แต่หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง อ๋าวเชินสูดหายใจเข้าลึกก่อนพูด “แม่นางไม่ใช่คนนอก หากแค่เจ็ดวันข้าสามารถรับปากได้ เพียงแต่ต้องเตรียมตัว กุญแจจันทราหยางห่างจากข้าไปไม่กี่วันก็มีปัญหาไม่ใหญ่ แต่หากนานกว่านี้เกรงว่าข้าออกจะลำบาก”
มู่จิ่วกระตือรือร้น “เรื่องนี้ข้าย่อมรู้ สรุปคือไม่ว่าอย่างไรในเจ็ดวันข้าต้องนำมาคืนแน่ แต่ถึงแม้เป็นแบบนี้ ข้าก็ไม่หวังให้ราชามังกรฝืนรับปากข้า”
อ๋าวเชินคิดนิดหนึ่งก่อนเอ่ย “ข้าต้องใช้เวลาเตรียมตัวก่อน หลังจากนี้สองเดือนแล้วกัน”
สองเดือนก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร กระทั่งพูดได้ว่าเร็วมากแล้ว มู่จิ่วไม่มีความเห็นแม้แต่น้อย นางค้อมตัวแสดงความขอบคุณอย่างเป็นทางการกับเขา
เมื่อกลับถึงสวรรค์ เรื่องแรกที่มู่จิ่วทำคือเขียนจดหมายให้อาฝูคาบไปส่งหลินเจี้ยนหรู
เช้าวันถัดมา นางเพิ่งถึงหน่วยงานเขาก็มาแล้ว
“ราชามังกรรับปากให้ข้ายืมกุญแจจันทราจริงหรือ?”
มู่จิ่วพยักหน้า “แต่อีกสองเดือนถึงสามารถไปเอาได้ และต้องส่งคืนภายในเจ็ดวัน เรื่องนี้เจ้าต้องรับปากข้าและต้องทำให้ได้ มิฉะนั้นแล้ว ข้าเกรงว่าเจ้าจะแบกรับผลลัพธ์ไม่ไหว”
หากอ๋าวเชินไม่ได้รับกุญแจจันทราคืนในระยะเวลาที่กำหนด อันดับแรกเขาจะไม่มาหานาง แต่ต้องร่วมมือกับตระกูลอวิ๋นทำลายเขาก่อนถึงค่อยมาหาเรื่องนางแน่ สิ่งที่นางพูดไม่ได้เกินจริง ทว่าเป็นเรื่องจริงที่ต้องเกิด เขาต้องเข้าใจให้ชัดเจน
หลินเจี้ยนหรูครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้ายเขามาขอร้องนาง จะไม่รู้ถึงผลลัพธ์นี้หรือ? เขาฟังจบถึงค่อยผ่อนลมหายใจยาว นั่งลงบนเก้าอี้ มือกุมขมับพลางปรับลมหายใจหลายครั้ง ก่อนเงยหน้าขึ้น “เจ้าวางใจได้ ข้าจะไม่ทำให้เจ้าลำบากแน่”
พูดจบก็ยืนขึ้นมา ก้าวข้ามธรณีประตูเดินเร็วๆ ออกไป
มู่จิ่วมองเขาหายลับไปจากนอกประตู ความมืดหม่นบนใบหน้าปรากฏอยู่พักใหญ่ก่อนจะหายไป
คนแบบเขา สุดท้ายก็ไม่รู้จะมีจุดจบแบบไหน?
แต่ต้องไม่ทำผิดอีกถึงจะดี
หลังจากหลินเจี้ยนหรูได้รับคำตอบจากนาง ก็ไม่มารบกวนอีกอย่างรู้ตัวดี
สิ่งที่เขาคิดยังค่อนข้างลึกซึ้ง มู่จิ่วนับว่าเป็นคนที่เขาไว้ใจได้มากที่สุด ไม่ต้องพูดเรื่องอื่น อย่างน้อยนางก็ไม่เคยปกปิดต่อหน้าและไม่เคยขัดขวางเขา ถึงแม้รู้ว่าเขาเคยทำอะไรมาก่อน นางก็ยังช่วยเหลือเขา หากปิดตายหนทางนี้ไป เขาก็เท่ากับตัดกำลังของตนเอง
ผ่านไปแบบนี้สิบกว่าวัน เหตุการณ์ทั้งหมดสงบดี
ช่วงนี้มู่จิ่วทุ่มกำลังอยู่กับสองเรื่อง หนึ่งคือปฏิบัติหน้าที่ประจำ อีกหนึ่งคือสืบเรื่องอวี้ตี้
นางไม่พบว่าอวี้ตี้ผิดปกติอะไร ตอนหวังหมู่ถามขึ้นก็ไม่ได้เร่ง นางเปลี่ยนแผนใหม่ ไม่ให้มู่จิ่วจับตามองตลอดเวลาแล้ว ทว่าหลังจากนางได้ข่าวการออกจากวังของอวี้ตี้แล้วค่อยสั่งว่าให้จับตามองเมื่อไหร่ แบบนี้สามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้เขารู้ตัวได้
มู่จิ่วรู้สึกว่างานนี้ของนางเหมือนกับมีรากปลายแหลมแทงอยู่บนหลัง เมื่อไหร่หาเบาะแสเจอก็อยากจะดึงออกทันที แต่ถึงแม้ไม่อยากทำกลับไม่มีหนทาง ผ้าทอสีเหลืองนั้นอยู่ในมือหวังหมู่ เพียงนางเอาให้อวี้ตี้ดู อวี้ตี้กลับมาต้องถลกหนังมู่จิ่วแน่
แต่หวังหมู่ก็เอาใจนางไม่น้อย มียาเซียนผลไม้เซียนอะไรก็มอบสิ่งนั้นให้…ทำงานส่วนตัวให้เถ้าแก่ใหญ่ก็มีข้อดีเล็กน้อย คือสินน้ำใจมาก และมู่จิ่วก็พบว่าถึงแม้หวังหมู่โหดร้าย แต่แท้จริงแล้วกลับช่างเจรจา ไม่ใช่เอะอะก็ให้คนอยู่ในกฎ หากไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย ถึงมู่จิ่วเอาผลไม้ของนางมากินหรือลูบแมวดาวของนาง นางก็ไม่พูดอะไร
สิ่งนี้ทำให้มู่จิ่วยิ่งทุ่มเททำงานมากขึ้นอีกนิดโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
วันนี้ขณะกำลังเตรียมเลิกงาน เซียนหญิงในสระหยกพลันเดินเข้ามาอย่างรีบเร่ง ครั้นถึงตรงหน้านางก็โน้มตัวเข้ามาพูด “เหนียงเหนียงให้ข้ามาบอก คืนนี้ฝ่าบาทวางแผนออกไปข้างนอก แอบให้คนไปเรียกพาหนะมาแล้ว เจ้ารีบสะกดรอยไป!”
มู่จิ่วได้ยินก็ตื่นตัวขึ้นมาทันที!
ไม่ใช่นางตื่นเต้นเพราะเป็นคนสอดแนม แต่เรื่องจบเร็วเท่าไหร่นางก็สบายเร็วขึ้นเท่านั้น!
จากนั้นนางพาอาฝูไปตามถนนเล็ก เร่งไปยังร้านบะหมี่เล็กๆ ตรงข้ามวังหลิงเซียว และรออวี้ตี้ขี่มังกรทองบินออกจากวังไป
หากอวี้ตี้ลาดตระเวนสวรรค์เก้าชั้นตามปกติจะมีรถม้าพระที่นั่ง แต่หากใช้มังกรทองเป็นพาหนะ จะเป็นการออกไปเดินเล่นเองส่วนตัว หากแม้แต่ข้อมูลเล็กๆ แค่นี้หวังหมู่ยังเอามาไม่ได้ ก็ไม่อาจเรียกว่าเป็นผู้มีอำนาจในวังหลังแล้ว และการที่ไม่ให้คนใกล้ชิดของตนเองติดตามมาด้วย แน่นอนเป็นเพราะกลัวว่าหากความแตกขึ้นมา อวี้ตี้จะรู้ว่าเป็นคนที่นางส่งมา
มู่จิ่วครุ่นคิดเหตุผลเหล่านี้ได้นานแล้ว ดังนั้นแม้แต่ข้ออ้างตอนถูกอวี้ตี้จับการสะกดรอยได้ก็เตรียมไว้เรียบร้อย นางมีความลับกับอวี้ตี้เหมือนกันมิใช่หรือ? ถึงตอนนั้นขอเพียงผ่านสถานการณ์เบื้องหน้าไปได้ โอกาสที่อวี้ตี้จะสงสัยนาง เทียบกับคนทั่วไปแล้วยังต่ำกว่าอีก และเขาต้องคิดไม่ถึงแน่ว่าหวังหมู่จะใช้นางตลบหลังเสียแล้ว
พูดถึงตรงนี้ มู่จิ่วไม่อาจไม่ชื่นชมความเจ้าเล่ห์ของหวังหมู่ ด้วยความสามารถนี้ของนาง อวี้ตี้ถึงกับคิดลักลอบคบชู้ลับหลังนาง เขาคงเบื่อที่จะมีชีวิตแล้ว
นางนั่งอยู่พักหนึ่ง ไม่เห็นรถม้าออกจากวัง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพาหนะมังกรทองเลย
ขณะกำลังสงสัยว่าหวังหมู่ได้รับข่าวผิดหรือไม่ ประตูวังก็เปิดออก มีเมฆหมอกกลุ่มหนึ่งลอยออกมาช้าๆ จากนั้นแสงสีทองสาดส่องระยิบระยับ มังกรยักษ์แข็งแกร่งยิ่งใหญ่ขนาดราวสามสี่จั้งบินออกมา บนหลังมังกรมีอานงดงามซึ่งเลี่ยมฝังหินมีค่ามากมายหลากสี บนอานยังมีเกี้ยวงามวิจิตรกึ่งโปร่งแสง ม่านบนเกี้ยวปิดลงมา ด้านในราวกับมีคนนั่งอยู่
มู่จิ่วลุกขึ้นมาทันที เห็นด้านหลังมังกรมีเซียนหญิงแปดคนถือหรูอี้[1]หยกทองและผีผาเครื่องดนตรีต่างๆ ตามหลังมา นางขี่บนหลังอาฝู สะบัดชุดซ่อนเซียนคลุมร่างทั้งสอง ตามไปข้างหน้าโดยทิ้งระยะห่างไว้
แต่ตามไปหลายสิบลี้ นางพลันรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ท่าทางแบบนี้ของอวี้ตี้ ถึงแม้ไม่มีขบวนคุ้มกันครบชุด แต่ก็นับว่าทุกคนรู้กัน นี่เหมือนคนจะไปทำเรื่องลับหรือ?
มู่จิ่วทำใจกล้า กระโดดไปข้างหน้าเพื่อดูคนที่อยู่ในเกี้ยว ไหนเลยจะเป็นอวี้ตี้? ที่แท้เป็นผู้ติดตามข้างกายเขา!
เจ้าคนนี้ เขากลับยังเล่นตุกติก?
ที่แท้ก็มีกลลวง!
นางหันกลับทันทีโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง เมื่อไปถึงประตูวัง จึงจับเถ้าแก่กระเรียนที่เปิดร้านบะหมี่มาถามว่าเมื่อครู่เห็นคนออกจากวังมาหรือไม่ เถ้าแก่กระเรียนชี้ฟ้าทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ พูดว่า “ที่ประตูวังไม่เห็นใครออกมา แต่เห็นมีแสงเมฆลอยไปทางนั้น” ครั้นถามว่าไปนานเท่าไหร่แล้ว เขาจึงตอบ “ชั่วเวลาจิบครึ่งถ้วยชา”
มู่จิ่วไม่ชักช้า ให้เหรียญหยกสองเหรียญแก่เขาแล้วขี่อาฝูมุ่งไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ
ถึงอย่างไรอวี้ตี้ก็เป็นลูกศิษย์ของหงจวิน เป็นราชาแห่งหกภพและมีวิถีฟ้าคุ้มครอง เป็นธรรมดาหากมู่จิ่วคนไร้ตัวตนไม่สามารถเทียบชั้นได้ แต่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือกว้างใหญ่ไพศาล มีเนินเขาและยอดเขา โดยพื้นฐานแล้วไม่มีคนสัญจรไปมา ยิ่งบวกกับทิวเขาสูงใหญ่หันหลังให้พระอาทิตย์ ไม่มีเซียนมีชื่อพักอาศัยอยู่ อวี้ตี้จึงทำได้เพียงเลือกขี่เมฆเดินทางบนฟ้า
เมื่อมีพลังพิเศษของอาฝู เดินทางไม่ถึงระยะพันลี้ก็เห็นแสงมงคลแยงสายตาลอยอยู่ข้างหน้ารางๆ หลังจากแยกแยะอย่างละเอียด คงเป็นเป้าหมายไม่ผิดแน่
ที่นี่ไม่มีคนนอก ถึงแม้ไม่อาจมั่นใจได้ แต่กลับทำได้เพียงตามให้ถึงที่สุด
และอวี้ตี้ก็เจ้าเล่ห์เช่นกัน หยุดลงทางซ้ายแล้วหักเลี้ยวกลางอากาศ อ้อมไปทางตะวันออก ในที่สุดก็กดเมฆลงมุ่งไปทางยอดเขาสูงแห่งหนึ่งทางตะวันออกของเก้าทวีป
…………………………………………………………