พี่น้องตระกูลอวิ๋นไม่อาจหยุดยั้ง และไม่สามารถทำอะไรได้ ทำได้เพียงเบิกตาดูลู่ยาลงมือกับร่างของราชาจื่อเยวี่ยของพวกเขา
เห็นเพียงเลือดขนาดเท่าเม็ดถั่วกลับซึมเข้าไปในผิวของอวิ๋นฉัวอย่างช้าๆ บนใบหน้าของเขาที่ไร้ชีพจรไปนานแล้วหลายวันกลับค่อยๆ ซับสีเลือด จากนั้นก็เห็นขนตาทั้งคู่ของเขาขยับแผ่วเบา ก่อนลืมตาทั้งสองขึ้นมา สายตาตกไปบนใบหน้าลู่ยา หลังจากจ้องอยู่นานก็พลันร้องออกมาอย่างตกใจ “เต้าจู่?!…”
ลู่ยายืนกอดอก ยกมุมปากให้เขาพลางพยักหน้า นับเป็นการตอบรับ
“พี่รอง!”
คนทั้งหมดล้อมเข้ามา แต่ล้วนมองเขาอย่างตกใจพูดไม่ออก!
ริมฝีปากทั้งคู่ของอวิ๋นชือฉางสั่นเทา ยามกุมมือของเขา น้ำตาไหลอาบบนหน้า
มู่จิ่วมองเหนือหัว เมฆทะมึนที่หนาแน่นค่อยๆ สลายไป เนินเขาเหลืองแห้งห่างออกไปค่อยๆ แผ่สีเขียวกลับคืนมา ดอกไม้บนต้นไม้บานอีกครั้ง เริ่มมีเสียงนกร้องปรากฏหนึ่งหรือสองเสียง จากนั้นเป็นสองกลุ่ม ก่อนกลายเป็นฝูงร้องต่อเนื่องไม่หยุด แผ่นกระเบื้องที่แตกหักในวังกลับคืนสู่สภาพเดิม ผิวทะเลสาบที่ล้อมรอบด้วยไผ่เขียวกลับมาราบเรียบเหมือนกระจกอีกครั้ง
ราชาที่กลับชาติมาเกิดของเผ่าพันธุ์หงส์เพลิงท่านนี้ พลังวิญญาณที่เขาแบกรับไว้มหัศจรรย์เช่นนี้นี่เอง!
ด้านล่างเริ่มมีคนตะโกนอย่างประหลาดใจระคนยินดี โห่ร้องอย่างดีใจ หมอกทะมึนที่ปกคลุมอาณาจักรนี้เอาไว้สลายหายไปในพริบตาเดียว พวกเขาไม่รู้ว่าอวิ๋นฉัวมีชะตาชีวิตเพียงไม่กี่วัน รอจนผ่านพ้นหลายวันนี้ไป ในที่สุดทุกอย่างก็จะกลับไปสู่บทสรุปที่ควรเป็น แต่ตอนที่คนสิ้นหวังถึงขีดสุด แม้แต่ภาพมายาก็ล้วนล้ำค่า นับประสาอะไรกับการเพิ่มขึ้นมาอีกหลายวัน?
ถึงแม้พวกอวิ๋นซียังดำดิ่งอยู่ในความตกตะลึงล้นเหลือ ก็รู้ว่าคำพูดของลู่ยาเมื่อครู่ไม่ใช่โอ้อวด
อวิ๋นฉัวฟื้นขึ้นมาจริง!
ไม่ว่าอย่างไร ตอนนี้เขาฟื้นขึ้นมาจริงๆ แล้ว!
“รีบมาคารวะ…”
อวิ๋นฉัวพูดพลางพยุงร่างลงพื้น คุกเข่าลงไปก่อน แต่เขายังพูดไม่จบลู่ยาก็ห้ามเขาแล้ว
“เรื่องนี้ทุกคนไม่จำเป็นต้องรู้”
แสนปีก่อนอวิ๋นฉัวเป็นราชาแห่งเผ่าพันธุ์หงส์เพลิง ประสบการณ์มากมายจนมีทัศนะต่างจากผู้อื่น เห็นลู่ยาแบบนี้ก็เข้าใจ
กลุ่มคนยังคงตกตะลึงอยู่ ถึงแม้อวิ๋นฉัวไม่ได้พูดถึงฐานะชัดเจน แต่ก็เดาออกว่าต้องเป็นผู้มีตำแหน่งสูงส่งมาก เพราะคิดไม่ถึงว่าเขาจะสามารถช่วยอวิ๋นฉัวให้กลับมามีชีวิตจริง และตัวอวิ๋นฉัวเองก็ค้อมคำนับแล้วค้อมคำนับอีก ไหนเลยจะกล้าพูดมาก? ดังนั้นจึงคุกเข่าลงไปบนพื้นกันหมด
อ๋าวเจียงยืนอยู่ด้านข้างก็ตกตะลึง บ้านสกุลกัวหลายคนทั้งองค์ชายนกต้าเผิง เสือขาว และองค์ชายจิ้งจอกเก้าหาง ก็ทำให้ประหลาดใจมากแล้ว คิดไม่ถึงว่าแม้แต่ซ่านเซียนน้อยคนหนึ่งในบ้านพวกเขากลับเป็นมหาเทพที่ฝีมือกล้าแกร่งขนาดนี้!
และแต่ก่อนพ่อเขากลับเคยกดดันให้พวกเขาทำงานอยู่สองเดือนที่วังมังกร…
ขณะมองลู่ยาที่ถูกเหล่าหงส์เพลิงคุกเข่าทำความเคารพ เขาพลันรู้สึกว่าถึงแม้เป็นลมไปก็ดูไม่แย่นัก…
“อ๋าวเจียง!”
ตอนที่เขากำลังละอายใจอยู่นั้น กลางอากาศพลันมีเสียงร้อนรนดังมา เงยหน้าขึ้นไปมอง ที่แท้เป็นซ่างกวนสุ่นที่พาอ๋าวเชินมาแล้ว!
อวิ๋นชือฉางที่คุกเข่าอยู่เห็นอ๋าวเชินก็ลุกขึ้นพุ่งเข้าไป แต่ถูกอวิ๋นฉัวจับข้อมือไว้ จึงทำได้เพียงอดกลั้นถอยกลับไป
อ๋าวเชินเห็นอ๋าวเจียงไม่เป็นอะไรมากก็วางใจ จนกระทั่งเห็นคนจำนวนมากคารวะลู่ยาก็สับสน เมื่อเห็นอวิ๋นเฉี่ยนอีกก็อดรู้สึกผิดในใจไม่ได้ เบือนหน้าหลบไป แต่กลับหันไปสบตากับอวิ๋นฉัวที่เหมือนกับคนปกติพอดี!
วันก่อนมู่จิ่วบอกเขาว่าอวิ๋นฉัวตายแล้วแน่นอน ตอนนี้เทียบกับแต่ก่อนกลับยังดูแจ่มใสกว่ามาก!
นี่เป็นไปได้อย่างไร?!
“เจ้า เจ้ายังไม่ตาย!”
แววตาอวิ๋นฉัวมองเขาอย่างซับซ้อน ไม่ได้พูดอะไร และค้อมกายทำความเคารพ ก่อนพูดกับลู่ยา “เชิญท่านเทพเข้าไปนั่งในวัง”
ลู่ยาเหลือบมองอ๋าวเชินก่อนลงเขาไปช้าๆ
ถึงแม้เรื่องนี้เขาไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใด แต่โดยแท้แล้วราชินีมังกรผิด ตระกูลอวิ๋นผิด ก็ล้วนมิสู้อ๋าวเชินที่ผิดมากที่สุด คนแก่หนังเหนียวนี่ รู้ชัดว่าตระกูลอวิ๋นวางแผนอะไรไว้ยังเล่นตุกติกกับเขา ตอนนี้กลับรู้จักรีบมาช่วยลูกชาย หากหัดเป็นพ่อแบบนี้แต่แรก ก็ไม่มีเรื่องเวรแบบนี้เกิดขึ้นแล้วไม่ใช่หรือ?
อ๋าวเชินถูกสายตานี้ของลู่ยากวาดมองจนหลังคอเย็นเฉียบ มู่จิ่วเดินไปพูดข้างหน้าเขา “มาก็มาแล้ว เข้าไปในวังเถิด!”
นางก็จนปัญญากับเขายิ่งนัก รู้ชัดเจนว่าตระกูลอวิ๋นทางนี้มีท่าทีอย่างไรด้วย กลับไม่มาด้วยตนเองและส่งอ๋าวเจียงมาแทน สมองเขาเน่าไปแล้วหรือจงใจผลักลูกชายออกมาสำรวจลู่ทาง?
แต่ไม่ต้องให้นางสั่งสอนเขา เพียงเห็นสีหน้าของตระกูลอวิ๋นก็รู้แล้วว่าเขามาครั้งนี้คงไม่โชคดีไปถึงไหน
พวกเขากลับไปถึงวังหงส์เพลิง อวิ๋นชือฉางที่คืนสติแล้วรีบเชิญลู่ยามู่จิ่วเข้าไปในตำหนักใหญ่ ไม่ต้องพูดถึงอวิ๋นเฉี่ยนอวิ๋นซีที่ไปจัดการชงชาอะไรด้วยตนเอง อวิ๋นฉัวกลับมามีชีวิตครานี้ แม้แต่เดินทุกคนยังมีชีวิตชีวา
อ๋าวเชินแต่เดิมไม่ยอมเข้าไป แต่อ๋าวเจียงกลับต้องการติดตามมู่จิ่ว อ๋าวเชินปล่อยเขาไปไม่ได้ จึงทำได้เพียงฝืนเดินเข้าประตูไป
ลู่ยาดื่มชา ระหว่างคิ้วยังคงไม่คลายออก
เขาส่งสายตาให้มู่จิ่ว มู่จิ่วยังไม่เข้าใจ ริมหูพลันมีเสียงของเขาแว่วมา “หาที่คุยกับอวิ๋นฉัว” นางจึงเข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร จึงทำคอให้โล่งก่อนพูด “ถึงแม้องค์ชายรองฟื้นแล้ว แต่สุดท้ายแล้วรากฐานวิญญาณเสียหาย เกรงว่าไม่อาจทนความตรากตรำนี้ได้ ข้ายังมีเรื่องอยากถามองค์ชายรอง ไม่ทราบว่าที่ไหนเหมาะสม?”
อวิ๋นฉัวพยักหน้า อวิ๋นเฉี่ยนจึงรีบพูด “หลังตำหนักมีห้องเล็กเปิดโล่ง เหมาะสมอยู่เหมือนกัน”
ในคำพูดเต็มไปด้วยความอ่อนน้อมและเคารพ ต่างกับท่าทีที่ปฏิบัติกับมู่จิ่วเมื่อก่อนอย่างมาก
มู่จิ่วกลับไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องนี้ ตัวนางเองก็อยากรู้ว่าหลังจากอวิ๋นฉัวฟื้นมาครั้งนี้ ที่แท้ยังมีโอกาสหวนคืนสู่โลกหรือไม่ ดังนั้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินเข้าไปในประตูทรงกลมเหมือนพระจันทร์ของตำหนักหลัง จึงลุกขึ้นเช่นกัน หลังจากอวิ๋นฉัวลุกขึ้นก็รู้จักวางตัว ค้อมตัวให้ลู่ยาก่อนเชิญเขา ท่านลู่ก็ตรงไปทางตำหนักหลังอย่างสง่าผ่าเผย
ผ่านประตูกลมเหมือนพระจันทร์ เดินไปตามระเบียงทางเดินไปไม่ไกลก็ถึงอาคารเล็กงามละเอียดประณีตในสวน
อาคารเล็กอยู่ใกล้สวนดอกไม้ ด้านหนึ่งเป็นห้องเล็กเปิดโล่ง ตอนนี้ตะวันตกดินส่องลงบนดอกไม้ที่บานอยู่เต็มสวนอย่างอุดมสมบูรณ์ พวกมู่จิ่วไม่รู้สึกอะไร แต่แววตาของคนตระกูลอวิ๋นกลับล้วนเป็นการถอดถอนใจ
ลู่ยานั่งในตำแหน่งประธานพลางพูด “ยื่นมือมา”
อวิ๋นฉัวโน้มตัวพับแขนเสื้อ ก่อนส่งมือให้เขา
ลู่ยาตรวจสอบให้อย่างละเอียด พลันช้อนสายตาขึ้นมาพูด “จิตหงส์ของเจ้าก็ปริแล้วเช่นกัน!”
อวิ๋นฉัวพยักหน้า สีหน้าเศร้าสร้อย ไม่ได้พูดสิ่งใด
ลู่ยาถามทันที “บาดเจ็บได้อย่างไร?”
อวิ๋นฉัวถึงได้ตอบ “นับดูแล้วก็ห้าพันปีกว่า ตั้งแต่ข้าเกิดมาถึงตอนนี้ก็ห้าหมื่นปี แต่เพราะพลังวิญญาณของชาติก่อนใกล้สูญสิ้น เวลาส่วนใหญ่ในชาตินี้จึงใช้เสริมบำรุงวิญญาณ ตอนนั้นข้าพาเด็กไปเก็บสมุนไพร เมื่อกลับมาครึ่งทางกลับหลงทาง ยามเดินไปมาอยู่ในหุบเขาพบคนคนหนึ่งเข้า เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ลงมือกับข้า ข้าใช้พลังบำเพ็ญทั้งหมดก็ไม่สามารถต่อกรกับเขาได้”
……………………………………………