สีหน้าอ๋าวเจียงเริ่มเขียวคล้ำ มือที่ถือแก้วก็สั่นเล็กน้อย
เจ้าเด็กเหลือขอนี่!
หลายปีมานี้เนินอารามเปลี่ยนอาชีพมาปล้นแล้วหรือ!
“ข้า…”
“ได้ยินว่าเมื่อครู่เจ้าตีแม้แต่เสือน้อยบ้านเรา?”
ไม่รอให้เขาเปิดปาก ซ่างกวนสุ่นเริ่มกดดันอีก “อาฝูไม่เพียงเป็นลูกหลานเผ่าเทพ แต่ยังเป็นเสือที่อาจิ่วช่วยกลับมา สัตว์ที่นางช่วยกลับมาอย่างยากลำบาก เจ้าบอกว่าจะตีก็ตี หากไม่ให้ของหรือขอโทษยังสบายใจได้อีกหรือ? ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ายังมาขอร้องให้ทำธุระให้ เจ้ามาจากที่เล็กๆ ไม่เคยเผชิญโลกกว้าง ข้าไม่โทษเจ้าหรอก ตอนนี้เจ้าคงเข้าใจแล้ว?”
ขี้เหนียว! ไม่รู้หรือว่าในลานบ้านพวกเขามีบรรพบุรุษอยู่ด้วยคนหนึ่ง เขาเข้ามาติดกับเองจะโทษใครได้?
คิดไม่ถึงว่ากล้ารังแกอาจิ่วของพวกเขา ประเสริฐนัก!
หน้าอ๋าวเจียงอดกลั้นจนเขียวออกม่วง ผลุงตัวยืนขึ้น นำสิ่งของมีค่าทั้งตัวออกมาส่งให้ซ่างกวนสุ่น จ้องเขาอยู่นาน คิดจะพูดอะไรสักหน่อย สุดท้ายจำต้องนั่งลงไปอย่างอึดอัด
ซ่างกวนสุ่นนำของที่ได้มาทั้งหมดส่งให้เสี่ยวซิง แล้วมองอ๋าวเจียงอย่างละเอียดทั้งหน้าและหลังว่านอกจากกระบี่ที่ข้างเอวแล้วไม่มีของอย่างอื่นอีก จึงค่อยเอนตัวไปด้านหลัง ใส่ใบชาลงไป ชงชามาถ้วยหนึ่ง
อ๋าวเจียงยื่นมือรับ ซ่างกวนสุ่นกลับชักมือกลับ พูดว่า “ชาถ้วยหนึ่ง ราคาสองพันเหรียญหยก”
อ๋าวเจียง “…”
………………..
มู่จิ่วเข้าไปในห้องลู่ยา เล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง ลู่ยาลูบคางสงสัย “ป่วยหนักได้บังเอิญขนาดนี้?”
“ดูแล้วอ๋าวเจียงไม่ได้พูดโกหก” มู่จิ่วพูด “เจ้าว่าข้าควรไปหรือไม่?”
ลู่ยาลุกขึ้น เดินวนไปมาสองรอบก่อนเอ่ย “เจ้ายังจำของวิเศษกองใหญ่ที่หายไปจากถ้ำเขาเมฆาเพลิงได้หรือไม่?”
มู่จิ่วอึ้ง พยักหน้าตอบ “จำได้ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกันด้วยหรือ?”
ลู่ยามองนาง “คราวก่อนของวิเศษหายไป คราวนี้สิ่งที่หายไปก็ยังเป็นของวิเศษ”
มู่จิ่วอึ้งตะลึง พลันลืมหายใจ!
แต่ไม่ใช่หรอก! กุญแจจันทราหยางเป็นของวิเศษ แต่ยังเทียบกับของในถ้ำเขาเมฆาเพลิงไม่ได้!
“เจ้าหมายความว่า การหายไปของอาวุธวิเศษทั้งสองครั้งเกิดจากกลุ่มคนเดียวกัน?”
“นี่ยังยืนยันไม่ได้” ลู่ยาโบกพัด “ข้าเพียงแต่รู้สึกบังเอิญเท่านั้น แต่นอกจากความบังเอิญที่ว่า เรื่องนี้มีความประจวบเหมาะมากนัก เพราะกุญแจจันทราหยางยังเกี่ยวข้องกับคนอื่นอีกนอกจากตระกูลอวิ๋น แต่ออกไปดูหน่อยก็ไม่เลว เป็นไปได้ว่าอาจจะให้พวกเราคลำเจออะไรบางอย่าง?”
มู่จิ่วก็คิดเช่นนี้อยู่ลึกๆ
ถึงแม้คดีของอู่เต๋อผ่านไปแล้ว แต่ที่อยู่ของของวิเศษที่หายไปกลับยังติดอยู่ในใจพวกเขา ไม่ได้คลี่คลายปัญหานี้ ทำให้รู้สึกว่าในใจแขวนหินอะไรไว้ตลอด ยังมีที่อยู่ของกุญแจจันทราหยางของอ๋าวเชินที่ก็ช่างเข้าใจยาก ดังนั้นนางจึงดึงสติคืนมา ก่อนพูด “แบบนั้นข้าจะรับปากเขา ตามเขากลับไปสักรอบ!”
พูดแล้วก็จะเดินออกไป
ลู่ยาดึงนางกลับมา “โง่นัก ถึงแม้จะไป ก็รายงานหลิวจวิ้นก่อน แล้วไปในนามของหน่วยลาดตระเวน หากสามารถช่วยตระกูลอ๋าวคลี่คลายปัญหา ทัพทหารจะบันทึกความดีของเจ้าไว้ได้ สำหรับเจ้าไม่มีประโยชน์หรือ?”
มู่จิ่วเหมือนรู้แจ้ง เมื่อครู่ไม่ได้คิดถึงขั้นนี้อย่างแท้จริง เพียงแต่เรื่องที่ตนเองไม่ได้ใส่ใจ เขากลับจดจำได้ละเอียดว่านางต้องทำความดี ในใจพลันอบอุ่น ย้ายเรื่องขัดแย้งก่อนหน้านี้ไปอยู่ข้างหลัง ยิ้มไปพลาง “รู้แล้ว” พูดไปพลาง “เจ้าไปกับข้าหรือไม่?”
ลู่ยาคิดแล้วกลับตอบ “ครั้งนี้ข้าไม่ไป แต่ให้อาฝูตามเจ้าไปด้วย เขาก็ต้องฝึกฝนเช่นกัน รอจนถึงเวลา เขาก็สามารถพูดได้แล้ว”
อาฝูเป็นสัตว์เทพ ฝึนฝนภายใต้มือเขามาปีกว่า ก็ถึงเวลาเลื่อนขั้น
แต่การเลื่อนขั้นของเผ่าพันธุ์สัตว์เทพไม่เหมือนเผ่าพันธุ์มนุษย์ พวกเขาเกิดมามีร่างศักดิ์สิทธิ์ ชื่อเรียกในการเลื่อนขั้นที่เป็นทางการไม่เอ่ยถึง พูดเพียงฝึกฝนจากร่างสัตว์จนถึงพูดได้ จากนั้นฝึกจนเปลี่ยนร่างคน ก็นับว่าสำเร็จเล็กน้อยแล้ว เรียกได้ว่าก้าวเข้าสู่เส้นทางการบำเพ็ญเป็นเซียนตามปกติ สามารถใจจดใจจ่อฝึกฝนมนต์คาถากำลังภายใน
มู่จิ่วได้ยินว่าอาฝูจะพูดเป็นแล้ว ก็ดีใจแทนเขาอย่างมาก ดูเขาวันนี้ท่าทางน่าเกรงขาม หากพูดได้แล้วภายหลังต้องเลื่อนขั้นเร็วขึ้นแน่นอน ไปคราวนี้แค่เพราะเรื่องงาน แท้จริงก็ไม่ต้องยกขบวนไปใหญ่โต
“มีเรื่องอะไรจะสั่งอีกหรือไม่?” นางถาม
ลู่ยาไม่รีบร้อนตอบ เพียงหมุนตัวไปมองอ๋าวเจียงที่ถูกพวกซ่างกวนสุ่นล้อมอยู่ในลาน
เรื่องอื่นเขาไม่กังวล แต่การมาเยือนของอ๋าวเจียง…
อ๋าวเจียงตอนแรกมองมู่จิ่วเป็นศัตรู ถึงตอนนี้ลำบาก จึงมาขอให้นางช่วยถึงประตูโดยไม่สนสิ่งใด การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เขาไม่สบายใจ ที่จริงล้วนเป็นชายหนุ่มหญิงสาว ตอนแรกให้นางไปทิวเขาริ้วหยกกับเขาก็ไม่ค่อยพอใจแล้ว ครั้งนี้ไปอีก และยังเป็นหลังจากที่พวกเขาญาติดีกันแล้ว นี่หาก…
เขาพลันคิดอยากพนันดู
เดิมพันว่าในใจนางแท้จริงมีเขาหรือไม่
เขาส่ายหัวพูด “ไม่มีแล้ว”
สายตาของมู่จิ่วมีความผิดหวังพาดผ่าน
ตั้งแต่คราวก่อนผ่านไปจนถึงตอนนี้ พวกเขาไม่ได้อยู่กันตามลำพังอีกเลย ทุกวันยามค่ำ การฝึกฝนของนางเปลี่ยนเป็นนางฝึกเอง
หากเป็นแต่ก่อน มู่จิ่วคงอยากลบความทรงจำนี้ในสมองเขาให้สะอาดหมดจด แต่ตอนเขาทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริง นางกลับเป็นคนที่ตอนยังไม่ได้ก็กลัวไม่ได้ พอได้มาแล้วก็กลัวเสียไป เรียกว่านางย้อนแย้งใช่หรือไม่?
ตอนริมฝีปากเขาปัดผ่านแก้มนางยังคงหลงเหลือความร้อนอยู่ นางยังจำได้ชัดเจนดี…
พ่อหนุ่มนี่ ทำแล้วคิดจะสะบัดมือไม่ยอมรับหรือ?
นางเหลือบมองเขา พูดอย่างอึดอัด “แบบนั้นข้าไปแล้ว”
แต่ตอนออกประตูเท้ากลับหนักราวกับถ่วงตะกั่วไว้ มาตาม มาตามนางสิ!
ไม่รู้สึกว่านางไปแบบนี้น่าเสียดายหรือ?
ชอบดึงดันกับนางไม่ใช่หรือไร?
ไม่สนใจนางแล้วหรือ?
คนระยำ!
แต่เดินไปถึงธรณีประตู ด้านหลังไม่มีการเคลื่อนไหวแม้แต่เล็กน้อย
นางรู้สึกเจ็บปวดทันใด
ฝีเท้ายิ่งหนักขึ้นเหมือนกับก้าวสู่เส้นทางยาวไกล
ตอนนางอยู่หงชาง แต่ไหนแต่ไรไม่เคยคิดว่าแยกจากหลิวหยางมาแล้วจะยังมีคนแบบนี้ฝ่าลมฝนเคียงข้างนาง หากสิ่งที่นางเหยียบไปเป็นเส้นทางยาวไกล เช่นนั้นก็เป็นมือคู่นี้ที่คอยพยุงนางขึ้นมาตลอด นางมีกระทั่งความหวังเล็กๆ ว่ามือคู่นี้จะสามารถเดินเคียงข้างนางไปยังภูเขาที่ยิ่งไกลออกไปอีก ยิ่งสูงขึ้นไปอีก
ตรงข้ามระเบียงทางเดินมีต้นดอกไหวบานอย่างสดใส สุดท้ายมู่จิ่วหยุดเท้าลง หันไปมองในห้อง ลู่ยายังนั่งอยู่บนเก้าอี้ มือหนึ่งวางบนโต๊ะชา กำลังมองนาง สายตาจับจ้องเหมือนมองอนาคตภายหน้าไปไกล
ช่างเป็นคนระยำนัก…
นางกัดปาก
ช่างเถอะ แต่เดิมก็ไม่มีงานเลี้ยงที่ไม่มีวันเลิกรา บางทีคราวก่อนเขาที่เป็นมหาเทพอาจแค่หาความสำราญไปเรื่อยเท่านั้น ที่จริงนางก็ไม่มีพรสวรรค์ ไม่งดงาม ไม่มีความสามารถ เขาเห็นความงามมาตั้งแต่โบราณกาลจนถึงตอนนี้ จะมาชอบนางได้อย่างไร!
คิดแบบนี้ พอหมุนตัวเขาก็ก้าวเท้ามา
คราวนี้เดินอย่างเร็วรี่ หายใจคราวเดียวก็ก้าวไปสองสามก้าว
วินาทีก่อนลู่ยายังนั่งไม่ขยับ วินาทีถัดมาเขากลับขวางทางนางไว้แล้ว
นางที่ถูกขวางกะทันหันขอบตาร้อนผ่าวอยู่บ้าง ดวงตาที่มองเขาเต็มไปด้วยประหลาดใจ
ใจของลู่ยาพลันเปลี่ยนเป็นน้ำ จับมือทั้งสองของนาง ก่อนเอ่ย “กลับมาเร็วหน่อย มาผัดปลาให้ข้ากิน!”
ขอบตาแดงเรื่อของนางพลันเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ
…ไร้ยางอาย! ใครจะผัดปลาให้เขากิน? ไสหัวไปให้ไกลเลย…
แต่เขาไม่ได้ไป น้ำตากลับไหลลงมาก่อน
ลู่ยาดึงนางเข้ามาในอ้อมอก ยกริมฝีปากพลางมองกระหม่อมที่เต็มไปด้วยดอกไหว “จำไว้ ภายหลังผัดให้ข้ากินได้คนเดียว”
คิดได้ประเสริฐ นางไม่ใช่คนใช้เขาเสียหน่อย…
มู่จิ่วอยากต่อต้าน แต่เพิ่งมีอาการ ก็ถูกเขากดไว้ในอก
……………………………………………………