เหตุที่พวกนั้นไม่น่าไปยุ่งด้วย ไม่ใช่ยุ่งไม่ไหว แต่ยุ่งเกี่ยวด้วยยากมาก
นางทำไม่ได้และไม่มีหนทางเปลี่ยนหลินเจี้ยนหรู แบบนั้นก็ให้เขาเลือกทางเดินของเขาเองเถอะ
และตอนนี้หลินเจี้ยนหรูเลือกหนทางอะไร?
บางครั้งเขาชัดเจนในเป้าหมายของตนเองมาก แต่บางครั้งกลับรู้สึกสับสนในหนทางข้างหน้า
ตอนมู่จิ่วสั่งเสี่ยวซิง เขากำลังเหม่อลอยมองถ้วยชามที่แตกบนพื้นอยู่ในห้องของตนเองที่ลานสนเขียว
นี่เป็นของที่เหลียงชิวฉานทำแตก
ในหลายเดือนนี้ความสัมพันธ์ของเขากับเหลียงชิวฉานผ่อนคลายลงมาก ถึงแม้นางยังมีท่าทีเย็นชาเหมือนแต่ก่อน แต่จำนวนครั้งที่มาหาเขากลับมาก และไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่คำสาปแช่งด่าทอแบบเมื่อก่อนค่อยๆ เปลี่ยนไป บางครั้งก็สามารถพูดเรื่องอื่นได้บ้างนิดหน่อย
อย่างเช่น บางครั้งพวกเขาจะถกกันเรื่องปัญหาที่พบระหว่างการบำเพ็ญ เรื่องราวในหน่วยว่าการต่างๆ สถานการณ์ในแรกพยับและอื่นๆ แน่นอนเวลาพูดถึงแรกพยับ ในสายตานางยังมีความเจ็บปวดและโกรธเกลียด แต่นั่งหลังตรงโกรธแค้น ไม่เหมือนกับอาการกรีดร้องอย่างเอาเป็นเอาตายในตอนแรก
ต่อมามีครั้งหนึ่งเห็นเขาเพิ่งตื่นจากนอนกลางวัน ผ้าห่มบนเตียงยังไม่พับ นางก็ช่วยเขาพับให้เรียบร้อยอย่างเงียบๆ
ระหว่างนั้นมีสองวันเขาฝึกฝนและสูดลมหายใจเข้าเร็วเกินไปจนเกิดอาการติดขัด นางก็ช่วยไปเอาข้าวมาให้เขาเอง
เขาก็ไม่เข้าใจนางอยู่บ้าง นางควรจะเกลียดเขาเข้ากระดูกดำต่อไปมิใช่หรือ?
ทำไมกลับเปลี่ยนไปดีกว่าแต่ก่อน?
คิดอย่างไรเขาก็ไม่เข้าใจ ขณะเดียวกันก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในใจเขาบางๆ
โรคที่เรื่องใดล้วนต้องขุดหาความจริงถึงรากเขาถึงจะกล้าวางใจ พฤติกรรมซึ่งปลูกฝังมาแต่เด็กเช่นนี้กำเริบอีกแล้ว ดังนั้นตอนเขาเพิ่งเห็นนางเดินมาทางนี้จากที่ไกลๆ จึงตั้งใจเรียกเซียนหญิงที่อยู่ถนนตะวันตกมาพูดคุยในห้อง เซียนหญิงก็เป็นทหารใหม่เข้ามาปีนี้ แต่อายุเพียงห้าร้อยปี เพราะพบหน้าหลายครั้งในหน่วย และเขาก็เคยช่วยนางในเรื่องเล็กๆ มาหลายครั้ง ดังนั้นจึงคุ้นชินกับเขามาก
นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เขาเป็นตายก็ต้องออกจากสำนักแรกพยับให้ได้ เพียงไม่อยู่ที่แรกพยับจะไม่มีคนรู้ประวัติของเขา เมื่อเขาออกมา หากคิดอยากได้ความเคารพของผู้อื่นเป็นเรื่องง่ายนัก เพราะสวรรค์ก็เป็นยุทธภพ ใครมีความสามารถ มีอำนาจ ถึงแม้ผู้คนรู้ถึงจุดด่างพร้อย ก็สามารถเลือกมองข้ามไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นถึงวันนี้ก็มีเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องมลทินของเขา
จะว่าไปแล้ว
เขาพูดคุยกับเซียนหญิงในห้อง หน้าต่างกับประตูล้วนเปิดออก เช่นนี้สะดวกให้เหลียงชิวฉานที่เข้ามาจากข้างนอกเห็นพวกเขา และสะดวกให้เขาเห็นปฏิกิริยาของนางในตอนแรก
ตอนเขายกมือขึ้นทัดดอกไม้บนมวยผมเซียนหญิง เหลียงชิวฉานที่เพิ่งเข้ามาในลานเห็นเข้าพอดี
จากนั้นเขาเห็นสีหน้านางขาวจนไร้สีเลือด พริบตาเดียวนางก็โกรธจนแม้แต่ดวงตาก็แดงก่ำ
นางพุ่งเข้ามา ด่าทอเสียงดัง “หลินเจี้ยนหรู เจ้าสัตว์เดรัจฉาน” จากนั้นตบเซียนหญิงคนนั้น และคว่ำโต๊ะของเขาก่อนวิ่งออกไป
เซียนหญิงก็ตกใจจนวิ่งหนีไปแล้ว
ในห้องเหลือเพียงเขาคนเดียว
เขาไม่ได้โกรธเกรี้ยว หนึ่งคือเพราะเขาไม่สะทกสะท้านกับคำพูดด่าทอแบบนี้นานแล้ว สองคือเพราะตัวเขาเองก็กำลังรอคอยปฏิกิริยาของเหลียงชิวฉานอยู่
ดังนั้นตอนนี้เขาถึงแน่ใจ พฤติกรรมของเหลียงชิวฉานที่มีต่อเขาเปลี่ยนไปแล้ว
เขาตื่นเต้นเล็กน้อย!
หลังจากถูกเขาทำให้อับอาย คิดไม่ถึงว่าศิษย์คนโตผู้สูงส่งของเจ้าสำนักแรกพยับกลับเกิดความรู้สึกอาลัยอาวรณ์กับเขา
นางช่างต่ำต้อยเสียจริง…
แต่นี่ยังคงทำให้เขาสับสนอยู่บ้าง
ทำไมนางถึงใส่ใจว่าเขาใกล้ชิดกับหญิงคนอื่น? ความรู้สึกแบบนี้ของนางคือความรู้สึกประเภทไหน? เหมือนกับที่มองเขาเป็นของเล่นในกำมือพวกนางศิษย์พี่น้องแบบแต่ก่อนหรือไม่ หรือเกิดความรักแบบชายหญิงต่อเขาขึ้นมาจริง?
ความรักชายหญิง…พูดตามตรง เขาไม่กล้าคิดเลยจริงๆ
ควรรู้ว่าเขาเป็นลูกนอกสมรสต่ำต้อยในสายตาของพวกนาง เป็นสวะที่เทียบไม่ได้แม้กระทั่งสัตว์เดรัจฉาน เหลียงชิวฉานเป็นศิษย์คนโตผู้สูงส่งของหัวชิงเจ้าสำนักแรกพยับ แม้แต่จีหมิ่นจวินยังต้องไว้หน้านางสามส่วน ตลอดมาในใจนางจดจำแต่หัวชิงอาจารย์ของนาง นางจะเกิดความรักชายหญิงกับเขาได้อย่างไร?
เหมือนไม่ยินยอมให้เขาชอบเซียนหญิงคนอื่นเหมือนกัน
เขามองเศษกระเบื้องบนพื้น ยิ้มเยาะยืนขึ้นมา
นอกประตูเงียบสงบไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่รู้นางวิ่งไปถึงไหนแล้ว
แต่นี่เกี่ยวอะไรกับเขาด้วย?
สำหรับเขา นางเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งที่เขาใกล้โยนทิ้งแล้ว หากไม่ใช่เพราะยังสามารถใช้นางสอบถามข่าวเกี่ยวกับแรกพยับได้
เขานั่งลงดื่มชา จ้องตู้เก็บของที่อยู่ตรงหน้าสักพัก ระหว่างคิ้วมีความลังเล
ไม่ว่าพูดอย่างไร ในมือนางก็กุมความลับเขาไว้อยู่ หากนางโกรธจนทนไม่ได้ แพร่งพรายเรื่องทั้งหมดออกไปก็ไม่ดีแล้ว
เขาก้มหน้าครุ่นคิดสักครู่ จากนั้นวางถ้วยชาลุกขึ้นเดินออกประตูไป
หลินเจี้ยนหรูไปถึงลานบ้านที่นางอยู่ก่อน ทว่านางไม่อยู่ เซียนหญิงที่อยู่ลานเดียวกับนางบอกว่าเมื่อครู่เหมือนเห็นนางวิ่งไปทางตะวันตก
ทางตะวันตก ทางตะวันตกก็ออกจากสวรรค์แล้ว
แต่ออกจากสวรรค์ก็เป็นทางช้างเผือก ภูเขาแรดเผือกริมแม่น้ำเป็นที่ที่เขาเคยไปกับนางสองครั้ง
หรือนางจะไปที่นั่น?
เขาเกิดความใคร่รู้ในความรู้สึก เดินไปทางตะวันตกและออกจากสวรรค์จนถึงทางช้างเผือก มาถึงยอดเขาแรดเผือกที่ตอนนั้นต้องการพานางหลบซ่อน
หินโม่บนยอดเขา มีคนนั่งหันหน้าไปทางทางช้างเผือกที่ด้านล่างดังคาด เหมือนกับรูปปั้นที่ตั้งตระหง่านอยู่
“ศิษย์พี่เหลียงมาที่นี่ทำไม?”
เขาจงใจปรับน้ำเสียงให้อ่อนลง ถึงแม้รู้ว่าไม่จำเป็นต้องระมัดระวัง แต่ก็ไม่ควรทำนางโกรธในเวลานี้
เหลียงชิวฉานสะดุ้งตกใจ หันกลับมาทันที เห็นเพียงดวงตาคู่หนึ่งบวมเหมือนเหอเถา (วอลนัท) สายตาเหมือนกับมีดน้ำแข็งแทงเข้ามาก็ไม่ปาน
“ศิษย์พี่” เขาลองเข้าไปใกล้อีกนิด
“เจ้าอย่าเข้ามา!” เหลียงชิวฉานตะโกนขึ้นด้วยความโกรธกริ้ว ราวกับจะแตกสลายไปในเวลาพริบตาเดียว “เจ้าสัตว์เดรัจฉาน! ทำไมเจ้าไม่ไปตายเสีย?!”
“ข้าทำอะไรผิดหรือ?” เขาจ้องใบหน้านาง น้ำเสียงกลับสงบนิ่งมาก
“เจ้าไม่ได้ทำผิด! เป็นข้าผิดเอง ตอนนั้นข้าไม่ควรไปทำร้ายเจ้า ข้าไม่ควรโง่ขนาดถูกเจ้าข่มขู่ให้ไปทำร้ายจีหย่งฟางจริงๆ! หากข้าไม่ทำแบบนั้น ข้าก็ไม่ต้องมาพัวพันกับเจ้า! ยิ่งไม่ต้องถูกเจ้าถอดเสื้อผ้าทำให้อับอายแล้วไปพลอดรักกับหญิงอื่นทันที!”
เหลียงชิวฉานตะโกนเอาตะโกนเอาก่อนพลันร้องไห้ สะอื้นจนแม้แต่ยืนนางยังยืนไม่ตรง
“เจ้ามันสัตว์เดรัจฉาน! คนระยำ เป็นคนที่ต่ำช้าที่สุดในสวรรค์ เจ้าไสหัวไป!”
“ศิษย์พี่ใจเย็นหน่อย!” หลินเจี้ยนหรูลองทำให้นางสงบ “ศิษย์พี่เข้าใจผิดแล้ว ข้ากับเสี่ยวชิงเพียงพูดคุยเรื่องงานในหน่วยไม่กี่ประโยค ข้าไม่ได้ทำอะไรกับนาง ศิษย์พี่ดีกับข้าขนาดนี้ ข้าจะไม่ซาบซึ้งได้อย่างไร?”
เหลียงชิวฉานกอดเข่าทั้งสองร้องไห้เสียงดัง
เขาสบโอกาส จับแขนนางดึงขึ้นมา เหลียงชิวฉานพยุงตัวไม่อยู่จึงล้มลงไปในอกเขา
เขานึกรังเกียจอยู่บ้าง แต่ยังไม่ปล่อยนางออกไป
ไม่ใช่กลัวนางคิดไม่ตก ถึงแม้ภูเขานี้จะสูง แต่นางคิดโดดลงไปตายก็ยังไม่อาจสำเร็จได้
เขาเพียงตอบรับความเจ็บปวดของนาง ทำเรื่องที่นางคาดหวังไว้ก็เท่านั้น
อย่างไรเสีย สำหรับเขาแล้วนางยังมีประโยชน์อยู่บ้าง
……………………………………………………