ในใจมู่จิ่วกลับค่อนข้างเฉยเมย ถึงแม้เหลียงจีรักเขามากพอ ก็ไม่ได้หมายความว่านางไม่มีเหตุผลที่จะไป?
หากเขาทำอะไรผิดล่ะ?
อา นางเห็นเรื่องรักหลายใจยุ่งยากมามาก ไม่อาจโทษที่นางคิดมากได้
ลู่ยากลับถามออกมาแม้นางจะไม่ได้เอ่ยไป “เจ้าทำอะไรผิดต่อนางมาก่อนหรือไม่?”
“ไม่มีขอรับ” ซื่ออินตอบ “พวกเราอยู่ด้วยกันตั้งแต่เด็กจนโต หลายปีขนาดนี้ ถึงแม้ทะเลาะเบาะแว้งเล็กๆ น้อยๆ บ้าง แต่ล้วนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร และไม่เคยทิ้งความบาดหมางอะไรไว้ ข้ายินยอมสละทุกอย่างเพื่อนาง พ่อและแม่ของข้าก็ชอบนางมาก พูดได้ว่าระหว่างพวกเราไม่มีอุปสรรคอะไรขวางกั้น”
มู่จิ่วพินิจมองเขาสักครู่ เห็นเพียงความมั่นคงในแววตาเท่านั้น ดูแล้วคงไม่ได้พูดเกินจริง
คนหนึ่งคนสามารถเชื่อมั่นแน่วแน่แบบนี้ได้หลังจากผ่านไปห้าร้อยปีแล้ว อย่างไรก็ต้องเป็นความจริงสักหลายส่วน
แต่นี่ก็น่าแปลกนัก ในเมื่อคนสองคนรักกันและถึงขั้นจะแต่งงานกัน ทำไมนางถึงหายตัวไปกะทันหัน?
มู่จิ่วมองลู่ยา เขาไม่ได้แสดงออกอะไร
“เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีคนลักพาตัวนาง?” ตอนนี้เองซ่างกวนสุ่นก็เดาขึ้นมา
พูดถึงเรื่องหายตัว นอกจากเสียใจแล้วหนีจากไป ที่เหลือส่วนใหญ่ก็มีเพียงถูกลักพาตัวหรือพบเจออันตราย
“ไม่ใช่ขอรับ” ซื่ออินพูด “ข้ารับใช้หญิงในวังเห็นนางเดินออกไปเอง และเป็นนางเองที่บอกว่าออกไปแล้วเดี๋ยวกลับมา อีกทั้งไม่มีคนมาหานางที่วัง วันนั้นข้าออกไปทำธุระข้างนอกพอดี ยังไม่ทันกลับมา วันรุ่งขึ้นถึงได้รู้เรื่องที่นางหายตัวไป”
มู่จิ่วก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
ในเมื่อไม่ใช่เพราะเสียใจ ไม่ได้พบเจออันตราย หรือว่าจะหายไปในอากาศ?
ทุกคนในห้องล้วนเงียบ
“บนตัวเจ้ามีสิ่งของของนางติดตัวหรือไม่?” ลู่ยามองซื่ออิน
ซื่ออินครุ่นคิด ก่อนหยิบแหวนรูปทรงโบราณจากกระเป๋าเล็กออกมา “นี่เป็นของขวัญวันเกิดที่ข้าให้นางตอนอายุครบหมื่นปี”
มู่จิ่วถามทันที “ในเมื่อเป็นของขวัญที่สำคัญขนาดนี้ ตอนนั้นทำไมนางไม่ใส่ไปด้วยล่ะ?”
ซื่ออินตอบ “วันเกิดทุกพันปีข้าจะให้ของขวัญนาง ภายหลังอายุถึงสามหมื่นปี ของขวัญก็มากมายจนใส่ไม่ไหวแล้ว แหวนนี้ถูกของใหม่เข้าแทนที่ นางไม่ทิ้งของที่ข้าให้อย่างส่งเดชแน่นอน” ปลายประโยคเขาเน้นย้ำเช่นนี้
ได้ยินเขาเอ่ยเน้นแบบนี้ ใบหน้ามู่จิ่วร้อนจนไม่ไหว นางถอยไปด้านหลังลู่ยา ก่อนยื่นมือออกไปลูบ
ลู่ยายกริมฝีปาก หันหน้ามาพูดกับนาง “ข้ากระหายแล้ว ช่วยข้ารินชามาที”
มู่จิ่วรีบถอยออกจากประตูไป
ดึกมากแล้ว สรรพสิ่งเงียบสงบ แสงจันทร์สาดส่องผืนแผ่นดิน ดอกไม้ต้นไม้ในลานเริ่มรับพลัง
ครั้นมาถึงห้องครัว มู่จิ่วก็หายลำบากใจแล้ว แต่ความคิดกลับยังติดอยู่กับคำพูดของซื่ออิน
ไม่รู้ว่าสาเหตุอะไรที่ทำให้เหลียงจีจากไปไม่ลา ความรู้สึกลึกซึ้งของซื่ออินควรจะรั้งหญิงทุกคนบนโลกนี้ได้ถึงจะถูก แต่นางกลับหายไปเหมือนกับปริศนา
ไม่รู้ว่าลู่ยาจะสืบอะไรได้หรือไม่?
หลังรินชาแล้วกลับมาในห้อง ชัดเจนว่าลู่ยาดูแหวนนั้นแล้ว “ไม่มีผมหรือเลือด จึงมองไม่เห็นเหตุการณ์แน่ชัดของนาง เห็นเพียงบางส่วนเท่านั้น” เขามองแหวนวงนั้น “พี่สาวของนางแต่งงานแล้วหรือ?”
“ใช่ขอรับ” ซื่ออินก็ลุกขึ้นมายืนข้างเขาแล้ว “ปีนั้นราชาของอาณาจักรหนานเซียงมาสู่ขอ ท่านแม่ช่วยจัดงานแต่งของอู่เจินพี่สาวนางกับเขา เพียงแต่ตอนนี้นางตายแล้ว”
“ตายแล้ว?” เสี่ยวซิงเบิกตากว้าง
“ห้าพันปีก่อน อู่เจินแต่งให้กับเซวียนหยวนฮุ่ยราชาของอาณาจักรหนานเซียง พวกนางสองพี่น้องเป็นหญิงงามที่มีชื่อเสียงในหลายอาณาจักรทางเหนือของพวกเรา โหย่วเจียงและหนานเซียงแต่ก่อนไม่เคยติดต่อกันมาก่อน แต่ปีนั้นมาสู่ขอกะทันหัน บอกว่าอยากสร้างมิตรไมตรีกับโหย่วเจียง”
“ท่านแม่ข้าเห็นเซวียนหยวนฮุ่ยสูงใหญ่แข็งแรง วิชาการรบก็สูงส่ง ถึงแม้พวกเราเผ่าพันธุ์เสือขาวแต่งงานกับคนนอกน้อยมาก แต่ดีร้ายเขาก็เป็นราชาของอาณาจักรหนึ่ง และเพราะข้ากับเหลียงจีใจตรงกัน ตกลงปลงใจจะแต่งงานกันอยู่แล้ว หากอู่เจินอยู่ที่โหย่วเจียงต่อ อย่างมากก็แต่งให้น้องชายข้า แม่ของข้าไม่อยากปฏิบัติต่อนางอย่างไม่ยุติธรรม เพราะคิดว่านางแต่งไปก็เป็นราชินีของหนานเซียง จึงถามความเห็นของอู่เจิน และตกลงเรื่องแต่งงานนี้ไป”
“แต่พวกเราคิดไม่ถึงว่าเซวียนหยวนฮุ่ยจะเป็นคนหน้าเนื้อใจเสือ! ตอนแรกอู่เจินแต่งไปก็สงบเรียบร้อยดี แต่ไม่นานนักวันหนึ่งนางกลับมาคร่ำครวญร่ำไห้กับแม่ข้า เซวียนหยวนฮุ่ยไม่รู้ไปฝึกวิชามารไร้นามจากไหน ตัณหาราคะไร้ขอบเขต วันคืนพัวพันอยู่กับอู่เจิน ทำให้นางลำบากจนไม่อาจเอ่ย”
“แม่ข้าส่งคนไปพูดกับเซวียนหยวนฮุ่ยหลายครั้ง เขากลับวางเฉย ภายหลังเมื่อพ่อข้าเดินทางไปหาเขาที่อาณาจักรหนานเซียงด้วยตนเอง ต่อหน้าเซวียนหยวนฮุ่ยรับปากจะเปลี่ยนแปลง ไหนเลยจะรู้ว่าหลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้ข่าวว่าอู่เจินป่วยหนัก! ข้ากับเหลียงจีเดินทางไปดูก่อน เห็นเพียงอู่เจินผอมจนเหลือแต่กระดูก พลังฤทธิ์ทั้งร่างหายไปไร้ร่องรอย แม้แต่ร่างเดิมยังปรากฏออกมารางๆ!”
ซื่ออินพูดถึงตรงนี้ก็กำหมัด ใบหน้าปรากฏความโกรธแค้น
มู่จิ่วกับลู่ยาหันมาสบตากัน สุดท้ายเขาเงียบไปสักครู่ ก่อนถามขึ้น “ต่อมานางก็ตาย?”
“พวกเรากลับมาได้ไม่นานนางก็ตาย นางที่ไม่มีพลังไม่ต่างกับลูกเสือที่เพิ่งเกิด หนำซ้ำพลังปราณของนางเสียหายหนัก มีเพียงหนทางตายเท่านั้น” ซื่ออินกุมมือพลางพูด “ถึงตอนนี้พ่อแม่ข้ายังโทษตนเองที่ให้นางแต่งให้กับเจ้าสารเลวนั่น เพราะเห็นแก่ตำแหน่งราชินีในตอนแรก ตอนอู่เจินตาย เหลียงจีตกใจตื่นกลางดึก จากนั้นร้องไห้วิ่งมาหาข้าที่ห้อง”
“ข้านำกำลังคนไปรบกับเซวียนหยวนฮุ่ยหลายครั้ง สุดท้ายก็ไม่รู้ผลแพ้ชนะ ต่อมาเพื่อป้องกันการสูญเสียกำลังและทรัพยากร เหลียงจีจึงร้องขอให้หยุดสงคราม แต่หลายพันปีมานี้พวกเรากับอาณาจักรหนานเซียงเป็นเหมือนน้ำกับไฟมาตลอด ถึงแม้ไม่มีสงคราม แต่เป็นตายก็ไม่ไปมาหาสู่กันเด็ดขาด”
ลู่ยามองมู่จิ่ว ยกชาที่อุ่นแล้วขึ้นมา
มู่จิ่วเข้าใจความหมายของเขา ในเมื่อพี่สาวคนเดียวของเหลียงจีตายแล้ว ซื่ออินตามหาที่อยู่ของนางมาห้าร้อยปีไม่พบก็เป็นเรื่องที่ให้อภัยได้
บนโลกนี้หากคนผู้หนึ่งตั้งใจหลบซ่อนตัวจากใครอีกคน เช่นนั้นก็ง่ายดายมาก
ประเด็นสำคัญคือ ที่สุดแล้วเหลียงจีตั้งใจหลบซ่อนตัวหรือเจอเรื่องอันตรายจนกลับมาไม่ได้?
นางครุ่นคิดสักครู่ก่อนถาม “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเซวียนหยวนฮุ่ยแต่งงานกับอู่เจินเมื่อไหร่นะ?”
“ห้าพันปีก่อน” ซื่ออินตอบ “พูดอย่างชัดเจนคือห้าพันสามสิบเอ็ดปี ข้าจำวันได้แม่นยำนัก เพราะความรู้สึกของเหลียงจีกับพี่สาวนั้นลึกซึ้งมาก นางบันทึกเวลานี้ไว้บนเสาในห้อง และหลายปีมานี้ข้ากลับวังไปก็ใช้เวลาอยู่ในห้องนางนาน ดังนั้นข้าจึงจำได้ชัดเจน”
สีหน้าของมู่จิ่วเปลี่ยนไป
เป็นห้าพันปีก่อนอีกแล้ว!
ถ้วยชาของลู่ยาก็หยุดค้างอยู่ในมือ ความประหลาดใจบนใบหน้าชัดเจนเหมือนรอยมีดฟันลงมา
“เซวียนหยวนฮุ่ยมีที่มาอย่างไร?” มู่จิ่วสะกดกลั้นคลื่นในใจนาง ก่อนถามต่อ
ซื่ออินสัมผัสได้ว่าสีหน้าของพวกเขาแปรเปลี่ยน
ก็ไม่รู้ว่าทำไม จึงทำได้เพียงตอบไป “อาณาจักรหนานเซียงเป็นเขตของเสือลายเหลือง บรรพบุรุษของเซวียนหยวนฮุ่ยคือสกุลโหย่วซยง เป็นพาหนะของหวงตี้ (จักรพรรดิเหลือง) สกุลเซวียนหยวน ภายหลังอาณาจักรเซวียนหยวนแยกจากกัน คนในเผ่ากระจายกันไป สายหลักของราชินีเปลี่ยนชื่ออาณาจักรเป็นโหย่วซยง พาหนะของโหย่วซยงจึงใช้แซ่เซวียนหยวนตาม จากนั้นบุกเบิกพื้นที่ทางตอนเหนือของอาณาจักรโหย่วซยง ปกป้องลูกหลานเผ่าโหย่วซยง ค่อยๆ แตกรากสาขา จนกลายเป็นอาณาจักรหนึ่งเช่นกัน”
……………………………………