คางของมู่จิ่วเกือบจะร่วงลงไปแล้ว!
ที่แท้คนผู้นี้ก็เป็นเสือขาว! มิน่าเล่า ก่อนหน้านี้เพียงมองครั้งเดียวเขาก็เห็นอาฝูที่อำพรางกายอยู่ ทั้งสายตาก็ยังคงคอยวนเวียนอยู่บนตัวอาฝู!
ไม่แปลกที่ตอนอาฝูเห็นเขาจึงเชื่องเป็นพิเศษ ที่แท้ก็เจอพวกเดียวกันนี่เอง
อาฝูมีพรสวรรค์ล้ำเลิศ เห็นที่มาที่ไปของผู้อื่นได้คร่าวๆ นี่ก็ไม่เลวแล้ว
แบบนี้การที่เขาปรากฏตัวอีกครั้งเพื่อช่วยพวกมู่จิ่ว ก็คงมาเพื่อช่วยอาฝูเช่นกัน!
“รีบพาเขากลับเข้าห้องเร็ว! ซ่างกวนสุ่น เจ้าประคองเขาเข้าห้องอาฝู!” มู่จิ่วรีบออกคำสั่ง จากนั้นสั่งเสี่ยวซิงให้นำน้ำมาล้างมือล้างหน้าให้เสือขาวใหญ่ตัวนี้
ซ่างกวนสุ่นรีบทำตาม อาฝูก็เหมือนจะกังวลอย่างมาก สายตาเหม่อลอยจับจ้องตามเข้าไป
รอจนจัดการเสร็จแล้ว ไม่มีเรื่องอะไรใหม่ มู่จิ่วถึงได้ไปคุยกับลู่ยาที่ห้อง
“เจ้ารู้หรือไม่ ที่แท้อวี้ตี้ไปลักลอบคบชู้จริง ข้าเห็นกับตา” จากนั้นก็อธิบายว่านางตามเขาไปอย่างไรอย่างออกรสออกชาติ แล้วจึงเล่าให้ฟังว่าแผ่นหลังของเซียนหญิงคนนั้นโดดเด่นอย่างไร “คิดไม่ถึงว่าอวี้ตี้คนนี้กลับเหมือนอ๋าวเชิน ไม่สนใจของในบ้าน ต้องออกไปแอบกินข้างนอก!”
พูดไปสายตานางก็เหลือบมองหน้าลู่ยาหลายครั้ง ความนัยกล่าวเตือนนี้จะชัดแจ้งเกินไปแล้ว
ลู่ยาเลี้ยงปลาทองไว้อ่างหนึ่ง เขาถือกะละมังโยนอาหารเข้าไปในอ่างน้ำ พลางพูดอย่างจนปัญญา “เจ้าเพียงแค่เห็นเขาเดินหมากด้วยกันเท่านั้น รู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาต้องเป็นชู้กัน? เจ้าไม่ได้จับเขาตอนลักลอบเล่นชู้ได้พอดีเสียหน่อย”
“ออกจะชัดเจน! เจ้าไม่เห็นแผ่นหลังของเซียนหญิงคนนั้น งดงามเกินไปแล้ว! อวี้ตี้ลอบพบนางที่โลกมนุษย์ลับหลังหวังหมู่กับสวรรค์ ไม่เป็นชู้กันแล้วจะเป็นอะไร?” มู่จิ่วไม่เชื่อว่าสิ่งที่นางเห็นจะไม่ใช่เรื่องจริง และความทรงจำที่ชัดเจนที่สุดของนางคืออากัปกิริยาเย้ายวนของเซียนหญิงผู้นั้น พูดตามจริง อย่าว่าแต่อวี้ตี้เลย หากวางลู่ยาไว้ตรงหน้าเซียนหญิงผู้นั้นก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะไม่หวั่นไหว
“หากเฮ่าเทียนมีใจลักลอบคบชู้จริง ทำไมต้องเลือกตลาดที่คึกคัก? เก้าทวีปสี่ทะเลใหญ่ขนาดนี้ เลือกสุ่มๆ สักที่หนึ่งมิสงบกว่าหรือ?” ลู่ยาป้อนอาหารปลาเสร็จแล้วก็เดินกลับมา บีบแก้มนาง “ใช่ว่าทุกคนชอบแบบงดงามเย้ายวน อย่างข้า ข้าชอบแบบไชเท้าผักกาดขาว”
มู่จิ่วรู้สึกว่าเขากำลังเล่นสำนวนโวหาร
แต่วินาทีถัดมา ใบหน้าของนางกลับทะมึน “เจ้าหมายความว่าข้าเป็นได้เพียงไชเท้าหัวหนึ่ง?”
“แน่นอน ไม่นับว่าเป็นหัวไชเท้าธรรมดา แต่นับเป็นผู้โดดเด่นในบรรดาหัวไชเท้า” ลู่ยาเท้าคางยกยิ้ม “เป็นไชเท้าที่พิเศษมาก”
มู่จิ่วมองเขาอย่างล้ำลึกคราหนึ่ง พลันวิ่งออกไป ก่อนจะหันหน้าวิ่งตึงตังกลับมา แล้วเอาไชเท้าหนาเท่าน่องเจ็ดแปดหัวที่ถอนมาจากในสวนยัดเข้าไปในอกเขาเสียงดังตุบ!
“กัวมู่จิ่ว!”
ลู่ยาที่ถูกไชเท้าถ่วงจนเอวโค้งตะโกนขึ้น
เพราะไม่รู้ว่าเสือขาวใหญ่ตัวนั้นจะตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ มู่จิ่วจึงไม่กล้านอนเร็ว ได้แต่ดูเสี่ยวซิงปักลายดอกไม้ต่างๆ อยู่ในห้อง
ตอนนี้เสี่ยวซิงทำรองเท้าให้ซ่างกวนสุ่น เพราะไม่ได้กลับเนินอารามบ่อยๆ เสื้อผ้าของใช้ของเขาจึงมีไม่เยอะ ยิ่งเป็นคนรักความสะอาดอยู่ด้วย เสี่ยวซิงเห็นว่ามีเวลาว่างจึงทำให้เขา
มู่จิ่วปักผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นเสร็จ ได้มอบให้ลู่ยาไปนานแล้ว ตอนนี้กำลังวาดภาพดอกไม้ให้เขา เพิ่งวาดลายเมฆมงคลได้สองก้อน อาฝูก็ผลักประตู นางจึงออกไปดูด้านนอก เห็นเพียงในห้องเขามีเงาคนเคลื่อนไหว รู้ว่าเสือขาวตัวใหญ่นั่นฟื้นแล้ว ดังนั้นจึงรีบวางพู่กันเดินเข้าไป
รุ่ยเจี๋ยกำลังคุยอะไรกับเสือขาวใหญ่ในห้อง เมื่อเห็นพวกนางมาก็รีบยืนขึ้น
ปกติรุ่ยเจี๋ยตัวติดกับอาฝู เขาจะอยู่ด้วยก็ไม่แปลก
มู่จิ่วเข้าไปใกล้พลางพูด “ท่านไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม?”
เสือขาวใหญ่ยืนขึ้นมา ประสานมือให้นางอย่างสง่างาม “ที่แท้แม่นางเป็นเจ้าหน้าที่ของสวรรค์ ล่วงเกินแล้ว”
มู่จิ่วโบกมือ ทั้งสองฝ่ายนั่งลงแล้ว นางค่อยพูด “ยังไม่ทราบเลยว่าท่านแซ่อะไร? มาจากที่ไหน? ก่อนหน้านี้โชคดีที่ท่านช่วยเหลือไว้ ข้ายังไม่ได้ขอบคุณเลย” ถึงแม้ตอนนั้นไม่ได้อันตรายนัก แต่คนเขามีความตั้งใจดี ทั้งยังได้รับบาดเจ็บ คำพูดเหล่านี้ก็ไม่ต้องสงวนไว้
“ข้ามาจากอาณาจักรโหย่วเจียง..”
“อาจารย์”
เสือขาวใหญ่กำลังพูด เสียงรุ่ยเจี๋ยจากนอกประตูก็ดังเข้ามา ลู่ยารีบร้อนเข้ามาข้างใน ใช้สายตากวาดมองทุกคนรอบหนึ่ง
เสือขาวใหญ่มองเขาอย่างสงสัย ผ่านไปครู่หนึ่งสีหน้าถึงเปลี่ยน พลันคุกเข่าหมอบลงไปที่พื้น “องค์ชายรัชทายาทซื่ออินแห่งโหย่วเจียง เข้าพบเซิ่งจุน!”
พวกมู่จิ่วต่างก็ตกใจ เสือขาวใหญ่ตัวนี้กลับรู้จักลู่ยา? ทั้งยังเป็นองค์ชายรัชทายาทอีก?
“อาณาจักรโหย่วเจียง เจ้าเป็นลูกของไท่ฉี่?” ลู่ยาอึ้งเล็กน้อย
“ใช่ขอรับ! ท่านพ่อพูดเรื่องเซิ่งจุนกับพวกเราพี่น้องบ่อย” ในสายตาของซื่ออินมีความกระตือรือร้น “ท่านพ่อยังบอกอีกว่า ปีแรกๆ ตอนอยู่ที่สวรรค์อันสูงส่งได้รับการชี้แนะจากเซิ่งจุนไม่น้อย”
มู่จิ่วถึงได้รู้ว่าที่แท้พ่อของเขาอาศัยอยู่ที่สวรรค์อันสูงส่งตอนยังเด็ก
ลู่ยาพยักหน้า ในแววตาปรากฏความอบอุ่นอยู่บ้าง ก่อนพูดคุยเรื่องเก่าแก่กับเขา “พ่อของเจ้าสบายดีหรือ?”
ซื่ออินตื่นเต้นอย่างมาก “เซิ่งจุนช่างใส่ใจ พ่อข้าสบายดีขอรับ”
ลู่ยาเรียกให้เขาลุกขึ้นมา เสี่ยวซิงรีบย้ายเก้าอี้มาให้เขานั่ง เพราะได้ยินว่าเขาเป็นองค์ชายเสือขาว และยังรู้จักลู่ยามาก่อน มู่จิ่วอดรู้สึกใกล้ชิดขึ้นมาหลายส่วนไม่ได้ จึงรีบเรียกให้ซ่างกวนสุ่นยกน้ำแกงผลไม้ขนมมา ทั้งยังยกโคมไฟมาหลายอัน ทำให้ห้องสว่างขึ้นมาก
“ทำไมเจ้าไปอยู่ที่โลกมนุษย์ได้?” ลู่ยารู้เรื่องจากมู่จิ่วแล้ว เป็นธรรมดาที่จะสงสัยในการปรากฏตัวของเขา และเขาที่เป็นองค์ชายรัชทายาทของอาณาจักรหนึ่งไม่พาแม้แต่ผู้รับใช้ไป ดูผิดปกติยิ่งนัก
“ข้าออกมานานมากแล้ว” ซื่ออินพูด ขณะเดียวกันความกังวลตรงระห่างคิ้วของเขาชัดเจนขึ้นภายใต้แสงโคมไฟ “ข้ามาเพื่อตามหาภรรยาข้า บังเอิญไปโลกมนุษย์และได้พบเสือขาวน้อยตัวนี้เข้า ดังนั้นจึงหยุดทักทาย ไม่คิดว่าจะเป็นคนข้างกายของเซิ่งจุน”
เขาดูออกว่าความสัมพันธ์ของพวกมู่จิ่วกับลู่ยาไม่ตื้นเขิน เพราะไม่แน่ใจในความสัมพันธ์ จึงทำได้เพียงเรียกว่าเป็นคนข้างกาย
ลู่ยาไม่ใส่ใจอะไร ก่อนเอ่ย “ภรรยาเจ้าไปไหนแล้ว?”
สีหน้าของซื่ออินเศร้าซึมลง มือทั้งสองข้างที่วางอยู่บนเข่ากำแน่นเป็นหมัดโดยไม่รู้ตัว “ข้าก็ไม่รู้ ห้าร้อยปีก่อนนางหายตัวไป ตอนนั้นพวกเรากำลังเตรียมตัวจัดงานแต่งงาน แต่อยู่มาวันหนึ่งนางก็หายตัวไป ห้าร้อยปีนี้ข้าหาไปทั่วทั้งฟ้าดินก็ไม่เจอร่องรอยของนางแม้แต่น้อย ข้าจึงอยากไปดูที่โลกมนุษย์สักหน่อย”
“หายตัวไปกะทันหัน?” มู่จิ่วงุนงง “ไม่มีร่องรอยแม้แต่น้อย?”
“ใช่ขอรับ” ซื่ออินพยักหน้าพลางพูด “ภรรยาข้าเหลียงจี มารดานางเสียชีวิตนานแล้ว แต่เดิมบิดาเป็นนายพลของอาณาจักรโหย่วเจียงของข้า พลีชีพไปในสงครามกับอาณาจักรโหย่วซยง เหลือเพียงพวกนางสองพี่น้องหญิง”
“มารดาข้าพาพวกนางเข้ามาอยู่ในวัง ข้ากับเหลียงจีเติบโตมาด้วยกัน ตั้งแต่เด็กจนโตรู้ใจกันและกันดี ก่อนที่นางจะหายไป พวกเรายังหารือกันเรื่องตกแต่งห้องใหม่อยู่ ข้ารู้ว่าในใจนางมีเพียงข้า ต้องไม่ใช่เพราะการแต่งงานครั้งนี้จึงจากข้าไปแน่ แต่ข้าไม่รู้ว่านางหายตัวไปได้อย่างไร? แท้จริงแล้วไปไหน?”
สายตาของเขาเต็มไปด้วยความสับสน ความเจ็บปวดเปิดเผยออกมาอย่างไม่ปิดบังแม้แต่น้อย
………………………………………………………