แต่คำพูดของอวิ๋นเฉี่ยนทำให้นางมีมุมมองใหม่ต่ออ๋าวเชินผู้บุกสวรรค์มาชิงนางไปจากมือหลิวจวิ้นคนนั้น
นางไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี จึงค้อมตัวให้อวิ๋นรองบนเตียง ก่อนเดินออกประตูไป
มาถึงตำหนักใหญ่ อวิ๋นชือฉางยังคงนั่งอยู่ เขาเหมือนใจลอย จนผู้ติดตามเข้าไปรายงานข้างหน้า เขาถึงได้หลุบตาลง ยกชาขึ้นมา
“คำตอบของตระกูลอวิ๋น ไม่รู้ว่าใต้เท้ากัวพอใจหรือไม่?”
มุมปากเขายกขึ้นเล็กน้อยยามมองมู่จิ่ว แต่ในมุมปากที่ยกขึ้นมีเพียงการเยาะเย้ยและความโกรธที่อัดอั้นอยู่
สำหรับพวกเขาที่ยืนหยัดอยู่พันกว่าปี สุดท้ายจบลงที่ความพ่ายแพ้ ความกระทบกระเทือนนี้มิใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะประสบได้กระมัง? เทียบกับความโชคร้ายที่ได้รับกะทันหันแล้วยิ่งลำบากกว่า ได้เห็นกับตาว่าเผ่าพันธุ์ของตนเดินไปสู่จุดจบทีละก้าว และพวกเขากลับไม่มีหนทาง หากเผ่าของพวกเขาสูญสิ้นแล้ว บนโลกก็จะไม่มีเผ่าหงส์เพลิงอีกแล้ว
มู่จิ่วไม่ได้ตอบคำถามของเขาตรงๆ เพียงพูดว่า “ที่อยู่ของกุญแจจันทราหยิน พวกเรายังต้องไปยืนยันกับราชามังกรถึงจะได้ แต่ยังมีเรื่องหนึ่ง ขอให้ราชาหงส์พูดตามจริง”
อวิ๋นชือฉางมองมา
นางพูด “ขอถาม องค์หญิงอ๋าวเยวี่ยที่เหยี่ยวพิษปลอมตัวมาขโมยกุญแจจันทราอยู่ไหน?”
“เหยี่ยวพิษอะไร?”
อวิ๋นชือฉางถามก่อนขมวดคิ้วแน่น สบตากับอวิ๋นเฉี่ยนที่เดินกลับเข้ามาด้านหลัง ก่อนพูด “ข้าไม่เคยส่งเหยี่ยวพิษไปวังมังกร ข้าก็ไม่รู้เช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับอ๋าวเยวี่ย”
มู่จิ่วทำหน้าตึง “มาถึงตอนนี้ คนทั้งสองไม่ต้องปิดต้องบังกันแล้ว? บุญคุณความแค้นของพวกเจ้าเป็นบุญคุณความแค้นกับราชามังกร ไม่เกี่ยวกับอ๋าวเยวี่ย ในเมื่อพูดกระจ่างหมดแล้ว จะไม่รีบนำคนออกมาหน่อยหรือ? เรื่องนี้อ๋าวเจียงแจ้งแก่หน่วยลาดตระเวน ข้าต้องมีอะไรกลับไปรายงาน”
พูดถึงตรงนี้ นางนำน้ำเต้าหยกมาจากอ๋าวเจียง “ในนี้คือเหยี่ยวพิษ หรือยังสงสัยว่าพวกเราพูดให้ร้าย?”
อวิ๋นเฉี่ยนเปิดน้ำเต้านั่นดู จากนั้นมองนางอย่างล้ำลึก “ข้าไม่ได้ยืมมือคนอื่นจริงๆ หากข้าส่งคนเข้าวังมังกรไปก่อนหน้านี้นานแล้ว ทำไมต้องรอถึงตอนนี้ค่อยลงมือ?”
“ยิ่งไปกว่านั้น เหยี่ยวพิษนี้เป็นสัตว์ดุร้ายโบราณ หรือจะสามารถรับการเรียกใช้ของพวกเราได้? ผิวของเหยี่ยวพิษตัวนี้ค่อยๆ ออกสีเงินแล้ว อย่างน้อยต้องมีพลังบำเพ็ญห้าหมื่นปีขึ้นไป ตระกูลอวิ๋นของข้าหากสามารถบังคับเหยี่ยวพิษตัวนี้ ยังต้องลำบากขนาดนี้หรือ?”
สีหน้าของนางกลับไม่เหมือนพูดโกหก และยังมีเหตุผลอยู่บ้าง
มู่จิ่วมองอ๋าวเจียง เขาพูด “แต่หากไม่ใช่พวกเจ้าส่งมา กุญแจจันทราหยางก็ไม่ได้เอาไป แล้วใครเป็นคนทำกันแน่?”
“กุญแจจันทราหยาง?” สีหน้าอวิ๋นเฉี่ยนแข็งค้าง “เจ้าบอกว่ากุญแจจันทราหยางถูกคนเอาไปแล้ว?!”
“หรือเจ้าอยากพูดว่าเจ้าไม่รู้?” มู่จิ่วจ้องนางนิ่ง
อวิ๋นเฉี่ยนใบหน้าซีดขาว ตั้งแต่นางออกมาจนถึงเมื่อครู่ สีหน้าสงบนิ่งมาตลอด
แต่ตอนนี้เอง บนหน้านางกลับมีความลนลานที่ปิดไม่มิดแม้แต่น้อย “ข้าไม่รู้! ข้าส่งคนแฝงตัวเข้าวังมังกรไปเอากุญแจจันทราหยินไม่ผิดแน่ แต่ในความเป็นจริง ข้ายังไม่รู้ชัดเจนเลยว่ามันอยู่ที่ไหน ข้าเพียงสงสัยว่าเขาซ่อนไว้ในวังประจิมไสว จึงอาศัยโอกาสที่เข้าวังมังกรคราวก่อนไปค้นหากับอวิ๋นซี ครั้งนี้ข้าไม่ได้ลงมือ!”
“มันหายไปได้อย่างไร?!”
นางรีบถาม
พวกเขายังไม่ฝังอวิ๋นรอง เพราะยังหวังว่าจะมีวันหนึ่งสามารถนำกุญแจจันทราหยางมารวบรวมพลังวิญญาณและจิตต้นกำเนิดของเขาอีกครั้ง แต่พวกเขากลับบอกนางว่ากุญแจจันทราหยางหายไปแล้ว!
ความสิ้นหวังค่อยๆ ปรากฏในดวงตานาง ก่อนแพร่กระจายกลายเป็นความสูญสิ้นทีละน้อย
อวิ๋นชือฉางข้างหลังนางทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้ เหมือนกับทหารพ่ายที่ข้าศึกบุกเข้าเมืองแล้ว
มู่จิ่วเห็นท่าทางของพวกเขาแบบนี้ ก็หาต้นสายปลายเหตุไม่เจอ
วันนั้นที่วังประจิมไสว ตั้งแต่ต้นจนจบ นางไม่สงสัยว่าอ๋าวเชินจะเป็นคนเจ้าเล่ห์ที่แม้แต่หญิงในดวงใจของตนยังกลับมาคิดบัญชี แต่ตอนนี้ความจริงเปิดเผยแล้ว กลับกัน หากคิดๆ ดู ถึงแม้คำพูดทั้งหมดของอวิ๋นเฉี่ยนล้วนเป็นการให้ร้าย เช่นนั้นตัวเขาเองก็ยอมรับว่าเคยวางแผนลงมือกับอวิ๋นเฉี่ยนมิใช่หรือ?
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นางใส่ใจที่สุดมิใช่พวกเขาทั้งสองใครจริงใครหลอก แต่เป็นในเมื่ออวิ๋นเฉี่ยนแสดงออกแล้วว่าเหยี่ยวพิษไม่ใช่พวกเขาส่งเข้าไปแฝงตัว และไม่ได้เอากุญแจจันทราหยางไป แล้วคนที่อยู่เบื้องหลังเหยี่ยวพิษคือใคร? กุญแจจันทราหยางนี้ตกไปอยู่ในมือใครแล้ว?
แต่เดิมเข้าใจว่าเป็นเรื่องที่ชัดเจนมาก คิดไม่ถึงว่ายิ่งซับซ้อนขึ้นแล้ว
ชัดเจนว่าตระกูลอวิ๋นไม่มีกำลังและความสามารถควบคุมเหยี่ยวพิษที่เป็นสัตว์ดุร้ายได้ และพวกเขากับทะเลสาบน้ำแข็งมีกำลังไม่ต่างกัน หากกุญแจจันทราหยินยังอยู่ในมือพวกเขา ก็คงไม่ต้องสร้างเรื่องแบบนี้มาหลอกทะเลสาบน้ำแข็ง หากอวิ๋นเฉี่ยนไม่ได้โกหก อ๋าวเชินโกหกใช้หรือไม่?
“รายงานราชา องค์หญิงรอง มีข่าวจากวังมังกรทะเลสาบน้ำแข็ง ขอองค์ชายสามรีบกลับวัง!”
ผู้ติดตามที่นอกประตูค้อมศีรษะก้าวเข้ามา ถึงแม้น้ำเสียงนิ่งสงบ แต่ฝีเท้าที่รวดเร็วนั้นยังทำให้รับรู้ถึงความกังวลหลายส่วน
อ๋าวเจียงสีหน้าเปลี่ยน “พวกเขารู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่?”
อวิ๋นเฉี่ยนที่ความเจ็บปวดยังไม่จางหายเหลือบมองเขาคราหนึ่ง ไม่ได้พูดสิ่งใด
มู่จิ่วกลับดูออก ทะเลสาบน้ำแข็งกับทิวเขาริ้วหยกห่างกันหมื่นลี้ แต่ก่อนอ๋าวเชินกับอวิ๋นเฉี่ยนคิดอยากเจอหน้าก็เจอกันได้ เพื่อลดความเหงาและความคิดถึง แน่นอนว่าต้องมีเส้นทางพิเศษของพวกเขา และเหตุผลที่ตระกูลอวิ๋นยังไม่ทำลายเส้นทางนี้ เกรงว่าคงเหมือนกับตอนที่พวกเขาทำกุญแจจันทราหยินหายแล้วไม่เคยไปโวยวายวังมังกร ยังคงคิดเหลือหนทางไว้เพื่อไปขโมยกุญแจจันทราหยางในวันข้างหน้า
นางลุกขึ้น “ในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นพวกเราขอลา”
พูดจบก็ประสานมือให้อวิ๋นชือฉางด้านหน้า ก่อนลูบหัวอาฝูออกไปกับหยวนจินกับหลัวถ่า
นางยืนอยู่ข้างนอกวังริมทะเลสาบอยู่นาน อ๋าวเจียงถึงได้เดินหนักก้าว เดินเบาก้าวตรงเข้ามา ความโกรธที่ปรากฏก่อนหน้านี้หายไปหมด ในดวงตานอกจากความสับสนก็เป็นความละอายและความอับจน มาถึงตรงหน้ามู่จิ่ว เขาเพียงนิ่งอึ้งเท่านั้น ริมฝีปากทั้งคู่ปิดไม่ได้พูดอะไรออกมา
มู่จิ่วเดาว่าหากเขารู้ว่าผลลัพธ์เป็นแบบนี้ จะต้องไม่ไปหานางแน่
นางถอนหายใจก่อนพูด “ไปวังมังกรเถอะ”
เขาพูดอย่างลังเล “เจ้าไปได้หรือไม่?”
มู่จิ่วตอบ “เรื่องนี้ยังไม่จบมิใช่หรือ ข้าต้องไปฟังว่าพ่อเจ้าพูดอย่างไร”
สีหน้าของเขาผ่อนคลายลงบ้าง
มู่จิ่วหันไปสั่งหยวนและหลัวทั้งสองคนให้กลับสวรรค์ไปก่อน และส่งกระเรียนกระดาษตัวหนึ่งไปแจ้งข่าวให้ลู่ยา จากนั้นจึงค่อยปีนขึ้นหลังอาฝูไปวังมังกรกับเขา
ทะเลสาบน้ำแข็งมุ่งไปทางเหนือเจ็ดแปดพันลี้จากประตูสวรรค์แดนใต้ ไปครั้งนี้เทียบกับมาจากสวรรค์แล้วใช้เวลามากกว่า
ยิ่งมุ่งไปทางเหนือฟ้ายิ่งมืด เสียเวลาไปที่ทิวเขาริ้วหยกครึ่งวัน ตอนออกมาจึงไม่เช้าแล้ว
สีหน้าอ๋าวเจียงไม่ดีมาตลอด มู่จิ่วเข้าใจได้ ที่จริงคำอธิบายของอวิ๋นเฉี่ยนเท่ากับเอาเรื่องเก่าของอ๋าวเชินมาเปิดเผยทั้งหมด บวกกับกุญแจจันทราหยางหายไปหรือไม่ตอนนี้ยังไม่ชัด ในฐานะที่เป็นลูกชาย ตัวเขาเองย่อมไม่สบายใจ กระทั่งเป็นไปได้ว่ามีความละอาย ไม่ว่าเขากับอ๋าวเชินมีความรู้สึกแบบพ่อลูกมากแค่ไหน ขอเพียงอ๋าวเชินยังเป็นพ่อของเขาอยู่ ก็ละทิ้งไม่ได้
………………………………………………………