเองออกมาให้คนอื่นเล่นเป็นสัตว์เลี้ยงอย่างนี้ด้วยหรือ?
จิ้งจอกเฒ่านี่ต้องมีแผน!
“แม่นางรู้ว่าข้าเป็นเพียงสุนัขรับใช้ตัวหนึ่งของท่านเทพเท่านั้น ข้าจะวางแผนร้ายกับแม่นางได้อย่างไร?”
ราชาจิ้งจอกได้ยินก็รีบพูด
มู่จิ่วคิดไปคิดมา เขาไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนี้จริงๆ แต่ท่าทางของเขายังน่าสงสัย! จึงพูด “เจ้าทุ่มเททำให้ข้าพอใจขนาดนี้ไปทำไม?”
ราชาจิ้งจอกตอบ “ไม่มีอะไรจริงๆ!”
มู่จิ่วไม่ได้เร่งเขา ส่งจิ้งจอกน้อยกลับไป
ราชาจิ้งจอกเห็นท่าทางแล้วจึงรับกลับมา “มีเรื่องเล็กน้อย…เรื่องเป็นแบบนี้ ข้าอยากขอให้แม่นางช่วยพูดให้ท่านเทพผู้นั้นรับสี่น้อยของเราเป็นลูกศิษย์ด้วย”
รับศิษย์? มู่จิ่วนิ่งอึ้ง เรื่องรับศิษย์นี้ทำไมถึงมาตกอยู่กับนางได้?
นางบีบหูจิ้งจอกน้อย พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องนี้ข้าทำไม่ได้ ความสัมพันธ์ของข้ากับเขายังไม่ใกล้ชิดเหมือนกับเจ้า ข้า จะอาศัยอะไรไปพูดโน้มน้าว?”
เขามองนางดีเกินไปหรือไม่? หลายปีขนาดนี้ลู่ยาไม่เคยรับศิษย์เลยสักคน ตอนนี้นางจะสามารถโน้มน้าวเขาให้รับศิษย์ได้หรือ?
ช่างน่าหัวร่อเสียจริง
“คำพูดนี้ของแม่นางห่างเหินเกินไปแล้ว” ราชาจิ้งจอกพูด “ถึงแม้ข้ารู้จักท่านเทพมานานกว่า แต่ไม่ได้กุมใจเขาไว้เหมือนแม่นาง! ความสัมพันธ์ระหว่างคน ต้องพูดเรื่องวาสนาใช่หรือไม่? ท่านดูท่าทางข้าเป็นแบบนี้ แม้แต่พูดเขายังไม่อยากพูดด้วยเลย หากข้าเอ่ยเรื่องนี้ ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสนใจข้าไม่ใช่หรือ?”
มู่จิ่วส่งเสียงขึ้นจมูกก่อนมองเขา “ทำไมเจ้าถึงกล้าให้ข้าไปพูดล่ะ? เจ้าอาศัยอะไรคิดว่าข้าเอ่ยเรื่องนี้แล้วเขาจะรับปาก?”
“สำเร็จไม่สำเร็จ ท่านไปลองดูก็รู้แล้วมิใช่หรือ?” ราชาจิ้งจอกยื่นมือไปลูบขนจิ้งจอกน้อย “ท่านดูสิ ขนสีทองของสี่น้อยของพวกเราหายากขนาดไหน บรรพบุรุษของพวกเราบอกว่าในหลายรุ่นถึงจะมีเช่นนี้ออกมาตัวหนึ่ง เขาว่าง่ายขนาดนี้ ต่อไปต้องเข้ากันได้ดีกับเสือขาวนกต้าเผิงแน่ ต่อไปหากเขาเรียนรู้ความสามารถแล้ว ภายหลังก็เป็นผู้ช่วยของท่านไม่ใช่หรือ?”
มู่จิ่วมองจิ้งจอกน้อยก็หวั่นไหวอยู่บ้าง แต่คำพูดนี้ของเขาทำไมฟังแล้วมั่วซั่วขนาดนั้น?
ลู่ยารับศิษย์กับเป็นผู้ช่วยของนางเกี่ยวอะไรกัน?
สมองของเจ้าคนนี้คงล้มฟาดเสียหายไปแล้วกระมัง?
นางพูด “ในเมื่อเจ้าบอกแล้วว่าเขาไม่รับปาก ข้ายิ่งไม่มีความจำเป็นต้องพูด ทำไมข้าต้องหาเรื่องใส่ตัวด้วย?”
ถึงแม้นางจะชอบจิ้งจอกน้อยมาก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านางต้องบังคับลู่ยาให้ทำเรื่องที่เขาไม่อยากทำนี่?! หลายปีขนาดนี้เขาไม่รับศิษย์ ไม่แน่ว่าอาจมีเหตุผลยากจะพูดซ่อนอยู่?
“ที่จริงก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่รับ…” ราชาจิ้งจอกก็คิดไม่ถึงว่านางจะหนักแน่นขนาดนี้ จึงได้แต่เปลี่ยนแผนการ “ที่จริงเขาไม่ได้ไม่รับปาก เจ้ายังจำตอนที่พวกเจ้าออกจากชิงชิวแล้วข้าลากเขาเข้าไปพูดคุยได้หรือไม่? ครั้งนั้นก็เพื่อพูดคุยเรื่องนี้ แต่คนต่ำ…ท่านเทพมีเงื่อนไข เขาให้ข้าไปทำธุระแทนเรื่องหนึ่ง ทำสำเร็จถึงยินยอมรับศิษย์”
“ตอนนั้นข้าไม่คิดว่าเรื่องนี้จะยากขนาดนี้ จึงตอบรับไปอย่างส่งเดช ไหนเลยจะรู้ว่าผลคือ…อา ถึงแม้สี่น้อยของพวกเราตอนนี้อยู่อย่างสงบสุข แต่เขาไม่มีประสบการณ์แม้แต่น้อย ข้าอยากหาอาจารย์ที่ดีให้เขาเร็วหน่อย หากแม่นางช่วยเป็นธุระแทนข้าสำเร็จ ก็นับเป็นผู้มีพระคุณของข้ามู่หรงเสี่ยนแล้ว!”
มู่จิ่วมองเขาพูดจนน้ำลายแตกฟอง แล้วจึงถามต่อ “เขาให้เจ้าทำอะไร?”
ราชาจิ้งจอกนิ่งอึ้งก่อนพูด “เรื่องส่วนตัวเล็กน้อย”
มู่จิ่วกวาดมองเขาอย่างสงสัย ถามอีกว่า “ทำไมเจ้าถึงคิดว่าข้าจะทำได้?”
“เพราะสิ่งนี้!” ราชาจิ้งจอกชี้กำไลม่วงทองบนข้อมือนาง “กำไลนี้เปลี่ยนมาจากพลังเสวียนหมิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าใช้พลังบริสุทธิ์ทำกำไลเช่นนี้ต้องเสียพลังบำเพ็ญไปกี่ปี? ถึงแม้สิบชาติของเจ้าก็ทำไม่ได้ แต่เขากลับทำกำไลนี้ให้เจ้า เรื่องแบบนี้ไม่เคยมีมาก่อน แม่นางนับเป็นคนเดียวเท่านั้น”
“เขาสามารถปฏิบัติต่อแม่นางแบบนี้ มีหรือจะไม่สนใจความต้องการของแม่นาง? ข้าอาบน้ำร้อนมาก่อน เข้าใจความในใจเขาอย่างมาก!”
มู่จิ่วประคองกำไล หน้าแดงจนกลายเป็นลูกพุทราใหญ่ในถาดแล้ว
นางถลึงตาใส่เขา จากนั้นหมุนตัวไป
ราชาจิ้งจอกกลับไม่พูดมาก เพียงโน้มน้าวอีกสักประโยค “ถึงแม้ไม่พูดเรื่องนี้ เพียงพูดในหมู่เทพสี่ท่าน มีเขาคนเดียวที่ไม่มีแม้แต่ศิษย์ข้างกาย หรือแม่นางทนให้พลังบำเพ็ญยิ่งใหญ่ขนาดนี้ของเขาไร้การสืบทอดได้? แค่ทำเหมือนใส่ใจดูแลเขา แม่นางช่วยพูดแทนข้าหน่อย ก็ไม่มีอะไรเสียหายมิใช่หรือ?”
มู่จิ่วฟังเขาพูดจนใจสั่นไหว
เดิมทีช่วงนี้นางก็ไม่สบายใจเรื่องนี้ของลู่ยา เขาพูดแบบนี้ ความรู้สึกผิดของนางเพิ่มขึ้นมาทันที
ลู่ยาอายุหลายแสนปีแล้ว เทียบกับจิ้งจอกเฒ่าตรงหน้าแล้วยังแก่กว่ามาก นี่หาก…หากอนาคตไม่ได้แต่งงาน เวลาที่เหลืออยู่จะโดดเดี่ยวขนาดไหน? ไม่ต้องพูดเรื่องอื่น เพียงพูดว่านางได้ประโยชน์จากเขามาก ก็ควรช่วยเขาคิดสักหน่อย หากต่อไปนางสิ้นอายุขัย ก็เรียกว่าตายตาหลับแล้วมิใช่หรือ?
ช่างเถอะ ไปถามหน่อยก็ไม่เสียประโยชน์
นางยื่นมือไปลูบจิ้งจอกน้อยก่อนพูด “เรื่องนี้ข้าต้องครุ่นคิด เจ้ากลับไปรอข่าวเถิด”
ราชาจิ้งจอกยืดตัวขึ้นทันที “ข้าจะรอฟังข่าวดีจากแม่นางอย่างสงบ”
พูดจบก็เดินออกไปอย่างว่าง่าย
ทางมู่จิ่วนั่งลูบกำไลอยู่สักครู่ รู้สึกเพียงว่าภาพที่เคลื่อนอยู่เบื้องหน้าล้วนเป็นอิริยาบถต่างๆ ของลู่ยา ตั้งแต่เขาที่ง่ายๆ สบายๆ เขาที่พูดราวกับน้ำไหล เขาที่มีใบหน้าอับจนหนทางอยู่ริมบึงน้ำเย็นบนเกาะเป๋ยอี๋ เขาที่ไปเผชิญอันตรายกับนางที่ชิงชิว ยังมีเขาที่บุกวังมังกรทะเลสาบน้ำแข็งเพื่อช่วยนาง…
เรื่องราวเหล่านี้สามารถทำให้นางหวั่นไหวอย่างแท้จริง แต่ยังมีบางเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับบุญคุณ อย่างเช่นสายตาของเขา เขามองเหมือนกับเผยความรู้สึกอย่างตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ…สิ่งเหล่านั้นมักทำให้ความรู้สึกของนางสั่นไหวโดยไม่ทันระวังตัว…
แต่จะมีประโยชน์อะไร?
เดิมทีนางก็ไม่รู้ว่านางอยู่ได้นานแค่ไหน
แต่นางยังคงสับสนอย่างมาก ถึงแม้ชั่วชีวิตนี้ลดระยะห่างไม่ได้ ในใจนางก็ไม่อาจวางเขาลง
ดังนั้นนางย่อมไม่หวังให้เขาอยู่ตัวคนเดียวแบบนั้น บางทีรับศิษย์สักคน สำหรับเขาแล้วอาจเป็นเรื่องดี
นั่งอึดอัดอยู่คนเดียวสักครู่ ถึงยื่นหน้าออกไปดูฝั่งตรงข้าม ประตูฝั่งนั้นเปิดอยู่กึ่งหนึ่ง เขาคงอยู่ในห้องไม่ผิดแน่
นางกระแอมไอยืนขึ้นมา เดินไปถึงประตูค่อยชะงัก หันกลับมายกถาดพุทราแดงบนโต๊ะ ก่อนออกจากประตูมุ่งไปทางตะวันออก
ลู่ยากำลังวาดภาพยามว่าง บนโต๊ะกางภาพวาดอยู่แผ่นหนึ่ง ดูเข้าท่าอย่างมาก
มู่จิ่วเดินเข้าไป แม้แต่หน้าเขาก็ไม่เงยขึ้นมา แต้มสีแดงเล็กน้อยจากถาด จากนั้นยกมือวาดดอกเหมยบนระหว่างคิ้วนาง วาดไปพลางพูดไปพลาง “ดึกขนาดนี้ยังมาหาข้า หรือนอนไม่หลับ?”
มู่จิ่วก็ไม่กล้าขยับส่งเดช จึงทำหัวนิ่งๆ ให้เขาก่อกวน พลางพูด “ยังไม่ดึกเลย เจ้ากินพุทราหรือยัง ข้าเอามาให้เจ้าหน่อย” นางเอ่ยพลางมองเขานิ่งๆ เห็นดวงตาเขาที่ปิดลงกึ่งหนึ่งถูกขนตาดกหนาปกคลุมเกิดเป็นเงา จมูกด้านหนึ่งก็ทอดเงาดำ แบบนี้ยิ่งทำให้ใบหน้างดงาม
………………………………………