ขณะเดียวกันนางก็กำชับพวกเสี่ยวซิงในบ้าน หากได้ยินข่าวคราวอะไรข้างนอกให้มาบอกนาง โดยเฉพาะประเภทซุบซิบนินทา อย่างไรหวังหมู่ก็เพียงสืบร่องรอยของสามี ในโลกนี้ข่าวอะไรล้วนแพร่สะพัดไม่ไว มีเพียงเรื่องซุบซิบนินทาหลากสีสันที่เหมือนกับแมลงในสายตากบ เพียงมีการเคลื่อนไหวก็หนีไม่พ้นลิ้น
มู่จิ่วมีแผนการชัดเจนแล้ว ดังนั้นอย่างไรก็มีเวลาตามลู่ยาไปเดินเล่นดูดาว
แน่นอนว่าที่จริงพวกเขาทำแบบนี้กันน้อยมาก
เพราะในบ้านค่อยๆ มีแขกมากขึ้น นอกจากพวกหลิวจวิ้นที่ปกติมากินข้าว ยังมีราชาจิ้งจอกที่มาดูลูกชายบ่อยๆ บางครั้งไม่มีเวลาก็ส่งมู่หรงหลิวเย่มาแทน มู่หรงหลิวเย่มาถึงก็ถามมู่จิ่วว่าฝึกคาถายั่วยวนเป็นอย่างไรบ้าง ซ้ำยังถามอีกว่ากับลู่ยาคืบหน้าไปถึงขั้นไหนแล้ว ช่างซุบซิบนินทากันจริงๆ
วังต้าเผิงแห่งเขาเนินอารามก็ส่งคนมาถามความเป็นไปของลู่ยาบรรพบุรุษที่ยังมีชีวิตอยู่บ่อยๆ แต่พวกมู่จิ่วรู้ว่าเบื้องหน้าเป็นการถามความเป็นไป แต่ในความเป็นจริงมาเพื่อดูซ่างกวนสุ่น ทุกครั้งที่เห็นซ่างกวนสุ่นช่วยเสี่ยวซิงทำงานบ้าน พวกเขามักจะทนไม่ไหว แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร ทำได้เพียงพับแขนเสื้อเดินเข้าไปทำแทนเขาด้วยตนเอง ทำเอาเสี่ยวซิงรู้สึกไม่ดีอยู่บ้าง
ดังนั้นพอมาได้สองรอบ ซ่างกวนสุ่นก็ไม่ให้พวกเขามาแล้ว
ในบ้านมีคนมาเยี่ยมญาติ มีเพียงอาฝูที่ไม่มี ถึงแม้เขาพูดไม่เป็น แต่ทุกครั้งอารมณ์มักหดหู่นัก ถึงเสี่ยวซิงวางขาแกะอันใหญ่ที่เขาชอบกินที่สุดไว้ตรงหน้า เขาก็เพียงแทะคำเล็กๆ กินไปได้สองคำยังหันไปทางนอกประตูแล้วใจลอยเล็กน้อย
มู่จิ่วเห็นอาฝูเป็นแบบนี้ก็ทุกข์ใจ บางครั้งจึงพาเขามานอนในห้องตนเองและอยู่เป็นเพื่อนเขา
เมื่อราชาจิ้งจอกมาอีกที รุ่ยเจี๋ยก็บอกกับเขาว่าไม่ต้องมาอีกแล้ว ตนเองจะตั้งใจฝึกฝนกับอาจารย์ ราชาจิ้งจอกยืนกรานอยู่สักพัก เมื่อไร้ผลก็ไม่มาอีกจริงๆ
แต่ถึงแม้เป็นแบบนี้ สายตาของอาฝูยังคงแผดเผาอยู่ในใจมู่จิ่ว ตั้งแต่เก็บเขามาจนถึงตอนนี้ใกล้จะผ่านไปหนึ่งปีแล้ว ก็ยังไม่มีคนนำหนังสือตามหาสัตว์หายมาถึงหน้าประตู หรือเขาจะผุดออกมาจากรอยแยกของหินเหมือนกับมู่จิ่ว?
ลู่ยาเคยแยกนำขน เล็บ และหยดเลือดของเขามาสืบหาแล้ว ทว่าก็สืบหาอะไรไม่ได้สักนิด สรุปคือความทรงจำของเขาหายไปเมื่อตามฉางเอ๋อร์เข้ามาในสวรรค์ ใครก็ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เขาประสบอะไรมาบ้าง
วันนี้มู่จิ่วหยุดพักผ่อน กำลังเตรียมตัวพาเขาไปเดินเล่น เพิ่งเดินถึงประตูลานก็เห็นคนสองคน เป็นอวิ๋นชือฉางที่พาผู้อารักขากระเรียนมายืนอยู่นอกประตู!
อวิ๋นชือฉางเห็นนางกลับไม่แปลกใจสักนิด ประสานมือค้อมตัวทำความเคารพทันที
มู่จิ่วกลับตกใจจนปากอ้าค้างอยู่นานกว่าจะปิดลงได้ “เจ้ามาอย่างไร?”
หรือจะเอาเรื่องลำบากใจอะไรมาให้นางอีก?
ลงมือก่อนได้เปรียบเสมอ นางยังไม่ทันคิดให้ดีก็รีบถอย บอกว่านางยุ่งมากเลยช่วยไม่ได้ อวิ๋นชือฉางเปิดปากพูดเจือรอยยิ้ม “ข้าน้อยมาเพื่อเชิญเต้าจู่และใต้เท้าก่อน สามวันหลังจากนี้เป็นงานแต่งของอวิ๋นซี นี่คือเทียบเชิญงานแต่ง” เขาพูดพลางนำเทียบเชิญสีแดงสดสองใบจากมือผู้อารักขากระเรียนมาส่งให้
เชิญพวกเขาไปงานแต่ง?
นี่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของนาง ความสัมพันธ์ของนางกับตระกูลพวกเขาดีขนาดนั้นหรือ? และยังเป็นเขาอวิ๋นชือฉางมาส่งเทียบเชิญด้วยตนเองอีก เขามาเพราะลู่ยาใช่หรือไม่? แต่ถึงแม้มาเพราะลู่ยา นางก็ไม่คิดจะให้เกียรตินี้แก่พวกเขา
“ราชาหงส์เกรงใจเกินไปแล้วกระมัง? แบบนี้ข้ารับไม่ไหว ลู่ยาอยู่ในห้อง ท่านมิเข้าไปหาเขาโดยตรงเลยล่ะ?”
แต่สุดท้ายนางยังถือเทียบเชิญงานแต่งไว้ในมือโดยไม่ส่งกลับไป อย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องน่ายินดีของพวกเขา นางไม่ควรทำให้เสียความรู้สึก
อวิ๋นชือฉางพูด “เต้าจู่เป็นคนที่ต้องเชิญ เพียงแต่ข้าน้อยก็เชิญใต้เท้าอย่างจริงใจเช่นกัน เรื่องคราวก่อนหากไม่ใช่ใต้เท้ายื่นมือเข้ามา พวกเราก็ไม่อาจเชิญเต้าจู่มาได้ และหากเต้าจู่ไม่มา พวกเราตระกูลอวิ๋นก็ไม่มีวันนี้ ดังนั้นในใจพวกเราเผ่าหงส์เพลิง ฐานะของแม่นางกับเต้าจู่นั้นเหมือนกัน”
มู่จิ่วไม่อาจไม่ยอมรับ คำพูดนี้ของเขาฟังแล้วสบายใจยิ่ง
ไม่ว่าเขาจริงใจหรือหลอกลวง อย่างน้อยเขาก็รู้จักพูดแบบนี้
นางคิด ก่อนยื่นหน้าเข้าไปในลานเพื่อเรียกรุ่ยเจี๋ย “ไปบอกอาจารย์เจ้าที ราชาหงส์แห่งทิวเขาริ้วหยกนำเทียบเชิญงานแต่งมาให้” พูดจบค่อยหันกลับมามองอวิ๋นชือฉางอีกครั้ง “เจ้าเข้าไปเถอะ ข้ายังมีธุระ ไม่อยู่คุยด้วยแล้ว”
อวิ๋นชือฉางค้อมตัวรอนางเดินไปไกลอย่างสงบ ถึงได้เข้าไปในลานตามการนำของรุ่ยเจี๋ย
มู่จิ่วนำอาฝูไปนั่งยังลานจื่อหลิงบ้านของอิ่นเสวี่ยรั่วอยู่ครู่หนึ่ง ดื่มชาสองถ้วย พูดคุยเล่นกันสักพักค่อยกลับมา อวิ๋นชือฉางกลับไปแล้ว
อาฝูไปกระโดดโลดเต้นกับรุ่ยเจี๋ย ส่วนนางมุ่งตรงไปยังห้องลู่ยา เพียงมองก็เห็นเทียบเชิญงานแต่งวางอยู่บนโต๊ะ จึงพูดขึ้น “เจ้าเก็บไว้จริงๆ หรือ? หรือเจ้ารับปากจะไป?” ถึงแม้นางคิดว่าปฏิเสธเทียบเชิญงานแต่งผู้อื่นไม่เหมาะสม แต่ด้วยฐานะของลู่ยากับอวิ๋นซี ถึงไม่พูดก็ไม่มีใครว่าเขาว่าไม่เคารพผู้อื่น
“ไม่ได้รับปาก” ลู่ยาตอบ “ข้าเพียงรู้สึกว่ารูปแบบการวาดบนเทียบเชิญสวยมาก ตอนพวกเราสองคนแต่งงานกันบางทีอาจใช้เป็นต้นแบบได้”
มู่จิ่วไม่ได้ระวัง ปฏิกิริยาตอบกลับจึงเป็นการทุบกำปั้นลงไปบนไหล่เขา
คล้อยหลังนางตี ลู่ยาจึงพูด “อายอะไร ไม่ช้าเร็วก็ต้องเป็นแบบนี้”
มู่จิ่วเล่นมวยผมของเขา จิ้มหลังคอเขา ลู่ยาก็ไม่สนใจนาง นางหัวเราะเสียงดัง สุดท้ายจึงนั่งลงไปข้างๆ กลืนชาที่เย็นแล้วของเขาลงไปหนึ่งอึกก่อนพูด “พวกเขามาหาถึงหน้าประตูตามแต่ใจแบบนี้ เจ้าไม่กลัวว่าคนในสวรรค์จะรู้ว่าเจ้าคือลู่ยาหรือ?”
“พวกเขากล้าพูดหรือ? ข้าให้ซ่างกวนสุ่นเตือนอวิ๋นฉัวกับอ๋าวเชินนานแล้ว พวกเขาล้วนเป็นยอดคนในตระกูลเหล่านี้ หากไม่เข้าใจข้าค่อยสั่งสอนพวกเขาก็ไม่สาย” ลู่ยากล่าว
ในเมื่อเขาพูดแบบนี้ มู่จิ่วไม่ร้อนใจแทนเขาแล้ว
ทางพวกเขากำลังพูดคุย ก็ได้ยินซ่างกวนสุ่นตะโกนเรียกเสี่ยวซิงในลาน
ตอนแรกมู่จิ่วไม่ได้สนใจ ได้ยินเขาตะโกนเรียกเสี่ยวซิงหลายครั้งยังไม่ตอบ จึงยื่นหน้าออกไป “เกิดอะไรขึ้น?”
ซ่างกวนสุ่นหิ้วตะกร้าเห็ดยืนอยู่หน้าประตู “เมื่อครู่พวกข้าไปซื้อผัก ระหว่างทางข้าเลี้ยวไปซื้อเห็ดเลยให้นางกลับมาก่อน แล้วนางล่ะ?”
มู่จิ่วคิดสักครู่ กลับมาจนถึงตอนนี้ก็ไม่เห็นเสี่ยวซิงจริงๆ นางเดินออกไปด้านนอก ก่อนวิ่งไปดูที่ปากประตู
มองคราวนี้จมูกนางเกือบชนเสี่ยวซิงจนล้มลง!
“ข้าเพิ่งผ่านทัพทหารสวรรค์ เห็นเหลียงชิวฉานวิ่งร้องไห้ออกมา ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าจึงกลับมาช้า!”
นางลูบจมูกมู่จิ่วไปพลาง ส่งตะกร้าบนแขนให้ซ่างกวนสุ่นไปพลาง หอบหายใจพูด
“เหลียงชิวฉาน?”
มู่จิ่วอ้าปากตกใจ “นางร้องไห้ทำไม?”
ในทัพทหารสวรรค์ยังมีคนกล้ารังแกนางจนร้องไห้ ช่างเป็นเรื่องแปลกใหม่เสียจริง
“ไม่ผิด เพียงแต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ดูแล้วนางเจ็บปวดยิ่งนัก” เสี่ยวซิงเกลียดชังสำนักแรกพยับอย่างมาก นางยังไม่ลืมว่าพวกเขาก่อเรื่องรุนแรงที่ประตูสวรรค์แดนใต้ มู่จิ่วถึงได้โยนนางเข้าไป
มู่จิ่วขมวดคิ้ว
ตั้งแต่รู้ว่าหลินเจี้ยนหรูโยนเตาร้อนให้จีหย่งฟางและทำร้ายนางจนตาย มู่จิ่วก็ไม่ได้ติดตามเรื่องทางนั้นของพวกเขาอีก ตอนนี้ถึงแม้ฟังแล้วรู้สึกสงสัย แต่กลับไม่คิดจะสนใจ จึงพูดกับเสี่ยวซิง “ภายหลังพวกเราเข้าไปยุ่งเรื่องของแรกพยับรวมถึงเรื่องของหลินเจี้ยนหรูให้น้อยหน่อย พวกเขาไม่น่าไปยุ่งเกี่ยวด้วย”
…………………………………………………