หลังกินข้าวเสร็จก็ขี่เมฆเดินทางไปคุนหลุนตะวันออก
จากอมรโคยานทวีป[1]ถึงคุนหลุนตะวันออกห่างกันหลายหมื่นลี้ จากคำบอกกล่าวระยะทางไม่ใกล้ แต่ไม่รู้เพราะในหลายพันปีนี้คุ้นเคยกับหลิวหยางนานแล้วหรือเพราะอย่างอื่น การเดินทางครั้งนี้มู่จิ่วกลับไม่รู้สึกว่าออกแรงมากมายเท่าไหร่ นางยืนบนเมฆ เห็นทิวเขาคุนหลุนตะวันออกที่ยิ่งใหญ่ยาวต่อเนื่องกันไป
เมื่อมาแล้วหนึ่งครั้ง เป็นธรรมดาที่ต้องคุ้นเคยเส้นทาง
มาถึงยอดเขาที่ลู่ยาหยุดในวันนั้น มู่จิ่วชี้พื้นด้านล่างที่มองไม่เห็นก้นก่อนพูด “วันนั้นพวกเราลงไปจากที่นี่ ระหว่างทางข้าก็รู้สึกไม่ค่อยสบาย ยิ่งเข้าไปในหุบเขาก็ยิ่งอาการหนักขึ้น ข้าคิดว่าถึงแม้พลังวิญญาณในป่านี้ไม่ใช่เหตุผลหลักที่ทำให้ข้าผิดปกติ แต่ก็ต้องเป็นเหตุกระตุ้นอย่างแน่นอน”
หลิวหยางมองเมฆหมอกด้านล่าง เรียกเมฆมาเหยียบขึ้นไป จากนั้นใช้มือจับชีพจรนาง เคลื่อนตัวลงไปอย่างช้าๆ
ทิวทัศน์รอบด้านคุ้นเคยจนเหมือนเพิ่งออกไปแล้วกลับเข้ามาใหม่
ตอนแรกมู่จิ่วยังอาการดีอยู่ แต่เมื่อมาได้ครึ่งทาง ความรู้สึกเลือดลมสั่นไหวก็เกิดขึ้นมาอีกรางๆ
หลิวหยางรู้สึกได้แล้ว จึงหยุดเมฆก่อนเอ่ย “คิดดูให้ดี เลือดลมที่เคลื่อนไหวนี้เริ่มมาจากไหน?”
มู่จิ่วรีบรวบรวมสมาธิ ก่อนตอบทันที “จากตันเถียน”
หลิวหยางจับข้อมือนางแน่น “ค่อยๆ เคลื่อนพลังไปยังชีพจรที่แขนขาทั้งสี่ ไม่ต้องเร็วไป สำรวจดูว่ามันมีปฏิกิริยาตอบกลับอย่างไร”
มู่จิ่วพยักหน้า เคลื่อนพลังเงียบๆ ตามคำบอก
ไม่นานนักก็ถึงหุบเขาลึก มู่จิ่วจำไม่ค่อยได้ว่าเดินทางไปบ่อน้ำสามพฤกษาได้อย่างไร? จำได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น หลิวหยางกลับยังสงบนิ่ง ลากนางเดินเลี้ยวอ้อมไปหลายลี้ เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นต้นไม้ใหญ่สามต้นนั้นอยู่สุดสายตา และบึงน้ำสีดำก็ยังคงสงบเงียบเหมือนกระจก
ในวันนั้นตอนพลังฤทธิ์ของนางระเบิดออกมากลับไม่ได้กระทบถึงที่แห่งนี้!
“ตอนนี้เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง?” หลิวหยางดึงนางมายืนนิ่งข้างบึงน้ำดำ
มู่จิ่วครุ่นคิดก่อนตอบ “ทำตามที่อาจารย์บอก ตอนนี้รู้สึกไม่ปั่นป่วนรุนแรงขนาดนั้นแล้ว แต่ยังมีความรู้สึกอยู่ เลือดลมล้วนพุ่งขึ้นมาจากตันเถียนของข้า กระจายไปทั่วทั้งร่างกาย”
หลิวหยางปล่อยมือ ชี้ไปที่บึงน้ำสีดำ “ตอนนี้เจ้าฟาดฝ่ามือไปในบึง ไม่ต้องเก็บพลังลมปราณ”
มู่จิ่วยังหวาดกลัวอยู่บ้าง ครั้งก่อนตอนลู่ยาโจมตีบึงน้ำ ภาพที่น่าตื่นตะลึงนั้นยังปรากฏอยู่ในสายตา แต่หลังจากทำอารมณ์ให้นิ่งแล้วนางยังคงทำตาม นำพลังมาไว้ที่ฝ่ามือ ก่อนซัดไปที่บึงน้ำ
กลางบึงมีน้ำกระเซ็นขึ้น ไม่สามารถเปรียบเทียบได้กับคลื่นอันน่าตกใจที่วันนั้นลู่ยาซัดออกมาได้เลย
นางวางใจเล็กน้อย แต่จากนั้น ยังไม่ทันให้นางได้วางใจอย่างหมดจด บึงน้ำนั้นกลับค่อยๆ กระเพื่อมขึ้นมา คลื่นแล้วคลื่นเล่า คลื่นยักษ์ที่เหมือนลมพายุคลั่งกระทบเข้ากับขอบบึง! ผิวน้ำของทั้งบึงส่องแสงสว่างออกมาน้อยๆ แสงสว่างสาดส่องออกมาเป็นกำแพงแสงทีละนิด ส่องขึ้นไปบนอากาศในป่า กลายเป็นไอมงคลบางๆ!
มู่จิ่วตกตะลึง!
นางกลับมีความสามารถเช่นนี้ด้วย?
แต่ทำไมนางถึงไม่มีไอสังหารอะไรออกมาเลย?!
หลิวหยางพูด “พลังวิญญาณของบึงน้ำบริสุทธิ์ เข้ากันได้อย่างมากกับพลังของเจ้า ทั้งสองผสมผสานเข้าด้วยกัน ดังนั้นจึงเกิดไอมงคงลขึ้นมา”
มู่จิ่วไม่เข้าใจ “แต่วันนั้นตอนลู่ยากระตุ้นบึงน้ำ พลังวิญญาณในบึงดุร้ายอย่างมาก หรือว่าพลังฤทธิ์ของเขายังไม่สามารถกำราบบึงนี้ได้?”
หลิวหยางไพล่มือพูด “พลังวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่ บริสุทธิ์เท่าไหร่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพลังบำเพ็ญ สิ่งนี้ถือกำเนิดโดยธรรมชาติ ยังอาศัยโอกาสและวาสนามาเสริม เช่นบึงน้ำดำนี้ มันอาศัยวันคืนดูดพลังจากอาทิตย์และจันทร์จึงกลายเป็นแบบนี้”
“เช่นนั้นตัวข้าล่ะเจ้าคะ?” มู่จิ่วอดไม่ได้ถาม
“แน่นอนว่าเจ้ามีมาแต่กำเนิด” หลิวหยางไพล่มือไว้ข้างหลังพลางมองนาง ก่อนมองไปที่ไกลๆ “ตอนนี้แน่ใจได้ว่าในร่างเจ้าแท้จริงมีพลังฤทธิ์ที่ร้ายกาจอย่างมาก แต่หากไม่เจอพลังภายนอกกระตุ้น มันจะแสดงออกมาไม่ได้ เช่นตอนนี้ ข้ายังคงสัมผัสถึงอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงใช้วิธีนี้วิเคราะห์”
“แบบนั้นพลังของข้ามีมาได้อย่างไร?” มู่จิ่วยิ่งสงสัย
หลิวหยางเดินไปข้างหน้าสองก้าวก่อนพูด “มีความเป็นไปได้สองทาง หนึ่ง พลังถูกผนึกไว้ มีเพียงพบเจอพลังภายนอกกระตุ้นหรืออารมณ์ความรู้สึกหวั่นไหวถึงสามารถปลดปล่อยออกมาได้ สอง เจ้ามีพรสวรรค์พิเศษ เพียงข้ารู้สึกว่าข้อที่สองความเป็นไปได้น้อยนัก หากเป็นพรสวรรค์พิเศษคงไม่จำเป็นต้องอาศัยพลังภายนอกมากระตุ้น”
มู่จิ่วตกตะลึง ในร่างนางมีพลังที่ถูกผนึก? ชาติก่อนนางเป็นเพียงคนทำงานธรรมดาเท่านั้น…
“ตอนนี้ข้าควรทำอย่างไร?” นางถาม
หลิวหยางก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า “รอข้ากลับไปตรวจสอบชาติก่อนๆ ของเจ้าก็รู้แล้ว”
มู่จิ่วรีบเดินตามไป “ข้าจะหลีกเลี่ยงพลังฤทธิ์นี้อย่างไร?”
“ตอนนี้สามารถวางใจได้ พลังนี้ซ่อนอยู่ในร่างกายเจ้าลึกมาก ในเมื่อถูกผนึกไว้ จึงไม่สามารถเคลื่อนไหวส่งเดชเองได้ รอเจ้าคิดตกเรื่องความรัก ภายหลังความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นอีกก็น้อยอย่างมาก”
มู่จิ่วพลันหยุดเท้า คิดตกเรื่องความรัก? ความหมายของเขาคือตอนนั้นนางคลั่งได้ ก็เพราะถูกความยึดมั่นถือมั่นของลู่ยากระตุ้นมัน?
“อาจารย์ รอข้าด้วยเจ้าค่ะ!”
นางได้สติก็รีบตามไป
จากนั้นจึงเดินไปตามทางในวันนั้นอีกครั้ง ไม่เจออะไรผิดปกติ แม้แต่กับดักที่วันนั้นนางเจอก็ไม่ปรากฏ เห็นเพียงทางน้ำที่นางกับลู่ยาแยกกัน ใจนางก็พลันรู้สึกแปลกพิกล แต่หลิวหยางกลับค้นพบถ้ำที่ถูกทำลายไปครึ่งหนึ่ง โต๊ะหินตัวหนึ่ง นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรอีกแล้ว
ตอนตะวันตกดินพวกเขากลับถึงหงชาง หลิวหยางกลับไปห้องซงอิ๋น มู่จิ่วก็ไปถ้ำเมฆาคล้อยโดยไม่ได้พูดสิ่งใด
ผ่านไปไม่กี่วัน หลิวหยางลงจากเขา มู่จิ่วรู้ว่าเขาไปตรวจสอบดูชาติก่อนๆ ของนาง ถึงแม้นางสงสัยเล็กน้อยเช่นกันว่าเขาไปตรวจสอบที่ไหน แต่นางที่ไม่มีงาน เวลาผ่อนคลายจึงยิ่งมีมาก คนที่มาฆ่าเวลากับนางก็ยิ่งมากด้วย ความสงสัยเล็กๆ นี้จึงไม่รบกวนใจอะไรนัก
แต่ไหนแต่ไรนางไม่จำเป็นต้องออกไปแต่อย่างไร ปกติอยู่ที่ถ้ำเมฆาคล้อย ไปคลุกคลีอยู่ที่ถ้ำของเหล่าศิษย์พี่ หรือพาอาฝูขึ้นเขาไปเดินเล่น นางอารมณ์ดีขึ้นมาก รุ่ยเจี๋ยกลายเป็นพวกเดียวกับชิงจู๋ไปแล้ว ในใจเหล่าเด็กน้อยไม่มีการแบ่งชนชั้น รุ่ยเจี๋ยองค์ชายสี่แห่งชิงชิวที่มีชื่อเสียง ในสายตาพวกเขาไม่ได้ต่างอะไรกับศิษย์น้องคนใหม่
ตามที่หลิวหยางบอก พลังในร่างตอนนี้ไม่เป็นอุปสรรค และเป็นไปได้อย่างมากว่าจะเกิดขึ้นจากการถือมั่นของนาง ความคิดของนางมักจะกระหวัดไปถึงลู่ยา แต่ก่อนตอนอยู่สวรรค์แยกห่างกันน้อยมาก นางไม่รู้สึกว่าแปลกประหลาดอะไร ตอนนี้ว่างขนาดนี้ จึงเริ่มรู้สึกว่าเงาร่างของเขาอยู่ทุกแห่งหนในป่าเขา
เสี่ยวซิงอาศัยตอนนางอาบแดดเดือดร้อนแทนนาง “ลู่ยาไม่มีเหตุผล เขาโทษที่เจ้าถอดกำไลออกไป ทำไมถึงไม่โทษตัวเขาเองว่าตอนนั้นทิ้งเจ้าไม่พาเจ้าไปด้วยล่ะ? หากเขาอยู่ข้างกายเจ้าไม่ห่างสักก้าว เรื่องราวต่อจากนั้นก็คงไม่เกิดขึ้น”
มู่จิ่วไม่อยากคิดแบบนี้ ที่จริงลู่ยาก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในภายหลัง
ถึงแม้เขาโทษนาง นางก็ไม่ยินยอมทำร้ายกันเองแบบนี้ เรื่องที่นางคิดซับซ้อนพอแล้ว หากยังคิดโทษฝ่ายตรงข้ามอีก แบบนั้นเรื่องมิยิ่งแย่กว่าเดิมหรือ
………………………………………………