“บังเอิญถึงเพียงนี้” หลิวหยางพูดราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
มู่จิ่วอดไม่ได้ เดินไปคุกเข่านั่งอยู่ข้างโต๊ะเขา “อาจารย์หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ?”
หลิวหยางถาม “คดีคราวก่อนเรื่องหลีหังกับเฟยอีและชิงผิงของเจ้า ก็มิใช่เกิดขึ้นเมื่อห้าพันปีก่อนหรือ?”
มู่จิ่วตกตะลึง เป็นจริงดั่งที่เขาว่า…
ห้าพันปีก่อนชิงผิงซิงจวินกลับไปเกิดเป็นกษัตริย์ เริ่มพัวพันกันอีกครั้ง และเฟยอีก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยในตอนนั้น…ประเด็นคือหากบอกว่าเรื่องนี้เพียงแค่เรื่องบังเอิญ คดีนี้ก็ไม่มีข้อสงสัย เช่นนั้นของวิเศษเต็มถ้ำที่หายไปจากยอดเขาเมฆาเพลิงล่ะ?
ของวิเศษกลุ่มนั้นจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีเบาะแส
มู่จิ่วใช้สมองครุ่นคิด แล้วจึงตกตะลึง
หลิวหยางพูดอีก “ไม่แน่ว่าต้องเกี่ยวข้องกันจริงๆ ข้าเพียงเชื่อมโยงได้พอดี และเตือนเจ้าเท่านั้น หากสองเรื่องนี้เกี่ยวข้องกันจริง แบบนั้นฐานะของคนผู้นี้ก็น่าสงสัยอย่างมาก ภายหลังเจ้ากระทำเรื่องใดให้ระมัดระวังตนเองก็พอแล้ว สามารถสืบสวนได้ก็สืบ สืบไม่ได้ก็ไม่มีผลกระทบอะไรกับเจ้า”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” มู่จิ่วลุกขึ้นมา
หลายวันที่ผ่านไปของมู่จิ่ว สำหรับลู่ยาแล้วกลับเป็นเพียงชั่วเวลาพริบตาเดียว
เขานั่งเอนกายอยู่บนตั่งหยกในวัง มือหนึ่งวางบนหมอนผ้าไหมทอดิ้น อีกมือเท้าขมับไว้ มองอ๋าวเชินที่คุกเข่าอยู่บนพื้นนานแล้ว
เขาไม่ได้พูดสักประโยค และไม่ได้ขยับตัวแม้แต่น้อย มองไปแล้วเหมือนกับรูปปั้นหิน
บนหน้าผากอ๋าวเชินมีเหงื่อซึมออกมา เรื่องสมควรตายที่เขาก่อไว้ตอนนั้นได้สะท้อนกลับมาหาเขาแล้วหรือ?
ครั้งนี้เขาไม่ได้อยากมาเลย แต่ก็ไม่อาจไม่มาได้ คำสั่งของลู่ยา ถึงแม้ให้เขาไปกระโดดแท่นประหารเซียนตอนนี้ เขาก็ไม่กล้าไม่กระโดด
แต่ลู่ยาไม่พูดไม่จาแล้วเอาแต่มองเขาแบบนี้ มันเกิดอะไรขึ้น?
เขาไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย
อ๋าวเชินก้มหน้าลงไป หลบสายตาลู่ยา วินาทีถัดมาเห็นแขนเสื้อจึงพลันนึกขึ้นมาได้ เขายื่นมือเข้าไปในแขนเสื้อ หยิบผ้าเช็ดหน้าที่ห่อสิ่งของออกมา “รายงานเซิ่งจุน นี่คือกำไลม่วงทองที่ตอนแรกใต้เท้ากัวให้ลูกชายข้ายืม ตอนนี้ข้าน้อยตั้งใจนำกลับมาคืน ลูกชายข้าไม่รู้ความ ขอเซิ่งจุนโปรดอย่าถือสา”
เขาเปิดผ้าเช็ดหน้าออก เผยให้เห็นกำไลวงหนึ่ง
วันนั้นหลังจากพวกเขาแยกย้ายกันไป เขารีบเดินกลับไปทางเดิมเพื่อหาอ๋าวเจียง หลังจากกลับมาถึงทะเลสาบน้ำแข็ง อ๋าวเจียงก็สลบอยู่หลายวัน ร้องพึมพำชื่อของมู่จิ่วตลอดเวลา นี่ช่างหนักหนานัก? จึงปลุกเขาขึ้นทันที
สายตาลู่ยาสั่นไหวเล็กน้อย มองไปยังกำไลวงนั้น
สักครู่หนึ่งเขายกชาด้านข้างขึ้นมา ก่อนพูด “ของที่ข้าให้ไป แต่ไหนแต่ไรไม่เคยเอาคืน”
อ๋าวเชินนิ่งตะลึง
ป๋ายเจ๋อเดินเข้ามาจากนอกประตู “รายงานเซิ่งจุน เซิ่งจุนรองกับเซิ่งจุนที่สามเชิญท่านไปทานอาหารที่วังจิตกระจ่าง”
ลู่ยาวางถ้วยชากลับลงไปบนโต๊ะ โยนขวดกระเบื้องใบหนึ่งให้อ๋าวเชิน ก่อนลุกขึ้นเดินออกจากประตูไป
ในวังจิตกระจ่างจัดวางกับแกล้มไว้เต็มโต๊ะแล้ว หุนคุนกับหนี่ว์วากำลังพูดอะไรกันอยู่ เมื่อพวกเขาเห็นลู่ยาเดินเข้ามา ก็มีคนเข้ามารับทันที
“น้องสี่ ทำไมถึงได้หน้านิ่วขมวดคิ้ว?”
หนี่ว์วารอเขานั่งลงก่อนถาม
ลู่ยาไม่ตอบ ดื่มเหล้าตรงหน้าก่อน กินอาหารไปสองคำจึงค่อยหยุดมือ แล้วเคี้ยวอย่างช้าๆ
หนี่ว์วาเห็นท่าทางแบบนี้ก็ร้อนใจ “เจ้าถูกตาต้องใจของวิเศษบ้านไหน?” ในความทรงจำของนาง ศิษย์น้องคนนี้มีเพียงตอนไม่ได้ของวิเศษที่หมายตาไว้ถึงจะไม่มีความสุข ปีนั้นมีอาจารย์ปลอบเขาโอ๋เขา ปกติเขาอยากได้อะไร ก็จะคิดวิธีวางแผนให้ได้มา ตอนนี้อาจารย์ไม่อยู่แล้ว พวกเขาก็ไม่เคยปล่อยให้เขาลำบากใจมาก่อน
ลู่ยากลืนอาหารในปากลงไป รินเหล้าเงียบๆ ไม่ตอบคำ
“เลิกดื่มได้แล้ว!” หุนคุนทนดูต่อไปไม่ไหว “เหล้าย้อมใจทำร้ายร่างกาย ไม่คิดแต่งภรรยาแล้วหรือ?”
“ไม่แต่งแล้ว” เขาพูดเสียงเบา ดื่มเหล้าลงไป
หุนคุนสูดลมหายใจเย็นๆ เข้าไป แต่เดิมแค่เอ่ยปากถามไปเท่านั้น ไหนเลยจะคิดว่าเขากลับตอบรับคำพูดนี้!
คราวนี้คนทั้งสองยิ่งตึงเครียดขึ้น “พูดแบบนี้แสดงว่าเจ้าคิดมาก่อน?” นี่ช่างแปลกใหม่นัก ศิษย์พี่อย่างเขาคนนี้ถึงแม้เป็นโสดเหมือนกัน แต่ในแสนกว่าปีนี้ก็คบหากับเซียนหญิงมาไม่น้อย แต่ลู่ยากลับไม่เคยมีมาก่อนโดยแท้จริง อีกทั้งเขายังถูกเอาอกเอาใจจนเกินปกติ ไหนเลยจะยังชอบพอผู้อื่นได้?
แต่เขากลับมีความคิดจะแต่งภรรยามาก่อน?!
และยังอารมณ์ไม่ดีดื่มเหล้าย้อมใจ?!
ลู่ยามองเขาคราหนึ่ง ไปหยิบกาเหล้ามาอีก
หุนคุนใช้มือข้างหนึ่งกดมือเขาลงไป “พูดมาให้ชัดเจนก่อนค่อยดื่ม!”
ลู่ยาดึงมือกลับมา เงียบอยู่นาน ก่อนยื่นมือแสดงภาพผืนป่าขึ้นบนโต๊ะ “พวกท่านรู้หรือไม่ว่าที่คุนหลุนตะวันออกมีบึงน้ำดำอยู่?”
“คุนหลุนตะวันออก?” พูดถึงเรื่องเป็นทางการ หุนคุนก็จริงจังขึ้นมา เขามองภาพป่าที่ปรากฏบนโต๊ะอยู่นาน ก่อนพูด “ปีนั้นชือโหยวกับเหยียนหวงทำสงครามกัน ระหว่างทางเคยหนีไปซ่อนที่คุนหลุนตะวันออกสามปี หลังจากออกมาก็ได้กระบี่ไร้เทียมทานมาเล่มหนึ่ง บึงน้ำดำที่เจ้าว่า หรือจะเป็นบึงน้ำที่เขาใช้ชำระกระบี่?”
“ไม่รู้ ขอบบึงไม่มีสัญลักษณ์อะไร” ลู่ยาขมวดคิ้วพูด “พลังวิญญาณของบึงนั้นแข็งแกร่งมาก แต่นี่ยังไม่แปลกเท่าใดนัก สิ่งที่ประหลาดที่สุดคือ พลังที่ถูกผนึกในร่างนางกับพลังวิญญาณของบึงน้ำดำนี้เข้ากันได้อย่างมาก แต่ชัดเจนว่านางไม่มีเบื้องหลังที่ซับซ้อนอะไร” พูดถึงตรงนี้เขาจึงเม้มริมฝีปากทั้งสอง ในดวงตามีความสลดอยู่บ้าง
หุนคุนเลิกคิ้วขึ้น หมุนถ้วยชาไม่เอ่ยคำ
หนี่ว์วากล่าว “มีพลังผนึกอยู่ในร่างไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร ในใต้หล้านี้คนที่มีพลังฤทธิ์สูงมีมากมาย” พวกเขาอยู่มานานขนาดนี้ เรื่องประหลาดอะไรบ้างที่ไม่เคยเห็น? แต่ชัดเจนว่าประเด็นของนางไม่ใช่เรื่องนี้ “นางผู้นี้ที่เจ้าเอ่ยถึงหมายถึงใคร?”
ลู่ยาไม่ตอบนาง เพียงมองภาพสะท้อนบนเหล้าที่เหลือในถ้วยก่อนเอ่ย “แต่นางไม่มีความสามารถในการควบคุมพลังนี้ ข้ากลัวว่ามันจะย้อนทำร้ายตัวนางเอง”
หนี่ว์วาเงียบลง
“เช่นนั้นเจ้าคิดจะทำเช่นไร?” นางถาม
ลู่ยานิ่งไปสักครู่ พลันวางถ้วยลง ก่อนยืนขึ้นเดินออกจากประตูไป
คิดจะทำเช่นไร? เขาก็ไม่รู้ว่าตนสามารถทำอย่างไรได้
เขาอยู่ที่วังชิงเสวียนมาวันกว่าแล้ว ในโลกเซียนน่าจะเป็นเดือนกว่า
หนึ่งเดือนกว่าแล้วนางก็ยังไม่มาหาเขา เกรงว่านางคงไม่มาแล้ว นางบอกว่าพวกเขาไม่เหมาะที่จะอยู่ด้วยกัน บอกว่าพวกเขาไม่ยอมถอยให้กัน บอกว่าเขาไม่เข้าใจสถานการณ์ของนาง แต่ฟ้ารู้ ไม่มีอะไรที่เขาไม่อาจยอมได้ ถึงแม้ตอนนั้นยอมให้ไม่ได้ ตอนนี้ก็ยอมได้แล้ว ขอเพียงนางกลับมา เขายิมยอมกลายเป็นคนไม่มีหลักการ
ขอเพียงนางมา
แน่นอน…เขาก็สามารถไปหานางได้เช่นกัน
เขายืนอยู่บนยอดเขา ร่างกายพลันบิดหมุน พริบตาเดียวก็ไม่เห็นเงาแล้ว
มู่จิ่วยังไม่กำหนดเวลากลับสวรรค์ ในเมื่อซ่างกวนสุ่นพูดเรื่องอ๋าวอวิ๋นสองตระกูลนี้ชัดเจนแล้ว นางก็ปล่อยผ่านไป พอดีกับว่าทำงานมาปีกว่านี้ไม่มีเวลาฝึกฝนมากนัก อาศัยช่วงเวลานี้ก็สามารถเรียนการเขียนยันต์ดูผังดวงชะตาอะไรก็ตามกับหลิวหยางได้ แต่เดิมมู่จิ่วไม่ตั้งใจเพราะนางไม่สนใจ ตอนนี้กลับพบว่าระหว่างทำคดี บางครั้งสิ่งเหล่านี้มีประโยชน์อย่างมาก
ตอนนางไปห้องซงอิ๋นก็พาอาฝูกับรุ่ยเจี๋ยไปด้วย
ถึงลู่ยาไปแล้ว นางก็ไม่อาจให้พวกเขาปล่อยวิชาสูญเปล่า
หลิวหยางไม่ได้เป็นพวกหัวโบราณ รุ่ยเจี๋ยกราบอาจารย์อย่างเป็นทางการแล้ว ถึงแม้ไม่ได้พูดว่าชี้แนะพวกเขา แต่กลับไม่รังเกียจที่พวกเขามาคลุกคลีในสำนัก
…………………………………