เสี่ยวซิงกับซ่างกวนสุ่นกำลังแยกต้นอ่อนผัก พวกเขาตั้งใจปลูกผักสดกลุ่มหนึ่ง รอจนกินของในตอนนี้หมด ผักที่ปลูกใหม่ก็สามารถเก็บได้พอดี เห็นพวกเขาทั้งสองเข้ามาเหมือนพายุ ปากก็พูดเชื่องช้า ดีที่เสี่ยวซิงยังจำได้ว่ามู่จิ่วยังไม่ได้กินข้าว ดังนั้นจึงทักทายคำหนึ่งแล้วลุกขึ้นไปทำข้าวเช้าให้นาง
ในลานบ้าน กระเรียนเซียนสองตัวกำลังเดินเล่น นกกระจาบฝนหลายตัวบนระเบียงทางเดินกำลังนินทาอะไรสักอย่างเสียงแหลมสูง
บนเตาไฟมีกลิ่นน้ำแกงไก่ตุ๋นลอยมา ดอกโบตั๋นหลายดอกบนขอบหน้าต่างก็บานได้อย่างงดงาม
มู่จิ่วกินอาหารเช้า ลู่ยาหยิบหนังสือหนึ่งเล่มมานั่งเป็นเพื่อนอยู่บนเก้าอี้เอนด้านข้าง เมื่อเห็นสิ่งใดน่าสนใจก็อ่านให้นางฟังสักสองประโยค
เวลานี้ช่างงดงาม ช่างทำให้คนหลงใหล
ไม่นานก็กินอิ่ม นางกำลังประคองแก้วชาครุ่นคิดว่าตอนบ่ายค่อยไปที่หน่วยหรือไปตอนนี้ดี ลู่ยาปิดหนังสือลงก่อนพูด “เรื่องอวิ๋นรองเป็นอย่างไร?”
มู่จิ่วมองเขา เช้าขนาดนี้ยังมีใจมาพูดเรื่อยเปื่อย นางยังเข้าใจว่าเขาไม่สนใจเรื่องนี้เสียอีก ดังนั้นแต่เดิมคิดว่าหลังพบหลิวจวิ้นแล้วค่อยพูดกับเขาอย่างละเอียดอีกที แต่ในเมื่อเขาถามมา จึงผลักแก้วชาไปข้างหน้า จากนั้นเล่าเรื่องที่มาที่ไปทั้งหมดให้เขาฟัง
“ตอนนี้สิ่งที่ข้ากังวลที่สุดคือไม่รู้ว่าตระกูลอวิ๋นจะก่อเรื่องใหญ่อะไรเพราะเรื่องนี้หรือไม่ ที่จริงครั้งนี้เสียทีในเงื้อมมือของอ๋าวเชินก็น่าโมโหเกินไป อย่างไรพวกเขาก็รักษาไว้ไม่ได้แม้แต่ตระกูลแล้ว ก่อเรื่องวุ่นว่ายครั้งใหญ่ให้ตระกูลอ๋าวก็ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้
“ส่วนอ๋าวเชิน ข้ากลับไม่สนใจเขา เพียงแต่คิดว่าหากตระกูลอวิ๋นทุ่มเทกำลังทั้งหมดของเผ่าพันธุ์ เกรงว่าถึงตอนนั้นคงไม่เรียบง่ายเพียงแค่แก้แค้นอ๋าวเชิน ไม่แน่ว่าแม้แต่ทะเลทั้งสี่ทิศอาจได้รับผลกระทบ หากเรื่องราวไปถึงขั้นนี้จริง นั่นก็เลวร้ายอย่างมาก”
ลู่ยากินกุหลาบแช่อิ่มที่เสี่ยวซิงทำไว้ ก่อนพูด “หากถึงขั้นนั้นจริง ก็ใช่ว่าเจ้าจะสามารถต้านทานได้”
“ใช่ ถ้าพูดแบบนี้นะ แต่ข้ารู้สึกตลอดว่าแม้ตระกูลอวิ๋นมีความผิด กลับไม่ใช่ทุกคนที่ผิด ในเผ่าพันธุ์ของพวกเขายังมีเด็กที่ไม่รู้ความอยู่อีก หรือต้องพลอยสังเวยชีวิตไปด้วยเพราะความผิดของเหล่าพี่น้องอวิ๋นเฉี่ยน?” มู่จิ่วเท้าคางถอนหายใจ “แบบนี้มิใช่ว่าโหดร้ายอำมหิตเกินไปหรือ?”
สายตาของลู่ยามองผ่านหนังสือไปยังอู๋ถงบนระเบียงทางเดิน ไม่พูดสิ่งใด
“อา ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง” มู่จิ่วพลันวางมือทั้งสองก่อนเอ่ยอีก “ห้าพันปีก่อน เรื่องที่อ๋าวเชินได้รับบาดเจ็บที่คุนหลุนตะวันออกก็แปลกประหลาดมาก เจ้ารู้หรือไม่?”
“อ๋าวเชินได้รับบาดเจ็บ?” ลู่ยาได้ยินนางพูดถึงเรื่องนี้ก็รีบมองมา “ข้าไม่เคยได้ยิน เกิดอะไรขึ้น?”
มู่จิ่วเล่าเรื่องที่อ๋าวเชินโดนโจมตีที่คุนหลุนตะวันออกได้อย่างไรให้เขาฟัง
“นี่คือเรื่องจริงหรือ?” สีหน้าลู่ยาไม่ผ่อนคลายขนาดนั้นอีก
“ข้าแน่ใจว่าเป็นเรื่องจริง” มู่จิ่วพยักหน้า “เพราะจิตมังกรของเขาปริร้าวแล้ว”
ลู่ยาขมวดคิ้วไม่พูดอะไร
มู่จิ่วหันมาเผชิญหน้ากับเขา แล้วกล่าวอีก “อ๋าวเชินบอกว่าพลังวิญญาณนั้นบริสุทธิ์มาก แต่ทำไมพลังวิญญาณที่บริสุทธิ์อย่างมากถึงได้ทำร้ายคนไร้ความผิดล่ะ?”
“เรื่องนี้พูดยาก” ลู่ยาจ้องดอกจื่อยวน (ดอกไอริสสีม่วง) ที่อยู่ไม่ไกล “มีความเป็นไปได้ว่าตอนนั้นมีผู้พลังบำเพ็ญสูงส่งกำลังเลื่อนขั้นพอดี และเป็นไปได้อีกว่านั่นเป็นพลังเริ่มต้นบางประเภทในหกภพ” พูดจบเขาก็มองนาง “แต่ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าคุนหลุนตะวันออกมีเซียนชั้นสูงอะไร ไม่เคยได้ยินว่ามีของวิเศษมีค่า ทำไมอยู่ๆ ถึงมีพลังวิญญาณพวยพุ่งออกมากะทันหัน?”
มู่จิ่วไหนเลยจะตอบได้? แล้วก็ไม่ใช่นางที่เห็นด้วยตาตัวเอง
นางโบกมือพูด “อย่างไรอ๋าวเชินก็ได้รับบาดเจ็บแบบนี้”
ลู่ยาเหลือบมองนาง เอ่ยอีกว่า “อวิ๋นรองตายแล้วจริงหรือ?”
“ตายแล้วจริง” มู่จิ่วพยักหน้า “ข้าใช้พลังทั้งหมดในร่างก็จับเศษเสี้ยวของพลังชีวิตเขาไม่ได้ และข้าเชื่อว่าตระกูลอวิ๋นไม่มีเหตุผลต้องเล่นละครแบบนี้ คราวก่อนตอนข้าเห็นเขา เขาก็อ่อนแอมากแล้ว ตอนนี้แม้แต่กุญแจจันทราหยินก็ไม่มี เขาจะยืนหยัดต่อไปได้อย่างไร?”
ลู่ยาครุ่นคิดอยู่ครู่ก่อนพูดขึ้นเอง “บังเอิญเช่นนี้ จิตต้นกำเนิดของอวิ๋นรองถูกทำร้าย จิตมังกรของอ๋าวเชินก็ถูกทำร้าย ล้วนต้องการกุญแจจันทราหยางมารักษาวิญญาณ?”
มู่จิ่วค้อมหัวมองเขา “คำพูดนี้ของเจ้าหมายถึงอะไร?”
ลู่ยาวางหนังสือลง หยิบกุหลาบแช่อิ่มครึ่งหนึ่งไปนั่งข้างนาง “เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าเบื้องหลังยังมีบางสิ่งซ่อนเร้นอยู่?”
ซ่อนเร้น? ซ่อนเร้นอะไร?
มู่จิ่วนิ่งอึ้งไร้คำพูด โปรดให้อภัยด้วยที่นางโง่ นางยังคิดไม่ออกว่ามีเรื่องซ่อนเร้นอะไร
ถึงแม้บอกว่าตระกูลอวิ๋นกับอ๋าวเชินตอนนี้กลายเป็นศัตรูกันจริงเพื่อแย่งชิงกุญแจจันทรา แต่คนที่ได้รับประโยชน์มิใช่ราชินีมังกรหรือ? อย่างไรก็ตาม ราชินีมังกรคิดได้ และเอากุญแจจันทราหยางออกมาแล้ว…อา ไม่ถูกสิ! ถึงแม้ราชินีมังกรนำกุญแจจันทราหยางมาให้ ก็ยังสามารถช่วยชีวิตคนได้เพียงคนเดียว ตระกูลอวิ๋นกับอ๋าวเชินก็ยังเป็นศัตรูกันอยู่!
“เจ้าคิดอีก จากนั้นพวกเขายังเชื่อมโยงอะไรกันอีก?”
ยังไม่รอให้นางพูด ลู่ยาเอนตัวมาข้างหน้า ห่างเพียงสองชุ่น จ้องตาทั้งสองของนางพลางเอ่ย
ความเชื่อมโยงหลังจากนั้น ไม่ใช่สิ่งที่นางเพิ่งพูดหรือ?
ภายใต้สถานการณ์ตอนนี้ ต่อมาตระกูลอวิ๋นต้องไปล้างแค้นอ๋าวเชิน เพราะไม่ว่าพูดอย่างไร อวิ๋นรองก็ตายด้วยน้ำมือของพวกเขา
อีกอย่าง แผนการฟื้นคืนของพวกเขาวางแผนมาพันกว่าปี สุดท้ายความหวังยังถูกทำลายลง จึงเป็นไปได้มากว่าต้องไปกระตุ้นความคิดที่จะลากให้ตายตกไปด้วยกัน อย่างไรการสูญเสียอวิ๋นรองก็เท่ากับสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ แบบนั้นย่อมต้องไม่ใส่ใจสิ่งใด ลากตระกูลอ๋าวฝังกลบไปด้วยกันแน่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตอนนี้สืบได้แล้วว่ากุญแจจันทราหยางยังอยู่ในมือตระกูลอ๋าวเลย!
คิดถึงตรงนี้สีหน้านางก็เปลี่ยน “พูดแบบนี้ มิใช่ว่าทั้งสี่ทะเลตกอยู่ในอันตรายจริงหรือ!”
“ครั้งนี้ตระกูลอ๋าวถูกอ๋าวเชินก่อเรื่องไว้ใหญ่จริง” ลู่ยายกริมฝีปากนั่งลงไป “พวกผู้เฒ่าหลายคนนั่นมีเรื่องต้องทำแล้ว สงครามครั้งนี้ปะทุขึ้นมา โลกเซียนก็พบหายนะแล้ว”
มู่จิ่วฟังจนใจบีบรัด แต่เห็นเขาท่าทางก็สงสัย จึงถามขึ้น “ทำไมข้ารู้สึกเหมือนเจ้าดีใจนัก?”
“ข้ามีอะไรไม่น่าดีใจกัน” ลู่ยาพูด “เจ้าอ๋าวเชินนั่นใช้พวกเราอย่างกับคนใช้เต็มๆ สองเดือน ตอนแรกยังกล้าพูดว่าจะเอาชีวิตเจ้า ให้เขาถูกผู้เฒ่าเหล่านั้นจัดการบ้างจะหนักหนาอะไร”
มู่จิ่วไร้คำพูดโดยสิ้นเชิง
ใครบอกว่าพลังบำเพ็ญสูงแล้วจะปล่อยวางได้ เรื่องทั้งหมดล้วนว่างเปล่าไม่มีความหมาย?
พ่อหนุ่มตรงหน้าจิตใจเทียบกับรูเข็มแล้วคงใหญ่กว่าไม่เท่าไหร่กระมัง?
แต่เขาแค่รักษาความยุติธรรมแทนนาง เรื่องนี้ก็คิดเล็กคิดน้อยไม่ได้
นางคิดๆ แล้วพูดอีก “ความหมายของเจ้าคือ นี่คือสงครามที่ราชินีมังกรวางแผนไว้?”
“นางไม่น่ามีความสามารถเช่นนี้ และหากนางต้องการความวุ่นวายเพียงนี้คงทำไปนานแล้ว ทำไมต้องรอถึงตอนนี้ด้วย?” ลู่ยางอเข่าบนเก้าอี้ ฟันขาวทั้งสองแถวกัดดอกกุหลาบแช่อิ่มสีแดงสด พลางกล่าว “ข้าเพียงกำลังคิดว่า หากเรื่องจริงกับสิ่งที่ข้าคาดเดาไว้ไม่ต่างกัน เรื่องนี้อาจเกี่ยวพันกับพลังวิญญาณที่คุนหลุนตะวันออกเล็กน้อย”
พูดจบ เขาก็พูดอีกโดยไม่รอมู่จิ่วตอบ “พรุ่งนี้มีเวลาว่าง ข้าจะไปดูที่คุนหลุนตะวันออกเสียหน่อย”
มู่จิ่วรีบเอ่ย “ทำไมวันนี้ไปไม่ได้?”
ลู่ยาหันหน้ามา มือบีบคางนางเบาๆ “วันนี้อากาศดีขนาดนี้เลยไม่อยากออกจากบ้าน พวกเราไปซื้อปลากินกัน”
พูดจบก็ยืนขึ้น หยิบตะกร้าที่ชั้นตรงมุมห้องก้าวเท้าออกประตูไป
มู่จิ่วจนปัญญาจริงๆ
เทพเซียนสูงส่งคนหนึ่งกลับต้องการไปเดินตลาดกับนาง?
ว่างจนประสาทเสียไปแล้ว
มู่จิ่วเห็นเขาเดินถึงนอกประตู ทำได้เพียงกลับห้องไปหยิบเหรียญหยก แล้วเดินตามเขาออกไปบนถนน
……………………………………………………………