หลินเจี้ยนหรูนิ่งอึ้งอยู่ใต้ต้นสนที่งอกออกคล้ายเป็นร่ม จนใบไม้ใบหนึ่งกลางอากาศร่วงลงพื้น ถึงได้เปิดปาก “ข้าก็รู้ไม่แน่ชัด”
มู่จิ่วมองเขา มีความผ่อนคลายอย่างที่คาดเดาไว้แล้ว
นางไม่มีทางเชื่อคำอธิบายของเขา เขาสังหารหลินเซี่ย จากนั้นชีวิตของจีหย่งฟางก็สิ้นสุดลง? อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้ประหลาดใจนัก เหมือนกับที่พูดไว้ก่อนหน้า คนที่ทำผิดคนหนึ่ง ไม่ว่าเขาคิดหรือไม่คิดจะทำผิดอีก แต่ความเป็นไปได้ที่จะทำผิดอีกครั้งยังเพิ่มขึ้นหลายเท่า เพราะการเลือกในตอนนั้นของเขาตัดสินทางเดินในภายภาคหน้าแล้ว
เขากลับเปลี่ยนไปเป็นคนแบบนี้
“ในใจเจ้าไม่มีความรู้สึกผิดบ้างหรือ?” นางถาม “เจ้าไม่กลัวข้าเปิดโปงเจ้าหรือไง?”
เขาก็ไม่หลบเลี่ยง หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งจึงตอบ “เจ้าไม่มีหลักฐานและเรื่องนี้ก็จบลงแล้ว หากหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาอีก ก็เพียงแค่มอบชีวิตอีกสองชีวิตไปเท่านั้น ตอนนั้นแท้จริงใครถูกใครผิด เจ้ายังแยกแยะได้ชัดเจนหรือไม่? เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า หากเจ้ายืนกรานสอดมือเข้ายุ่ง แบบนั้นเรื่องดีร้ายในภายหลังเจ้าก็สะบัดไม่หลุดแล้ว”
มู่จิ่วเริ่มมีน้ำโห แต่กลับไม่มีคำพูดตอบโต้
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำให้นางโกรธจนไร้คำพูดแบบนี้!
นางไม่คิดจะถามหาความยุติธรรมอะไรให้ใคร เพียงแค่ไม่คิดว่าเขากลับหมุนตัวเดินไปยังหนทางที่บิดเบี้ยวได้ไกลขนาดนี้!
เขาไม่กลัวว่าสุดท้ายแล้วจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นหรือ?!
อย่างไรก็ตาม หลินเจี้ยนหรูไม่ได้พูดอะไรอีก พยักหน้าให้นาง จากนั้นหมุนตัวจากไป
มู่จิ่วกัดฟันจ้องแผ่นหลังเขา ก่อนเขาจะไป นางพลันยื่นมือหยิบเส้นผมที่ติดอยู่บนหลังเขาเก็บเข้าแขนเสื้อไป
ในหน่วยมีคนที่กลับมากินข้าวเยอะ คนมากมายทักทายนาง
นางตอบรับอย่างแกนๆ ไปสองประโยค ก่อนรีบมุ่งหน้ากลับบ้าน
เมื่อถึงประตูเรือน กลิ่นหอมของอาหารที่ทำให้น้ำลายสอลอยเข้าจมูก และกลิ่นหอมของอาหารยังเจือไปด้วยกลิ่นเหล้าดอกหอมหมื่นลี้ เสี่ยวซิงทำอาหารหนึ่งโต๊ะ ทุกจานล้วนเป็นของที่มู่จิ่วชอบกิน แน่นอนว่ามีปลาซงฮวาที่นางสั่งให้ทำไว้เป็นพิเศษ
ดังนั้นทุกคนจึงครึกครื้นเป็นพิเศษ รวมถึงซ่างกวนสุ่นที่ปากร้าย ได้ยินเขาพูดถึงได้รู้ว่าเจ้าคนนี้ใช้ลานด้านหลังเป็นที่ปลูกผัก สองเดือนถัดมา ผักสดผลไม้อะไรกลับไม่ต้องออกไปซื้อแล้ว ลู่ยาเคยสังเกตหุนคุนปลูกผัก จึงไพล่มือไปตรวจสอบผลงานของเขา ผลคือถอนไช้เท้ากลับมาสองหัว ให้เสี่ยวซิงนำไปตุ๋นไว้กินตอนกลางคืนพอดี
ความครึกครื้นบนโต๊ะอาหารลบล้างความกังวลก่อนหน้านี้ในใจมู่จิ่ว นางค่อยๆ ดื่มไปสองแก้ว กินข้าวเสร็จค่อยตามลู่ยาเข้าไปในห้อง
“อันนี้คืนเจ้าก่อน” นางหยิบด้ายแดงบนข้อมือส่งให้เขา
ลู่ยาจ้องด้ายแดงก่อนพูด “ใส่ไว้ดีกว่า ป้องกันตอนไหนข้าหาเจ้าไม่เจอ”
มู่จิ่วยังต้องการปฏิเสธ เขาจึงเปลี่ยนด้ายแดงนั้นเป็นกำไลม่วงทองขนาดพอดีข้อมือนาง
มู่จิ่วทำได้เพียงปล่อยวาง นางนั่งลงใกล้โต๊ะแปดเซียนของเขา เห็นด้านบนมีภาพแปดเหลี่ยมและมีเกล็ดมังกรสองแผ่น เพิ่งรู้ว่าที่แท้เขากำลังครุ่นคิดเรื่องทะเลสาบน้ำแข็ง จึงถามขึ้น “ทายอะไรออกบ้างหรือไม่?”
ลู่ยาเก็บภาพแปดเหลี่ยม ก่อนพูด “อวิ๋นรองเป็นจื่อเยวี่ยจริง นอกจากนั้น อายุขัยของเผ่าหงส์เพลิงแท้จริงถึงจุดจบแล้ว”
มู่จิ่วตกใจ “รุนแรงขนาดนี้เลยหรือ? ทำไมถึงเป็นแบบนี้? พวกเขาทำบาปอะไรมาก่อน?”
ลู่ยาซ่อนมือไว้ในแขนเสื้อ มองต้นกล้วยที่นอกหน้าต่างพลางขมวดคิ้วพูด “ภัยพิบัติเมื่อแสนปีก่อนหน้าเป็นด่านเคราะห์สวรรค์ธรรมดา ตอนนั้นเผ่าหงส์เพลิงรุ่งเรืองเกินไป ทำให้กระทบชีวิตสรรพสัตว์รอบด้าน ดังนั้นต้องได้รับเคราะห์สวรรค์ด่านนี้ แต่ที่ทำให้อายุขัยพวกเขาสิ้นสุดกลับไม่ใช่เพราะเรื่องเมื่อแสนปีก่อน แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอีกเรื่องเมื่อพันกว่าปีที่แล้ว”
“นั่นคือเรื่องอะไร?” มู่จิ่วฟังถึงตรงนี้ก็อดกังวลไม่ได้
ลู่ยาเอ่ยอย่างครุ่นคิด “อวิ๋นรองได้รับบาดเจ็บ ไม่รู้ใครทำร้าย แต่ทำร้ายถึงรากฐานวิญญาณเขาโดยตรง ดังนั้นหลายปีมานี้ร่างกายเขาเลยยิ่งแย่ทุกที”
เขานำภาพแปดเหลี่ยมสองแผ่นวางกลับลงบนโต๊ะ ขมวดคิ้วน้อยๆ ขณะครุ่นคิด
มู่จิ่วได้ฟังถึงตรงนี้แล้วอดพูดไม่ได้ “ล้วนต้องโทษอ๋าวเชินที่คิดว่าตนฉลาด หากให้กุญแจจันทราหยางแก่พวกเขาไปก็ไม่มีเรื่องแล้วมิใช่หรือ? อย่างมากก็เตือนพวกเขาไว้ล่วงหน้า ให้พวกเขาใช้เสร็จแล้วเอาคืนกลับมา ตอนนี้ดีแล้ว กุญแจนี้ไปอยู่ในมือคนอื่น เขาไม่เพียงสูญเสียของมีค่า แม้แต่ลูกสาวก็เสียไป!”
ลู่ยายกแก้วดื่มชา ไม่พูดอันใด
มู่จิ่วก็คร้านจะพูดต่อ สำคัญคืออ๋าวเชินกับอวิ๋นเฉี่ยนคู่นั้นช่างน่ารังเกียจ นางไม่อยากยุ่งเรื่องนี้
นางหยิบเส้นผมเส้นนั้นออกมาจากแขนเสื้อ เขยิบไปข้างตัวเขา ใช้น้ำเสียงเอาใจพูดด้วย “เจ้าช่วยข้าดูอันนี้หน่อย? ดูว่าสุดท้ายเขามีจุดจบอย่างไร”
ลู่ยาหรี่ตามอง “ของใคร?”
มู่จิ่วกระแอมไอพูด “ของหลินเจี้ยนหรู”
สายตาของลู่ยาเปลี่ยนไปไม่ดีแล้ว “เจ้าไปพบเขาอีก?”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ตั้งใจไปพบ เพียงแค่เจอกันพอดีที่หน่วย” มู่จิ่วร้อนตัวอยู่บ้าง “เจ้าดูเถอะ ข้าแค่ดูบทสรุปสุดท้ายของเขาก็พอแล้ว”
ลู่ยาทำหน้านิ่ง หมุนตัวเดินเข้าไปยังห้องด้านใน
มู่จิ่วตามเข้าไป “เป็นแบบนี้ เรื่องนั้นที่แรกพยับจบลงแล้ว พวกเขาสืบออกมาว่าเป็นจีหย่งฟางสังหารหลินเซี่ย เจ้าคงทายได้ว่าเรื่องเป็นอย่างไร ข้ารู้ว่าข้าไม่ควรช่วยเขาปกปิด แต่ก็รู้สึกว่าเขาทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ตอนนี้เปิดโปงเขาแน่นอนว่ามีแต่ลากคนเข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้น ดังนั้นข้าเพียงอยากดูว่าสุดท้ายเขาเป็นอย่างไรก็พอแล้ว”
ลู่ยาหยุดอยู่หน้าฉากกั้นลม สีหน้าที่หันมาเล็กน้อยนั้นทะมึนอย่างมาก
นางพูดว่าหลินเจี้ยนหรูสร้างเรื่องให้คนอื่นรับโทษแทน?
สองมือของเขากอดอก หมุนตัวมาพูด “ชะตาชีวิตเต็มไปด้วยตัวแปร ข้าเพียงสามารถดูอดีต ดูอนาคตไม่ได้”
มู่จิ่วรีบกล่าว “สุดท้ายจบดีหรือจบไม่ดี คงดูได้กระมัง?”
“ไม่ได้” ลู่ยาตัดบท
มู่จิ่วร้อนรนพูด “จะเป็นไปได้อย่างไร? เจ้ายิ่งใหญ่ออกขนาดนั้น”
ลู่ยาเดินออกไป “ไม่คิดจะดูก็ทำไม่ได้”
มู่จิ่วสำลักจนหมดจด นิ่งอยู่นาน หาคำพูดมาระเบิดอารมณ์ไม่ได้อย่างแท้จริง จึงทำได้เพียงหมุนตัวเดินออกไป
ลู่ยารอจนนางเดินจนลับสายตาไป ค่อยใช้นิ้วสองนิ้วจับเส้นผมที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาดู จากนั้นรวมพลังวาดยันต์กลางอากาศ เส้นผมนั้นค่อยๆ ปรากฏภาพออกมา
ให้เขาดูบทสรุป คืออยากให้เขาล้มเลิกไม่กำจัดหลินเจี้ยนหรูหรือ?
คิดได้ประเสริฐ!
เขามองอย่างเหม่อลอย แต่เมื่อสายตากวาดไปมองช่วงสุดท้าย แววตาอันดูแคลนและดูถูกกลับค่อยๆ กลายเป็นตกใจ…
พูดถึงมู่จิ่ว ถึงแม้คุยกับทางลู่ยาไม่ราบรื่น แต่นี่กลับไม่ได้กระทบถึงความรู้สึกของนาง
อย่างไรนางก็ไม่ได้คิดไปถามหาความยุติธรรม…นางยังไม่น่าจะถึงกับต้องเมตตาขนาดนั้น? การตายของหลินเซี่ยกับจีหย่งฟางก็มีเหตุผลอยู่ในตัวนานแล้ว ทั้งสองฝั่งล้วนไม่ใช่คนดี สุดท้ายมีกฎธรรมชาติจัดการความยุติธรรม ทำไมนางต้องไหลไปตามน้ำเน่านี้ด้วย อีกอย่าง คำนั้นของหลินเจี้ยนหรูก็พูดไม่ผิด หากนางเข้ามาขวางตรงกลางจริง สุดท้ายคนที่ทำชั่วคนนั้นก็ยังไม่รู้ว่าเป็นใครอยู่ดี
คืนนี้เงียบสงบ
ตอนเช้าตื่นแต่รุ่งสางมาฝึกกระบี่ จากนั้นนางเปลี่ยนเสื้อผ้าไปหน่วยอย่างอารมณ์ดี อาฝูเข้าใจว่านางต้องไปทำงานไกล สี่เท้ากอดขานางไว้ไม่ยอมให้ไป มู่จิ่วพูดอย่างไรเขาก็ไม่ฟัง จึงทำได้เพียงตกลงพาเขาไปที่หน่วยงานด้วย อย่างไรเขาก็เป็นสัตว์เร่ร่อนที่ทัพทหารสวรรค์รับไว้ พาไปไม่ผิดกฎ
………………………………………………………