สองคนหิ้วตะกร้าไปถึงนอกประตูสวรรค์แดนใต้ ที่นี่ช่างคึกคักอย่างยิ่ง
ทางตะวันตกเฉียงเหนือนอกประตูสวรรค์แดนใต้เปิดเป็นตลาดโดยเฉพาะ ตอนมีเวลาว่างมู่จิ่วก็ตามเสี่ยวซิงมาซื้อของบ่อยๆ เหล่าปีศาจนกกาน้ำล้วนจำนางได้ เห็นนางหิ้วตะกร้าเดินมา ก็รีบยื่นคอยาวออกมาเรียกนางเหมือนกับกวนอิมพันมือ แบบนี้ทำเอานางซื้อของใครก็ล้วนรู้สึกไม่ดี สุดท้ายทำได้เพียงซื้อหนึ่งชิ้นจากทุกร้าน ดังนั้นเหล่าปีศาจนกกาน้ำจึงยิ่งกระตือรือร้น
“ใต้เท้ากัว วันนี้ท่านชายผู้นี้แจ่มใสอย่างมาก เป็นเพื่อนของท่านหรือ?”
“ใต้เท้ากัว วันนี้ไม่ซื้อผลไม้หน่อยหรือ? ลูกท้อของปีศาจหมีเทาไม่เลวทีเดียว!”
ปีศาจเหล่านี้ไม่เพียงชอบนินทา ยังชอบเร่ขายสินค้าของตนเอง มู่จิ่วอาศัยตอนลู่ยาไปเดินเล่นเลือกอย่างอื่นแล้ว นั่งลงบนเก้าอี้เล็กของพวกเขา “ทำไมเหล่าลิงไม่ขายลูกท้อแล้วเปลี่ยนเป็นปีศาจหมีเทาล่ะ?”
“อย่าพูดถึงเลย ตระกูลลิงวอกเกิดเรื่องแล้ว” พังพอนเหลืองปากไวใจถึงที่ขายเหล้าผลไม้ป่าอยู่ด้านข้างพูดแทรก “เด็กสาวบ้านเขาแต่งให้กับเผ่าลิงขนทองเมืองเสฉวนไป แต่เดิมยังเข้าใจว่าปีนขึ้นไปยังกิ่งสูง ผลคือสามีของสาวคนนี้ ตลอดปีออกล่องเมฆไปบำเพ็ญ ผ่านมาแปดร้อยปีก็ไม่ได้ให้กำเนิดลูก บ้านสามีโทษว่านางไม่ทุ่มเททำหน้าที่ จึงขับไล่นางกลับมา”
นางพูดจบ ปีศาจจิ้งจอกที่ขายไข่ไก่อยู่ข้างๆ และปีศาจงูขาวที่ขายของป่าต่างด่าทอตระกูลลิงขนทองเมืองเสฉวนว่าไร้หัวจิตหัวใจ จากนั้นพูดไปถึงว่าตระกูลใครใครก็ให้ความสำคัญผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ผลคือเปลี่ยนหัวข้อของเรื่องไปเพราะเรื่องขายลูกท้อ ลากสามีชั่วพ่อแม่สามีเลวออกมา
มู่จิ่วฟังคำนินทานี้จบ ลู่ยาถึงได้ถือลูกบัวพวงหนึ่งกลับมา
กลับไปถึงบ้านนางรับคำสั่งทำปลาน้ำแดงให้เขา ปลาเล็กที่เหลือนางเพิ่มหญ้าเซียนหลินจือเข้าไปต้มน้ำแกง เสริมพลังให้เหล่าสมาชิก
วันนี้ลู่ยาไม่ออกไปข้างนอกจริง ตอนบ่ายนอนสักครู่ค่อยลุกขึ้นมา เห็นนางปักลายดอกไม้อยู่บนระเบียงทางเดิน จึงย้ายเก้าอี้เอนมานั่งข้างนาง อยู่เป็นเพื่อนพูดคุยด้วยใต้ซุ้มต้นจื่อเถิงตลอดบ่าย
วันถัดมา ตอนเช้ามู่จิ่วกลับไปทำงาน เขาถึงได้เดินทางไปคุนหลุนตะวันออกอย่างสบายใจ
คุนหลุนตะวันออกอยู่ตรงข้ามกับคุนหลุนตะวันตกที่ซีหวังหมู่อยู่ เปรียบเทียบกับพลังเซียนที่ลอยกระเพื่อมของคุนหลุนตะวันตก คุนหลุนตะวันออกกลับมีต้นไม้โบราณปกคลุม อากาศเป็นพิษแผ่กระจาย คนมาถึงน้อย ตลอดมาเป็นที่อาศัยของเหล่าปีศาจ แต่เพราะเป็นทิศตะวันออก พลังหยางสมบูรณ์ จึงยิ่งเหมาะให้เหล่าผู้บำเพ็ญตนเป็นเซียนมารับพลังฟ้าดิน ดังนั้นคนที่มาบำเพ็ญสายเซียนก็ยังคงมากอยู่
ลู่ยาเดินไปตามป่าบนยอดเขาใหญ่โตหนึ่งรอบ ไม่พบอะไร แต่กลับทำให้ปีศาจน้อยบนทางเดินตกใจจนยืนไม่ติด
เดินไปอีกสองรอบก็ยังไม่พบอะไร จึงจับเสือลายเหลืองมาตัวหนึ่งถาม “ในหลายพันปีมานี้ บนเขาเกิดเรื่องอะไรผิดปกติหรือไม่?”
เสือลายเหลืองอยู่มาห้าหกพันปี พบเทพที่ใหญ่ที่สุดคือเทพเอ้อร์หลาง ตอนนี้เห็นบนศีรษะลู่ยามีไอมงคลปกคลุมอยู่ครึ่งฟ้า ก็ตกใจจนหมอบลงกับพื้น “ตอบท่าน ข้าน้อยไม่เคยพบอะไรผิดปกติ ในเขาหลายพันปีมานี้สงบสันติ นอกจากนานๆ ครั้งเหล่าปีศาจน้อยต่อสู้แย่งชิงพื้นที่กันก็ไม่มีเรื่องอะไรอีก”
ลู่ยาถามอีก “เรื่องที่ประมาณห้าพันปีก่อนปรากฏพลังวิญญาณแข็งแกร่งมากขุมหนึ่งตอนกลางคืน เจ้าเคยได้ยินมาหรือไม่?”
เสือลายเหลืองสับสน “ไม่เคยได้ยิน”
ลู่ยาหน้าตึง
เสือลายเหลืองรีบพูด “หากท่านต้องการรู้เรื่องเมื่อก่อน บางทีสามารถใช้บ่อน้ำสามพฤกษาทางตะวันตกดูได้”
“บ่อน้ำสามพฤกษา?”
“ไม่ผิด” เสือลายเหลืองพยักหน้า “ทางบูรพาของคุนหลุนตะวันออกมีอาณาบริเวณหนึ่งอยู่ในเขาลึก ด้านหลังที่นั่นจรดทิวเขาฝูซี มืดมิดตลอดปี กลิ่นอายปีศาจเข้มข้น พวกเราล้วนไม่กล้าเข้าไป แต่บรรพบุรุษของเราเคยพลาดพลั้งเดินเข้าไปมาก่อน จากคำบอกเล่า ที่นั่นมีบ่อน้ำสีดำอยู่ ริมบ่อน้ำยังมีต้นไม้โบราณสามต้น ไม่รู้ว่าอายุเท่าไหร่แล้ว”
“สรุปคือ ตอนพวกเขาเห็นลำต้นก็หนาเท่าโต๊ะกลมกินข้าวที่บ้านแล้ว น้ำนั้นทั้งลึกและดำ ไอมารเข้มข้น เป็นสถานที่ที่พวกเราทั้งเขาคุนหลุนตะวันออกไม่อยากย่างกรายเข้าไป”
เขาพูดพลางกางแขนทั้งสองแสดงความหนาของลำต้นไม้ ใบหน้ายังเผยสีหน้าหวาดกลัวสุดขีด
ลู่ยากวาดตามองไปทางตะวันตก เมฆหมอกหนาจัด มองอะไรไม่เห็นเช่นกัน จึงพูด “เจ้านำทาง”
เสือลายเหลืองรีบเอ่ยทั้งใบหน้ากล้ำกลืน “ข้าน้อยไม่กล้าไป”
ลู่ยาทำหน้านิ่ง “ไปกับข้าเจ้าจะกลัวอะไร!”
เสือลายเหลืองจึงค่อยคืนสติทันใด ค้อมตัวชี้ทางไปข้างหน้า
……………………..
มู่จิ่วไปหน่วยลาดตระเวนก่อนตามปกติ เพื่อรายงานเรื่องตระกูลอ๋าวตระกูลอวิ๋นแก่หลิวจวิ้น หลิวจวิ้นฟังจบก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงส่ายหน้าอย่างไร้คำพูด พลางเปิดแฟ้มคดีที่นางส่งมา คิดแล้วเรื่องเวรนี่ไปถึงมือใครล้วนไม่อยากสน ครั้งนี้นางกลับจัดการพวกเขาเรียบร้อย ทั้งยังมีความพอใจอยู่น้อยๆ
ช่วงเช้าทำงานเรียบร้อย เวลายังคงเช้าอยู่ แต่ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว มู่จิ่วจึงเรียกอาฝูกลับบ้านไปกินข้าว
ไหนเลยจะรู้ว่าเพิ่งเลี้ยวเข้าตรอกตรงประตูบ้าน ก็เห็นมู่เสี่ยวซิงยืนเบิกตากว้างมองไปข้างนอกอยู่หน้าประตู มู่จิ่วเข้าใจว่านางทำอาหารเสร็จนานแล้วรอตนกลับมากิน จึงรีบเพิ่มความเร็ววิ่งเข้าไป มู่เสี่ยวซิงกลับชิงออกมาก่อนพร้อมพูด “จิ๋วจิ่ว! มีข่าวร้าย!”
มู่จิ่วอึ้ง “ข่าวร้ายอะไร?”
คงไม่ใช่ลู่ยา…
“เป็นอ๋าวเจียง!” เสี่ยวซิงกางกระเรียนกระดาษส่งให้นางดู “เมื่อครู่เพิ่งได้รับมา กระเรียนกระดาษนั่นมาถึงก็ตกลงพื้นไม่ไหวแล้ว เห็นได้ชัดว่าบินไกลมาต่อเนื่อง”
มู่จิ่วรีบรับกระเรียนกระดาษมา มันถูกใช้เป็นจดหมาย ด้านบนเขียนอักษรหวัดๆ หลายแถว
ที่แท้ตอนเช้าอ๋าวเจียงไปทิวเขาริ้วหยกมา ผลคือเพิ่งถึงตระกูลอวิ๋นก็ตกอยู่ในกับดักของพวกนั้น!
“ตระกูลอวิ๋นลงมือเร็วขนาดนี้? ไม่มีเรื่องอะไรเขาจะไปทิวเขาริ้วหยกทำไม!” นางหลุดปากพูด อดรู้สึกว่าตึงมือไม่ได้ ตระกูลอวิ๋นตอนนี้เต็มไปด้วยความโกรธ หากเป็นไปตามการคาดเดาของลู่ยาเมื่อวาน เช่นนั้นก็ไม่ได้การแล้ว! เขาโง่ถึงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร?!
“กระเรียนกระดาษนั่นไม่ได้บอกอะไรอย่างอื่นแล้ว?” นางถาม
“ไม่มี!” เสี่ยวซิงส่ายหน้า “มาถึงก็ตกพื้น ตอนนี้แม้แต่เงาก็ไม่มี!”
มู่จิ่วไร้คำพูด
แต่ไม่ว่าอย่างไร ในเมื่อคำร้องขอให้ช่วยมาแล้ว นางไม่อาจไม่สนใจได้
กระเรียนกระดาษเปิดปากไม่ไหว ต้องเป็นเรื่องหน้าสิ่วหน้าขวานแน่ ให้เขาตายแบบนี้ในเงื้อมมือของตระกูลอวิ๋นก็ไม่เหมาะนัก!
“ข้าไปดูก่อน! หากลู่ยากลับมาแล้วเจ้ารีบบอกเขาด้วย”
พูดจบนางกลับห้องไปหยิบกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ สั่งให้เสี่ยวซิงกับรุ่ยเจี๋ยเฝ้าบ้าน จากนั้นเรียกอาฝูและซ่างกวนสุ่นรวมตัวมุ่งหน้าไปทิวเขาริ้วหยก
หากตระกูลอวิ๋นต้องการลงมือจริง นั่นก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว นางพาคนไปมากหน่อยก็ไม่เลวนัก
ซ่างกวนสุ่นรู้ว่าอ๋าวเจียงมาขอความช่วยเหลือ แต่ยังไม่รู้เรื่องอะไร รอจนนางเล่าเรื่องทั้งหมด จึงได้รู้ว่าอ๋าวเจียงเข้าปากเสือไปด้วยตนเอง ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาขูดรีดทรัพย์อ๋าวเจียง แต่การที่ตระกูลอวิ๋นรังแกมังกรน้อยบริสุทธิ์ก็ถือว่าไม่มีเหตุผล ดังนั้นระหว่างทางจึงลับมีดไว้เตรียมปะทะกับตระกูลอวิ๋น
……………………………………………………………………