ตลอดทางมู่จิ่วเดินไปทิศตะวันตกเฉียงเหนือไม่หยุด เสียงเสือร้องและเสียงต่อสู้ดังอยู่ข้างหูเหมือนฝนที่ตกอย่างต่อเนื่อง
แต่ตลอดทาง นอกจากเสียงนี้แล้วกลับไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรอีก เสียงนั้นยิ่งฟังยิ่งเหมือนมาจากนอกฟ้าอันห่างไกล
นางเริ่มรู้สึกว่าแปลกประหลาด ทำไมตอนที่นางกับอ๋าวเจียงเผชิญหน้ากับอันตราย ลู่ยากลับไม่ปรากฏตัวออกมาแม้แต่น้อย? เขาไม่ได้ยินเสียงร้องของอาฝูหรือ? นี่ชัดเจนว่าเป็นไปไม่ได้
หากเกิดเรื่องขึ้นกับอาฝู ลู่ยาต้องไปช่วยเหลือเร็วกว่าพวกเขา ขณะเดียวกันก็ต้องบอกให้พวกเขารู้แน่ แต่ตั้งแต่ต้นจนจบนางไม่เห็นเขาโผล่หน้าออกมาเลย หากบอกว่าตอนพวกเขากลับเข้าป่ามาไม่ทัน แบบนั้นตอนนางเจอไฟโจมตีเขาอยู่ที่ไหน?
ว่ากันตามเหตุผล เขาไม่อาจไม่รู้ได้ว่านางเจออันตราย ทว่าตั้งแต่แรกล้วนเป็นนางกับอ๋าวเจียงสองคนต่อสู้อยู่ กระทั่งแม้แต่กระตุ้นกำไลม่วงทองที่เขาเคยกำชับอย่างเคร่งครัดว่าให้ใช้หากพบอันตรายและต้องการความช่วยเหลือ นางก็ยังกระตุ้นไม่ได้เลย เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเขา? หรือเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับนางและอ๋าวเจียง?
นางหยุดเท้าลงทันที มองดูต้นสนใหญ่ที่โค้งงออยู่ด้านหน้า
ต้นสนนี้นางเห็นมาแล้วสองรอบ!
และทั้งสองรอบนั้นล้วนอยู่บนทางที่นางแยกจากอ๋าวเจียงมาตามหาอาฝู!
นางมองดูรอบตัวเร็วๆ หนึ่งรอบ ไม่ผิด! นางเดินกลับมาที่เดิมอีกแล้วจริงๆ และไม่เพียงเท่านี้ ต้นไม้รอบด้านดูไปแล้วแต่ละต้นกลับคล้ายกันนัก แม้แต่พื้นก็เรียบราวสร้างขึ้นจากพื้นตะไคร่น้ำที่เหมือนกันเชื่อมต่อกันไป ไม่ว่ามองไปมุมไหนก็ดูไม่ต่าง นั่นก็หมายความว่า ตอนนี้แม้แต่ทิศทางนางก็ยากจะแยกแยะแล้ว!
รอบด้านแม้แต่ลมก็ไม่มี…
ต้นไม้แต่ละต้น ใบไม้แต่ละใบ ล้วนเป็นเหมือนต้นไม้จำลองที่วาดไว้ข้างๆ ไม่มีเสียงของอาฝูแล้ว เสียงต่อสู้ก็ไม่มีเช่นกัน เลือดลมนางในอกเริ่มเคลื่อนไหวปั่นป่วน นางรีบนั่งลงปรับลมหายใจ แต่ครั้งนี้กลับระงับลงไปไม่ได้ พลังวิญญาณรอบกายเหมือนกับน้ำที่ถูกกวนในกระทะ จะอย่างไรก็หยุดไม่ได้!
ในที่สุดนางก็แน่ใจได้ว่าตนเองติดกับดักแล้ว เสียงร้องของอาฝูเป็นของปลอม เสียงต่อสู้ก็เป็นของปลอม ไม่แน่ว่าแม้แต่ไฟก่อนหน้านี้ก็อาจเป็นของปลอมเหมือนกัน ตอนนี้นางถูกขังอยู่ในป่า แม้แต่ทิศทางลมยังจับไม่ได้ ที่จริงแม้แต่ทิศทั้งสี่ก็หาไม่เจอแล้ว!
“ลู่ยา! อาฝู!”
นางเริ่มตะโกนขึ้น!
แต่เสียงที่ส่งออกไปกลับกลายเป็นเสียงสะท้อน มีเพียงที่เปิดโล่งและปิดแน่นถึงจะสามารถเกิดเสียงสะท้อนได้ และถึงแม้ตำแหน่งที่นางอยู่คือหุบเขา แต่รอบด้านล้วนมีต้นไม้ ไม่มีอะไรขวางทาง กลับมีเสียงสะท้อนได้!
แม้นางยอมรับว่าตนเองใจกล้า แต่ตอนนี้กลับอดหวาดกลัวอยู่บ้างไม่ได้
นางตัดสินใจวิ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง แต่ไม่ว่านางวิ่งไปไกลแค่ไหน ต้นไม้ด้านข้างก็ยังเป็นต้นไม้เหล่านั้น พื้นใต้เท้าก็ยังเป็นตะไคร่น้ำผืนนั้น นางวิ่งจนเท้าอ่อนแรง หายใจหอบ เหมือนแข่งวิ่งกับตนเองอยู่คนเดียวในพื้นที่อันว่างเปล่า
จนในที่สุดนางก็หมดแรง กอดต้นไม้แห้งต้นหนึ่งคุกเข่าลงไป หยาดเหงื่อเหมือนฝนหยดลงบนดินโคลน นางปิดตาแน่น บังคับให้ตนเองสงบใจ
นางเริ่มเข้าใจแล้วว่าไอมารที่ลู่ยาพูดถึงในป่านี้หมายความว่าอะไร นางต้องเตรียมใจให้ดีกับการที่ลู่ยาจะหานางไม่เจอ แต่ก็ไม่อาจถูกขังตายอยู่ในนี้ได้
นางต้องมีชีวิตรอดออกไป!
นางยังอยากไปเจอลู่ยา ยังอยากเลื่อนขั้นให้สำเร็จราบรื่นตามที่หลิวหยางปรารถนา!
นางขบฟัน เปิดตาขึ้น
อย่างไรก็ตาม ไม่รู้ว่าตรงหน้ามีทางเล็กขรุขระเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นตอนไหน ต้นกำเนิดของเส้นทางเริ่มมาจากหยดเหงื่อของนาง ถนนสายนี้มุ่งไปไกล ทิวทัศน์เริ่มเปลี่ยนแปลง และมีแสงบางๆ ปรากฏออกมา
นางกลัวว่านี่ยังเป็นภาพมายา ดังนั้นจึงกัดนิ้วตนเองหยดเลือดไปตามทาง นี่คือหนึ่งในวิชาคลายภาพมายาที่มู่หรงหลิวเย่ให้นาง และเป็นวิชาคลายเพียงหนึ่งเดียวที่นางใช้ได้ตอนนี้ ตัวผู้ฝึกวิชาภาพมายาสามารถใช้เลือดสลายวิชามายาได้ แต่ระดับสูงต่ำของการสลายขึ้นอยู่กับพลังบำเพ็ญของผู้ฝึกวิชานี้
หยดเลือดตรงไปข้างหน้าตามเส้นทาง ทิวทัศน์สองฝั่งเปลี่ยนไปไม่หยุด นางเริ่มเพิ่มความเร็ววิ่งไปข้างหน้า ทว่าตอนที่นางกำลังพุ่งออกจากป่านี้ ตีนเขาด้านหน้าพลันมีพลังขนาดใหญ่โจมตีมา!
“อึก…”
นางไม่สามารถต้านทานการโจมตีนี้อีกต่อไป เสียงในลำคอดังขึ้นอย่างอึดอัด ร่างล้มลงกับพื้นทันควันราวกับดาวตก พลังลมปราณที่พลุ่งพล่านในร่างกายยิ่งรวดเร็วจนควบคุมได้ยากขึ้น มันไหลวนที่แขนขาและร่างของนาง!
ตอนนี้ในที่สุดมู่จิ่วก็เริ่มเชื่อว่าจุดจบของตนเองมาถึงแล้ว ถึงแม้นางไม่ถูกพลังที่ด้านนอกขุมนี้ปะทะจนตาย ก็ต้องตายด้วยพลังในร่างกายของตนเอง!
แม้แต่พลังฤทธิ์นางก็ไม่สามารถใช้ได้จริง ยิ่งใช้ผลสะท้อนกลับมาก็ยิ่งแรง
แต่หากไม่ใช้แล้วละก็ นางทำได้เพียงรอความตายเท่านั้น!
ทว่าตอนที่นางกำลังเค้นสมองคิดว่ายังมีวิธีอะไรบ้าง มือคู่หนึ่งกลับพยุงนางไว้อย่างมั่นคงจากด้านหลัง! ดวงตาคู่หนึ่งเหมือนกับน้ำนิ่งก้มมองนาง บนใบหน้ายังมีความโกรธที่พยายามอดกลั้นไว้!
“ลู่ยา!”
มู่จิ่วกลั้นกลิ่นคาวในลำคอ ทั้งร่างผ่อนคลายขึ้น
ลู่ยาคลายมือวางนางบนพื้น ถามนางว่า “กัวมู่จิ่ว กำไลม่วงทองที่ข้าให้เจ้าล่ะ!”
มู่จิ่วซวนเซจับก้อนหินยืนให้มั่น “อ๋าวเจียงบาดเจ็บ ข้ากลัวเขามีอันตราย…”
“เรื่องที่ข้าสั่งเอาไว้ เจ้าไม่เก็บมาใส่ใจแบบนี้หรือ?”
ความโกรธเกรี้ยวของลู่ยาย่อมไม่ยอมให้นางพูดจนจบ “ข้าระมัดระวังปกป้องเจ้าไม่ให้เจ้าตาย คราวก่อนมอบหยกประดับให้เก็บไว้ให้ดี สุดท้ายเจ้าก็ปลดมันออก ครั้งนี้ข้ากำชับเจ้าขนาดนั้นว่าห้ามให้กำไลนี้ห่างตัวเด็ดขาด เจ้ากลับเอามันให้คนอื่น แต่ไหนแต่ไรเจ้าไม่เคยใส่ใจข้าใช่หรือไม่!”
มู่จิ่วสับสน นางกระอักกระอ่วนพูด “เจ้าฟังข้าอธิบายก่อน เมื่อครู่ข้าเจออันตราย อ๋าวเจียงบาดเจ็บเพราะข้า และเมื่อครู่ข้าได้ยินเสียงอาฝูได้รับอันตราย ข้าไม่รู้จะทำอย่างไร คิดได้แต่วิธีนี้ ข้าไม่ได้ไม่ใส่ใจเจ้านะ!”
ตลอดมานางไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้ นี่ทำให้นางยิ่งร้อนรนกว่าตอนที่ถูกขังอยู่ในภาพมายาคนเดียวเสียอีก
ภายใต้สถานการณ์แบบนั้น ที่จริงนางไม่ได้ครุ่นคิดมากนัก นางคิดเพียงอ๋าวเจียงมีกำไลม่วงทอง ลู่ยาต้องหาเขาเจอ เขาต้องไม่ตายแน่…นางไม่ได้คิดว่าที่พวกเขาเจอทั้งหมดล้วนเป็นกับดัก หากรู้แต่แรก หรืออ๋าวเจียงไม่บาดเจ็บเพราะนาง นางจะไม่ทำแบบนี้เด็ดขาด!
แต่ตอนนี้พูดอย่างไรเขาถึงจะเข้าใจนางเล่า?
พลังลมปราณในร่างกายนางยิ่งเคลื่อนไหวรุนแรงมากขึ้นตามอารมณ์ที่แปรปรวน
แต่นางใส่ใจกับเรื่องมากมายขนาดนี้ไม่ได้
“เจ้ารู้เพียงว่าเขาบาดเจ็บเพราะเจ้า ข้าทำเพื่อเจ้ามากขนาดนั้น เจ้ากลับมองไม่เห็น?!”
ลู่ยาอดกลั้นความโกรธในอกไม่ได้แล้ว ไปกับเขาโดยไม่ได้รับอนุญาตก็ช่างเถอะ กลับยังเอากำไลที่เขาให้ใส่ในมือผู้ชายคนอื่น นี่นางกำลังบอกเขาว่านางไม่เห็นค่าสิ่งของของเขา? ไม่เห็นค่าความใส่ใจของเขาหรือ?! หรือความรู้สึกของเขาสามารถเหยียบย่ำได้ตามใจชอบ ไม่ต้องมองเป็นเรื่องสลักสำคัญ?
…………………………………………………