ตอนเช้าอากาศดีมาก นางวางโต๊ะเตี้ยที่ระเบียงเปิดโล่ง สามคนนั่งลอกยันต์ตามแบบกันคนละมุม
อาฝูจับพู่กันไม่ได้ แต่ก็อยู่เป็นเพื่อนด้วย ก้มหัวลงมามองพวกเขาวาดภาพ บางครั้งเหมือนกระดูกซี่โครง บางครั้งเหมือนขาแพะ น้ำลายไหลลงมาไม่หยุดเหมือนเส้นตรง ตอนหลิวหยางผ่านมาเห็นเข้าจึงเรียกอาฝูมา พินิจพิเคราะห์ดวงตาเขาอยู่สักพักก่อนพูด “ใกล้ผ่านด่านเคราะห์แล้ว ช่วงนี้อย่าเดินว่อนไปทั่ว”
ปกติเมื่ออาฝูอยู่ต่อหน้าคนแปลกหน้ามักจะอ้าฟันง้างกรงเล็บ แต่อยู่ต่อหน้าเขากลับสงบเสงี่ยม
หลิวหยางป้อนเม็ดยาให้ เขาก็เคี้ยวเหมือนกินถั่วเหลือง
ลู่ยามาถึงหงชางแล้ว ประตูสำนักมีเขตพลังแห่งหนึ่งสร้างไว้อย่างแน่นหนา แต่เมื่อเทียบกับสำนักทั่วไปแล้วเข้มงวดกว่าเล็กน้อย เขาทำลายเขตพลังเข้าไปข้างในอย่างสบายๆ
ในอกมีผ้าเช็ดหน้าที่พิมพ์ภาพดอกไม้บนหน้าผากนางอยู่ จึงหานางได้ง่ายมาก เขานั่งอยู่บนเมฆ อำพรางกายในส่วนลึกของป่าไผ่หน้าลานแห่งหนึ่ง
นางยกพู่กันวาดยันต์บนระเบียงเปิดโล่งขณะแสงอาทิตย์พาดผ่านร่าง ไม่รู้คิดบ้างหรือไม่ว่าเขาใช้ชีวิตอย่างไร้รสชาติอยู่บนสวรรค์อันสูงส่ง
แต่นางไม่มาหาเขา กลับไม่มีใครบอกว่าเขามาหานางไม่ได้
ใช่แล้ว เขาเป็นคนไม่มีหลักการคนนั้น ในเมื่อนางไม่ไปหาเขา แบบนั้นเขามาหานางก็ได้
เขาลงจากเมฆมายืนอยู่หลังนาง ห่างกันแค่นิดเดียว เพียงยื่นมือก็สามารถสัมผัสปอยผมของนางได้ แต่กลับไม่กล้ายื่นมือออกไป ถึงแม้เขาอำพรางกาย แต่ตอนสัมผัสนางความรู้สึกก็ยังคงอยู่ หากโดนตัวกันจะแก้ตัวอย่างไร
หลิวหยางมองผู้ลุ่มหลงที่อยู่ไม่ไกลคนนั้น มือข้างหนึ่งที่แต่เดิมลูบหัวอาฝูอยู่ชะงักไปกลางอากาศ
ลู่ยากลับไม่ได้ระวังเขามากนัก
“อาจารย์ คาถาจับมารบนยันต์นี้ร่ายอย่างไร?”
ขณะที่แต่ละคนกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เสียงของมู่จิ่วก็ทำให้ทั้งสองคนตกใจ
หลิวหยางละสายตากลับมา หลุบสายตาเงียบไปนานจึงค่อยลุกขึ้น เดินช้าๆ ไปข้างนางประหนึ่งเท้าถ่วงด้วยน้ำหนักพันจิน เขาไม่ได้ใส่ใจความขัดแย้งของมู่จิ่วกับลู่ยา เพราะคิดไม่ถึงว่าเขาจะมาหานาง และยังอำพรางกายอีก…ลู่ยาระมัดระวังขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?
เขาชี้บนยันต์หลายจุดก่อนพูด “ชงชามากาหนึ่ง ข้าจะดื่ม”
“เจ้าค่ะ!” มู่จิ่วไม่พูดพร่ำทำเพลงยืนขึ้นมา จากนั้นเดินเข้าไปในเรือนอย่างรวดเร็ว
หลิวหยางมองคนผู้นั้นที่เดินตามเข้าไป คิ้วก็ขมวดโดยไม่รู้ตัว
ชงชาต้องล้างกาน้ำชา ทั้งยังต้องต้มน้ำค้างหวาน มู่จิ่วจัดการทั้งหมดอย่างยุ่งวุ่นวาย ลู่ยาเพียงยืนเอามือไพล่หลังมองนางทำทุกอย่าง เขาพบว่าเทียบกับการดื่มเหล้าย้อมใจอยู่บนสวรรค์แล้ว ยังมิสู้แค่มองนางเดินไปเดินมา เขาไม่ได้ใจร้ายแบบนาง บอกไม่เจอก็ไม่เจอกันเลยเดือนกว่า
หลังชงชาเสร็จแล้ว มู่จิ่วยกกลับมาที่ระเบียงเปิดโล่ง
หลิวหยางรับชามา เหลือบมองคนนั้นที่เดินตามนางมาด้านหลัง ไม่รู้ควรพูดอะไรดี รอจนชาเย็นแล้ว เขาจิบลงไปช้าๆ จึงค่อยสั่ง “กลางวันข้าอยากกินแกงเห็ดป่า เจ้าไปเก็บบนเขามาสักหน่อย”
“เจ้าค่ะ!”
ถึงแม้มู่จิ่วรู้สึกว่าวันนี้อาจารย์อารมณ์แปรปรวนมากไปหน่อย แต่ก็รีบหยิบตะกร้า พาอาฝูไปบนเขา ปกติเขาเลือกมาก ปรนนิบัติรับใช้ยากยิ่งนัก ยากจนวันนี้เขาเอ่ยปากอยากกินเห็ดป่าก่อน ด้วยความเป็นศิษย์แล้ว แน่นอนว่าต้องเชื่อฟังอย่างดี
ลู่ยาก็รู้สึกว่าหลิวหยางปัญหาเยอะ ดูไม่ออกเลยว่าอาจารย์ของนางผู้นี้ท่าทางสง่างาม แต่กลับเต็มไปด้วยปัญหา จะอยู่ในสำนักของอาจารย์แบบนี้ต่อไปได้อย่างไร? เขาไม่อาจทำใจเห็นนางถูกใช้ทำนู่นทำนี่ ยิ่งคิดถึงภายหลัง หากเขาต้องการพูดเรื่องแต่งงาน ด้วยนิสัยแบบนี้ของอาจารย์เกรงว่าจะพูดยากแน่นอน
อา เขาคิดมากไปแล้ว
นางแยกทางเดินกับเขามาเดือนกว่าแล้ว
ภูเขาด้านหลังของสำนักหงชางมีพุ่มไม้เยอะมาก เพราะอยู่ในโลกเซียน ฝนตกตามฤดูกาลตลอดปี ดังนั้นพืชป่าแต่ละชนิดจึงมีมากนัก
มู่จิ่วเก็บเห็ดป่ามาครึ่งตะกร้า กอดอาฝูนั่งลงบนเนินเขา
เนินดินฝั่งตรงข้ามคือสำนักตะวันอำพราง ยอดเขาตอนนั้นถูกลู่ยาทำลายไป ตอนนี้พวกสำนักตะวันอำพรางหาที่อยู่ใหม่ได้แล้ว
นางพบกับลู่ยาครั้งแรกที่นี่ พริบตาเดียวก็ผ่านไปปีกว่าแล้ว ตอนนั้นนางไม่ได้คิดแม้แต่นิดว่าคนที่ช่วยนางคือมหาเซียนผู้ยิ่งใหญ่ ยังเข้าใจว่าเป็นเซียนน้อยที่ออกมาลาดตระเวนจากสำนักไหน เพราะฝ่ามือเดียวโค่นภูเขานั้นล้ม นางถึงต้องไปสวรรค์ คิดแบบนี้แล้วชีวิตคนเราช่างเต็มไปด้วยความบังเอิญจริงๆ
นางกอดเข่า มองยอดเขาที่โล่งเตียน มุมปากยกขึ้นมา
ตอนนี้เอง นางกลับคิดถึงวันคืนในลานบ้านเล็กๆ ที่คึกคักบนสวรรค์ ควันในครัวของเสี่ยวซิง การพูดโอ้อวดของซ่างกวนสุ่น ความซุกซนของอาฝู ความน่ารักฉลาดเฉลียวของรุ่ยเจี๋ย ยังมีลู่ยาที่เป็นเสาหลักของบ้าน ไม่ผิด เขาเป็นเสาหลักของบ้าน ลานบ้านนั้นไม่มีเขาก็เหมือนไม่มีวิญญาณ
นางคิดถึงเขาแล้ว
มู่จิ่วกอดเข่า ซุกหน้าลงไป
ลู่ยายืนอยู่ตรงข้ามนาง มองนางที่เดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวกังวล ไม่รู้เลยว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
ท่าทางนางแบบนี้เหมือนเด็กสาวที่เพิ่งมีความรักยิ่งนัก
แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยเห็นนางเป็นแบบนี้ บางทีความรู้สึกของนางอาจไม่ได้ผลิบานเพราะเขาจริงๆ
เขามองนางอย่างล้ำลึกคราหนึ่ง ก่อนหมุนเมฆออกจากหงชางไป
ครั้นกลับมาถึงห้องซงอิ๋น หลิวหยางเข้าห้องไปแล้ว เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรองนั่ง ท่าทางสง่างามอย่างมาก มู่จิ่ววางตะกร้า เดินไปตรงหน้าโต๊ะก่อนนั่งลง “อาจารย์ ข้าเก็บเห็ดป่ามาแล้ว ข้ามีเรื่องอยากพูดกับอาจารย์เจ้าค่ะ”
หลิวหยางเงยหน้าจากหนังสือสวดมนต์ ปิดหนังสืออย่างช้าๆ ขณะมองนาง “เรื่องอะไร?”
“ข้าอยากกลับสวรรค์”
“อ้อ?” หลิวหยางกวาดตามองความว่างเปล่าที่ด้านหลังนางอย่างไม่ได้ตั้งใจ ท่าทีสงบไร้คลื่นลม
ไม่ผิด นางคิดจะกลับสวรรค์แล้ว
อยู่บนภูเขามาเดือนกว่าก็นานพอควร ภูมิหลังสืบหามาไม่ได้ นางก็จนปัญญา หลิวหยางบอกว่านางอยากคลี่คลายความลับ ลู่ยาก็สามารถช่วยนางได้ ทว่าแบบนี้นางยิ่งไม่อยากไปหาเขาในเวลานี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรกลับสวรรค์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ฟากนางตัดสินใจแล้ว พูดว่าไปก็ไปทันที คืนนั้นนางไปบอกลาศิษย์พี่
แน่นอนว่าเหล่าศิษย์พี่อาลัยอาวรณ์นาง จึงเปลี่ยนมาให้ของอร่อยไม่ก็ของเล่นกับนางแทน นอกเหนือจากความเพลิดเพลินแล้วนางเข้าใจอย่างมาก ถึงอย่างไรนางจากภูเขาไปแล้วก็เหลือเพียงพวกชิงเสียเด็กสาวไม่กี่คน ชัดเจนว่าชีวิตต้องน่าเบื่อนัก มีศิษย์น้องหญิงอย่างนางให้เลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงอยู่บนเขา จะมากน้อยก็สามารถเพิ่มความสนุกสนานได้
เมื่อถามพวกเขาว่าทำไมไม่ไปหาเซียนหญิงสักคนจากภูเขาแถวนี้มาเป็นภรรยา พวกเขาพูดอย่างอวดเบ่งว่าแถวนี้ล้วนเป็นศิษย์ลัทธิฉ่าน ไม่อยากแต่งงานกับพวกหยิ่งยโสเหล่านั้น พูดอย่างกับว่าพวกเขาไม่ใช่พวกหยิ่งทะนงอย่างนั้นแหละ
มู่จิ่วจนปัญญา ทำได้เพียงตบไหล่พวกเขาแล้วปลอบไปหลายประโยค จากนั้นกลับห้องไปเก็บสัมภาระ
รุ่ยเจี๋ยได้ยินว่าจะกลับสวรรค์ก็ดีใจอย่างมาก แต่ก็อาลัยอาวรณ์พวกชิงจู๋ เหล่าเด็กน้อยซุบซิบกันอยู่ในสวนดอกไม้ถึงเที่ยงคืน จนพระจันทร์ใกล้ดับแสงจึงแยกย้าย
เช้าวันถัดมามู่จิ่วไปบอกลาหลิวหยาง หลิวหยางกำชับนางหลายประโยคตามปกติ จากนั้นให้ขวดยานางหลายขวด และให้นางหยิบของวิเศษหลายชิ้นออกมาปลุกเสกใหม่ จากนั้นจึงมองส่งนางลงจากภูเขาไป
…………………………………………