หลังอาบน้ำเสร็จ มู่จิ่วมุ่งตรงไปหน่วยลาดตระเวน
หลิวจวิ้นกำลังอ่านหนังสือราชการ ดูท่าทางแล้วไม่ยุ่งมาก เพราะสีหน้านับว่าผ่อนคลาย
มู่จิ่วเพิ่งโผล่ไปที่ประตูเขาก็เห็นแล้ว เขาเหลือบมองนางก่อนและไม่สนใจ พริบตาเดียวก็เหลือบมองนางอีกครั้ง “เช้าตรู่ทำหน้าตึงขนาดนี้ให้ใครดู?”
มู่จิ่วไม่ได้ตอบ มุ่งตรงไปหน้าโต๊ะเขาก่อนพูด “ใต้เท้า ข้าอยากขอลาหยุดสักหลายวัน”
“ลาหยุด? ไปไหน?” หลิวจวิ้นวางเอกสารคดีลง
มู่จิ่วไม่ส่งเสียง นางไม่ได้ตั้งใจเหลาะแหละ เพียงแต่ในใจเศร้าโศก สภาวะแบบนี้ไหนเลยจะมีใจทำงาน? นางต้องการกลับหงชางไปหาหลิวหยาง หลิงหยางต้องช่วยให้นางเข้าใจชัดว่าเกิดอะไรขึ้นได้แน่
“พูดสิ!” หลิวจวิ้นพูดเร่ง
นางยังคงไม่พูด กลับกันกระบอกตาพลันเจ็บ น้ำตาไหลหยดเปาะแปะ
หลิวจวิ้นลนลาน รีบร้อนลุกขึ้นมา “นี่เจ้าเป็นอะไร? โดนรังแกที่ไหนมา? เมื่อครู่ข้ายังไม่ได้ด่าเจ้าเลย!”
มู่จิ่วก็ไม่ได้อยากร้องไห้ แต่เพียงเห็นเขาก็นึกถึงตอนแรกที่เข้าปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยบัญชาการเพื่อให้รับลู่ยาไว้ได้ ทั้งยังฝืนพูดกับหลิวจวิ้นและจางเหยี่ยนขอทำคดีชิงชิว เรื่องราวทั้งหมดในอดีตตอนนี้ดูไปแล้วล้วนสูญเปล่า จู่ๆ ก็อยากร้องไห้โดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ
หลิวจวิ้นร้อนใจอย่างกับอะไรดี ยื่นมือคิดจะหยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาให้นาง แต่คิดดูแล้วไม่เหมาะสม จะยกแขนเสื้อช่วยนางเช็ดโดยตรง นี่ก็ยิ่งไม่เหมาะ! แม่เด็กน้อยผู้นี้ปกติโดนด่าโดนว่าไม่เห็นตาแดงมาก่อน วันนี้กลับร้องไห้ง่ายๆ!
“เกิดอะไรขึ้น เจ้าพูดสิ! เจ้าร้องไห้กับข้า เดี๋ยวทุกคนจะคิดว่าข้าด่าเจ้าอีกแล้ว!”
มู่จิ่วยิ่งเศร้าเสียใจ พูดสะอึกสะอื้น “ข้า ข้าอยากกลับหมู่บ้านไปกราบไหว้หลุมศพยาย”
ประวัติของนางถูกหลิวหยางแก้ไขไปแล้ว ไม่อาจบอกได้ว่ากลับสำนัก
“เรื่องนี้เอง!” หลิวจวิ้นพูดไม่ออก “เรื่องนี้มีอะไรต้องร้องไห้กัน? เจ้าลานานเท่าไหร่? หนึ่งเดือนพอหรือไม่? หรือสองเดือน? เจ้าหยุดร้อง! สามเดือน ไม่อาจนานกว่านี้แล้ว”
“เช่นนั้นสามเดือนเจ้าค่ะ”
มู่จิ่วหยุดร้องไห้ ก่อนถอนหายใจยาว ตกลงกันได้แล้ว
หลังจากออกมาจึงค่อยไปกลุ่มถิงเว่ยเพื่อแจกแจงงานให้กับรองผู้บัญชาการ จากนั้นอ้อมไปตลาดนอกประตูสวรรค์แดนใต้ ซื้อว่านสิบแสนที่จัดไว้อย่างดีสองกระถาง แล้วจึงรีบกลับบ้านนำไปห่ออย่างดี
ครึ่งชั่วยามต่อมา มู่จิ่วทิ้งจดหมายไว้ให้ซ่างกวนสุ่น จากนั้นพาเสี่ยวซิง รุ่ยเจี๋ย และอาฝูไปหงชาง
………………
ลู่ยาขี่เมฆกลับไปสวรรค์ชั้นสามสิบเก้า เมียงมองอยู่ที่ประตู จากนั้นบินตรงไปยังวังจิตกระจ่างที่อยู่ทางทิศตะวันตก
พลทหารเข้าเวรฝูอิงตรงหน้าประตูวังเห็นเขาก็รีบคุกเข่าลงไปกับขั้นบันไดหยก “คารวะเซิ่งจุน!”
“พี่รองล่ะ?” ลู่ยาถาม
“ตอบเซิ่งจุนที่สี่ เซิ่งจุนของพวกเราไปขุดดินที่สวนผักขอรับ”
ฝูอิงพูดแบบนี้ที่จริงก็รู้สึกไม่ดีอยู่บ้าง เทพชั้นสูงดีๆ ผู้หนึ่งละทิ้งชีวิตสุขสบายไปปลูกผักบนพื้นที่อันศักดิ์สิทธินี้ ช่างชวนให้คิดไม่ตกจริงๆ แต่การกระทำของเซิ่งจุนล้วนมีสาเหตุ โลกของพวกเขาไม่ใช่สิ่งที่ข้ารับใช้อย่างพวกตนจะเข้าใจได้ อยากจะบ่นก็ทำได้เพียงอดกลั้นไว้ในใจ
ลู่ยาฟังจบก็เดินตรงเข้าตำหนัก กอดอกเดินไปบนระเบียงทางเดิน ผ่านศาลา ผ่านสะพานหยก สุดท้ายถึงหน้าอาคารเล็กสองชั้นที่สร้างขึ้นจากหยก ผลักประตูเข้าไปเหมือนกับรู้ทิศทางชัดเจนแล้ว พอเลี้ยวซ้ายก็มาถึงหน้าชั้นวางทางตะวันตก
ในห้องนี้มีชั้นวางของเต็มไปหมด บนชั้นวางแต่ละชั้นล้วนวางของวิเศษเล็กใหญ่ไว้อย่างเป็นระเบียบ
แต่ชั้นวางทางทิศตะวันตกมีเพียงสามชั้น ชั้นต่ำสุดมีบาตรทอง ชั้นกลางมีกระบี่เฉิงอิ่ง ชั้นบนสุดมีกระดิ่งเล็กสูงแค่ครึ่งฉื่อวางอยู่
เขาเพิ่งเข้าไปถึงตรงหน้า กระดิ่งนี้ก็สะดุ้งตกใจอย่างอดไม่ได้!
พลอารักขาในวังก็ไม่กล้าขัดขวาง หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความยุ่งยาก ใครไม่รู้บ้างว่าพวกหุนคุนมองลู่ยาเป็นแก้วตาดวงใจ? เขาต้องการของอะไรหุนคุนมีหรือจะไม่ให้?
ลู่ยาหรี่ตามองกระดิ่ง ยื่นมือไป นิ้วทั้งห้าพลันเปล่งแสงทองห้าสาย แสงทองห้าสายนี้พัวพันกันหลายชั้นเป็นตาข่าย ปกคลุมกระดิ่งทันใด แม้แต่ลมหายใจเล็กน้อยก็ไม่อาจเล็ดรอดออกมาได้!
ลู่ยาถือกระดิ่งออกจากประตูไป มุ่งหน้าไปยังวังชิงเสวียนของเขา
…………….
หงชางที่อยู่ทางทิศตะวันตกเป็นสถานที่มงคล ที่นี่ติดกับผืนป่าอุดมสมบูรณ์ ทั้งปีเขียวชอุ่ม สัตว์ป่ามากมายบนเขากลมกลืนเป็นหนึ่งเดียว เรียกว่าเป็นทิวทัศน์ที่งดงาม
หลิวหยางนั่งสมาธิอยู่ในห้องซงอิ๋น ด้านข้างจุดกำยาน และหลังกำยานคือม่านไม้ไผ่ที่เปิดไว้ครึ่งหนึ่ง
เรือนพักขนาดเล็กที่เขาอยู่อาศัยล้วนสร้างขึ้นจากไม้ไผ่ แต่กลับจงใจตั้งชื่อว่าซงอิ๋น (สนครวญ) ตอนแรกยังเคยโดนมู่จิ่วบ่นมาก่อน บอกว่าอาจารย์ตั้งชื่อไม่เป็น ชื่อหรูหราไม่เข้ากับสภาพ
เขาเหลือบมองนางคราหนึ่งเท่านั้น
ตั้งแต่เล็กจนโตนางทำตัวไม่เรียบร้อย แม้แต่คำบ่นว่าอาจารย์ก็กล้าพูด ปล่อยให้พวกมู่หัวตามใจจนเหลิงแล้ว
ใต้หน้าต่างพลันมีเสียงกระดิ่งดังเข้ามา มันเป็นกระดิ่งรับแขก มีคนมาแล้ว
เขาใจเต้นกระตุก เปิดตาขึ้นมาทันที
มู่หัวรายงานเบาๆ อยู่นอกประตู “อาจารย์ ศิษย์น้องเล็กกลับมาแล้ว”
หลิวหยางชะงักอยู่บนเบาะรองนั่ง ยังไม่ทันเปิดปากก็มีคนเดินเข้าประตูมา สองมือจับสายคาดเอว คางก้มลงถึงอก
“มู่จิ่วคารวะอาจารย์”
หลิวหยางมองศีรษะที่หมอบอยู่บนพรม ใจก็อ่อนยวบ ปากกลับพูดอย่างสบายๆ “ทำหน้าที่อยู่บนสวรรค์ดีๆ ทำไมถึงกลับมาแล้ว?”
มู่จิ่วพูด “ใต้เท้าของพวกเราเมตตา อนุญาตให้ข้าลางานสามเดือนเพื่อกลับมาพบอาจารย์”
หลิวหยางสำรวจนางอยู่ครู่หนึ่ง กำลังจะพูดก็มีคนสองสามคนเบียดเข้ามาจากประตู หลิวหยางเห็นเสี่ยวซิงก็แล้วไป เรื่องที่ปีศาจกระต่ายตัวนี้ไปด้วยเขารู้แล้ว แต่ตอนเห็นรุ่ยเจี๋ยเขาตกใจเล็กน้อย และตอนเห็นอาฝูยิ่งตกใจใหญ่! เขาพูด “พวกเขาคือ…”
มู่จิ่วรีบเอ่ย “ตอบอาจารย์ พวกเขาคือจิ้งจอกเก้าหางตัวหนึ่ง เสือขาวตัวหนึ่ง” ก่อนจะพูดอีก “รุ่ยเจี๋ยกับอาฝู รีบมาพบอาจารย์ข้าเร็ว!”
พูดไร้สาระ! ใครบ้างมองไม่ออกว่าพวกเขาคือจิ้งจอกเก้าหางกับเสือขาว สิ่งที่เขาถามคือพวกเขาตามนางกลับมาได้อย่างไร?
หลิวหยางมองจิ้งจอกเก้าหางที่ทำความเคารพลงบนพื้นกับเสือขาวที่สะบัดหางหมอบอยู่ข้างล่าง จากนั้นมองมู่จิ่ว ก่อนสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วกล่าว “กลับไปพักผ่อนก่อนเถิด”
มู่จิ่วตอบรับ ลุกขึ้นพาเหล่าตัวน้อยทั้งหมดออกไป
หลิวหยางมองแผ่นหลังของนาง หยักนิ้วทำนาย ท่าทางคร่ำเคร่งขึ้น
ไม่ว่าพูดอย่างไร กลับถึงภูเขาก็น่าดีใจอย่างมาก มู่จิ่วพาพวกเสี่ยวซิงกลับถ้ำเมฆาคล้อย ตนเองกลับไปหาพี่ใหญ่พี่รองก่อน กลุ่มศิษย์พี่ล้วนเป็นคนโสด ถามคำถามนางแปดร้อยประการเกี่ยวกับเซียนหญิงในสวรรค์ คึกคักอยู่พักใหญ่ค่อยกลับถ้ำ
ส่วนเสี่ยวซิงได้รับการช่วยเหลือจากพวกชิงจู๋ เก็บกวาดถ้ำจนเรียบร้อย
ถ้ำเมฆาคล้อยค่อนข้างกว้างขวาง บนล่างมีทั้งหมดสองชั้น
แต่ก่อนมีเพียงมู่จิ่วกับเสี่ยวซิงอาศัยอยู่ ในลานถึงแม้มีดอกไม้ใบหญ้าเหล่าปีศาจหนอนนกอยู่บ้าง กลับไม่ได้อยู่ในเรือน ตอนนี้มีอาฝูกับรุ่ยเจี๋ยเพิ่มเข้ามาจึงไม่แย่อะไร สิ่งที่ตอนนั้นนางฝากฝังไว้ พวกชิงจู๋ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ไม่เพียงห้องสะอาด แม้แต่ดอกไม้ใบหญ้ายังเติบโตอย่างดี ต้นโบตั๋นสองต้นนอกระเบียงเปิดโล่งเห็นมู่จิ่วก็ยื่นหน้าอยู่บนรั้ว ดีใจเสียจนเต้นระบำอยู่ในสายลม
พวกอาฝูไม่มีอะไรไม่สบาย
หลังอาหารค่ำ มู่จิ่วกอดว่านสิบแสนสองกระถาง ไปที่นอกห้องซงอิ๋นอีกครั้ง
………………………………………