“สวยหรือไม่” เขาพลันพูด
มือนางสั่น ถาดในมือเกือบหล่นลงไป
“สวย”
“สวยก็สวย ตั้งใจมองจะต้องสวยมากทีเดียว?” ลู่ยาก้มหน้าล้างพู่กัน มุมปากยกขึ้นอย่างช้าๆ
มู่จิ่วรู้สึกกระดาก ช่างไร้ยางอาย! คนยกยอไปเรื่อยเขาก็รับซะแล้ว
มู่จิ่ววางถาดลงไป เพิ่งหมุนตัว กลับเหยียบนิ้วเท้าลู่ยา พ่อหนุ่มนี่! กลับอาศัยตอนนางหมุนตัวไปเดินเข้ามา เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวออกจากแขนเสื้อ กดลงไปตรงกลางหน้าผากนาง ทันใดนั้นดอกเหมยสีแดงสดก็อยู่บนผ้าเช็ดหน้า “มาหาข้ามีเรื่องอะไร?” เขาถาม ก้มหน้าเก็บผ้าเช็ดหน้าเข้าแขนเสื้อไป
มู่จิ่วกระแอมไอ สงบใจที่เต้นอย่างไร้การควบคุมลงไป จึงค่อยพูด “ข้าเพียงอยากถามเจ้าว่าสนใจรับศิษย์หรือไม่?”
ลู่ยานิ่งไปครู่ มองไปทางลานข้างหน้า “เจ้าจิ้งจอกเฒ่านั่นให้เจ้ามาถาม?”
“ไม่ใช่” มู่จิ่วทำใจดีสู้เสือ “เป็นข้าเองที่คิดว่าจิ้งจอกน้อยนั่นน่ารักมาก เจ้าดูสิ ทุกวันอาฝูเบื่อจนเกือบทำลายห้องแล้ว หากมีเพื่อนตัวน้อยมาเล่นกับเขาก็คงไม่วุ่นวายขนาดนี้ หากเจ้าไม่ขัดข้อง ก็ให้พวกเขาส่งจิ้งจอกน้อยมาเถิด แบบนี้ต่อไปเจ้าก็มี…”
มีอะไร นางไม่พูด
แต่เดิมนางตั้งใจพูดว่ามีคนให้พึ่งพา ภายหลังคิดแล้วเขามีชีวิตอยู่จนถึงยามนี้ ยังต้องพึ่งพาใครอีก?
ลู่ยากลับไม่คิดจะปล่อยไป ดวงตาทั้งสองราวกับโคมไฟมองนางขึ้นๆ ลงๆ “มีอะไร?”
“ไม่มีอะไร ข้าแค่พลั้งปากไป” นางเกาท้ายทอย
ลู่ยาเหลือบมองนาง นั่งลง ครั้นขมวดคิ้วมองไปนอกหน้าต่างสักครู่ เขาพลันถอนหายใจออกมา
มู่จิ่วเห็นเขาเป็นแบบนี้น้อยมาก เห็นแล้วจึงรีบถาม “เจ้ามีความในใจ?”
เขากุมมือเอนพิงเก้าอี้ “ที่จริงข้าก็โดดเดี่ยวลำบากมาก แม้แต่พ่อแม่คือใครข้ายังไม่รู้ พี่น้องก็ไม่รู้ว่ามีหรือไม่ ถึงแม้มีศิษย์พี่หญิงชายหลายคน แต่คนหนึ่งไม่รู้อยู่ไหน คนหนึ่งทุ่มเทกับสวนผักของเขา ยังมีคนหนึ่งถึงแม้ดีหน่อย แต่กลับมีสัตว์เลี้ยงเต็มวังต้องดูแล ข้าเพียงคนเดียว อยู่เฝ้าวังชิงเสวียนตามลำพัง แม้แต่ป่วยก็ไม่มีคนรู้”
มาอีกแล้ว…
มู่จิ่วจนปัญญา ทำเหมือนนางไม่เคยเห็นเขาทำตัวเป็นผู้ยิ่งใหญ่อยู่วังชิงเสวียนหรือ? ยังมีป่วยแล้วไม่มีคนรู้อีก ทำไมเจ้าไม่พูดว่ากินข้าวสวมเสื้อผ้าก็มีปัญหาเลยเล่า? หากเขาโดดเดี่ยวลำบาก พวกนางที่ต้องใช้สองมือดิ้นรนจะมีชีวิตอย่างไร?
มู่จิ่วไม่คล้อยตามเขา ดังนั้นจึงไม่พูด
แต่เขากลับกล่าวอีก “ดังนั้นการที่บอกให้ข้ารับศิษย์ ข้ารู้สึกว่ามิสู้ให้ข้ามีลูก”
ยามนี้มู่จิ่วเกือบสำลักน้ำลาย!
…ลูก?!
เขาไม่ได้ไข้ขึ้นใช่หรือไม่? เขาเป็นโสดมาหลายแสนปี ตอนนี้พลันอยากมีลูก?
นางหน้าแดงถามเขา “เจ้าหาแม่ของลูกเจอแล้วหรือ?”
“หาเจอแล้ว” ลู่ยาเงยหน้าขึ้น สายตาตกลงบนหน้านางพอดี “ตอนนี้ขาดเพียงนางพยักหน้าตกลง”
มู่จิ่วรู้สึกเหมือนตนเองอยู่ในน้ำ หายใจไม่ออกเล็กน้อย
มารดาเขาเถอะ…เขาคิดเองเออเองได้เก่งมาก!
นางกับเขาตอนนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องแม้แต่น้อย เขาคิดไปไกลถึงมีลูกแล้ว! ความคิดของมหาเทพจะเร็วเกินไปเป็นพิเศษหรือไม่?
นางตัดสินใจดึงหัวข้อกลับมา
“แบบนั้น เรื่องที่รับจิ้งจอกน้อยเจ้าตกลงหรือไม่?”
“เจ้าให้เขามาพูดกับข้าเอง” เขาหยิบพุทราขึ้นมากิน
“ข้าพูดเองไม่เหมือนกันหรือ?” มู่จิ่วดึงถาดพุทราแดงเข้ามา “เจ้าสอนอาฝูได้ ก็สอนอีกตัวเพิ่มหน่อย?”
“ข้ามีเงื่อนไข” ลู่ยาพูด “เรื่องที่รับปากข้าไว้จิ้งจอกเฒ่ายังทำไม่สำเร็จ ข้าจึงรับไม่ได้! นอกจากว่า…” พูดถึงตรงนี้เขาก็เหลือบมองนาง สายตาเปิดเผย เหมือนกับต้องการถลกหนังนาง
มู่จิ่วขนลุกซู่ นั่งหลังตรงพูด “นอกจากอะไร!”
“นอกจากเจ้ารับปากช่วยข้ามีลูก”
มู่จิ่วหยิบถาดตรงหน้าขึ้นมา ฟาดลงไปบนหน้าผากเขา!
รู้อยู่แล้วว่าปากสุนัขไม่อาจงอกงาช้าง ฆ่าได้หยามไม่ได้ ไม่รับก็ช่างมัน!
มู่จิ่วถลึงตามองลู่ยาที่หัวยุ่งเหยิงกระจุยกระจาย หมุนตัวเดินไปทางประตู
ลู่ยาหน้าทะมึนลากนางกลับมา กักนางไว้บนโต๊ะ “เจ้ารนหาที่แล้วหรือ?”
มู่จิ่วเกือบนอนราบร้อยแปดสิบองศาอยู่บนโต๊ะ มองเขาที่กดไหล่นางไว้แน่นและห่างไปเพียงนิ้วมือเดียว มึนงงไปหมดแล้ว!
แต่ไหนแต่ไรลู่ยาไม่เคยถูกใครกระทำแบบนี้มาก่อน ถาดนี้ฟาดจนเขาโกรธขึ้นหลายส่วน บวกกับที่นางทำตัวเป็นเต่าหัวหดมาตั้งแต่ต้นจนจบ โยกโย้ไม่ตอบ จึงตั้งใจแล้วว่าวันนี้ต้องสั่งสอนนางให้ดี แต่ตอนนี้เห็นนางท่าทางแบบนี้ ก็เหมือนกับเท้าเหยียบเข้าไปในโคลน ไม่รู้ว่าจะเดินหน้าหรือถอยหลังดี!
…แต่เดิมเข้าใจว่านางผอม บนร่างไม่มีเนื้อหนังมังสา แต่เอนอยู่บนโต๊ะแบบนี้กลับทำให้ช่วงอกที่แต่เดิมพอเหมาะนูนเด่นขึ้นมา ผิวหนังใต้กระดูกไหปลาร้าขาวสว่างภายใต้แสงไข่มุก เมื่อมองขึ้นไป คางเล็กแหลมนั่นแม้แต่ตั้งใจสลักก็ไม่เคยเห็นที่ละเอียดอ่อนขนาดนี้มาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงริมฝีปากแดงสวยเหมือนผลท้อและพลัม….
ลู่ยาใจเต้นแรง ตะลึงไป
เขากลับไม่คิดเลยว่านางก็มีภาพสมควรตายแบบนี้อยู่ด้วย
นางตรงหน้าไหนเลยจะยังเป็นเด็กสาวโง่เง่าที่ดูไม่สนใจอะไรอีก ชัดเจนว่าเป็นปีศาจที่แค่มองก็ขโมยอวัยวะภายในไปหมดแล้ว
เขาทนไม่ได้ อยากจะก้มหน้าลงไปจูบริมฝีปากนี้
มู่จิ่วพลันแข็งเกร็งเหมือนทั้งร่างจะระเบิดออก!
ย่าเขาเถอะ เขาเป็นมหาเทพเชียวนะ!
เขาควรดูถูกและไม่สนใจนางที่เป็นคนไร้ตัวตน รักษาภาพลักษณ์สูงส่งงดงามไว้!
เขากลับผลักนางลงอย่างง่ายๆ แบบนี้?!
ทั้งยังคิดจะ…คิดจะ…ดูท่าทางแล้วยังคิดจะจูบนางอย่างไร้ยางอายอีก!
แต่นางกลั้นหายใจอยู่นาน สุดท้ายลู่ยาก็ไม่ได้แตะต้องจริง
เขาไม่เพียงไม่แตะต้อง ร่างก็นิ่งไป
แต่เดิมเขารู้สึกนานแล้วว่าวันนี้เป็นเรื่องที่ช้าเร็วก็ต้องเกิด แต่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้…เขาไม่อยากทำมันแบบลวกๆ ไม่อยากให้นางเข้าใจว่าตนเองผลีผลามจนเป็นคนไม่มีขอบเขต ตอนนี้นางไม่เชื่อใจเขาแม้แต่น้อย เขาหวังว่าตอนที่สามารถเข้าใกล้นางได้ อย่างน้อยก็เป็นตอนที่นางยินดีรับเขาแล้ว
ริมฝีปากเขาปัดผ่านแก้มนาง จากนั้นยืดตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
มู่จิ่วถูกเขาดึงขึ้นมา จากนั้นลู่ยาเดินไปนั่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยกแก้วชาขึ้นดื่ม
ในห้องมีความเงียบชนิดที่สามารถได้ยินเสียงหัวใจเต้น
เหมือนกับระเบิดเต็มห้องพลันได้รับการถอดสลักแล้ว
มู่จิ่วยืนนิ่งอยู่นานเหมือนกับท่อนไม้ ยังไม่เข้าใจว่าเมื่อครู่คือเรื่องจริงหรือภาพมายา
เรื่องเมื่อครู่นี้…ถึงตอนนี้นางจึงเพิ่งรู้สึกว่าตนเองมีพลังชีวิตขึ้นมาเล็กน้อย
“เจ้าตกใจหรือ?” เขามองนางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มผ่านโต๊ะที่ขวางกั้น
“อืม…”
สมองมู่จิ่วยังคงสับสน แต่ใบหน้ากลับฟื้นคืนสติแล้ว พริบตาเดียวแดงเหมือนตับหมู
ย่ามันเถอะ อีกนิดนางก็เกือบ ‘เสียตัว’ แล้ว…
…………………………………………