หลายวันมานี้ซื่ออินกลายเป็นเหมือนเด็กรับใช้ของลู่ยา ลู่ยาก็ไม่เกรงใจ ซื่ออินยกชาส่งน้ำให้เขาก็รับไว้ ซื่ออินเตรียมพู่กันหมึกเขาก็รับ ไม่ต่างอะไรกับความนอบน้อมของซ่างกวนสุ่นในตอนนั้นเลย ทว่าก็ไม่มีอะไรแตกต่างจริงๆ หากบรรพบุรุษของซ่างกวนสุ่นไม่ได้แยกออกมา เขากับซื่ออินก็สามารถนั่งในระดับเดียวกันได้
ตอนลู่ยาล้างหน้า มู่จิ่วพูดกับซื่ออินที่กำลังเก็บกวาดของกระจุกกระจิกบนโต๊ะ “เป็นไปได้หรือไม่ว่าเหลียงจีตกอยู่ในที่อันตรายและหลบหนีออกมาไม่ได้ จึงจำใจต้องส่งอาฝูมา?”
อย่างไรเสีย จากสถานที่ที่อาฝูปรากฏตัวออกมา รวมทั้งเสื้อผ้าและปิ่นที่ฝังอยู่ใต้ต้นหางนกยูง ก็สามารถบอกได้ว่าก่อนอาฝูจะเจอกระต่ายหยกตัวนั้นเขาอยู่กับเหลียงจี หากอาฝูอยู่กับนางแล้วปลอดภัย ทำไมนางถึงต้องทำแบบนี้? อีกอย่าง หากนางมีอิสระมากพอ ทำไมไม่ส่งอาฝูไปยังอาณาจักรโหย่วเจียงโดยตรงเลย?
“ข้ายังคิดว่าคนที่ลบความทรงจำอาฝูน่าจะเป็นเหลียงจีเอง ถึงแม้ข้าไม่รู้ว่านางทำแบบนี้เพราะอะไร แต่ถึงกับใช้เลือดหัวใจและใช้คาถาที่ไม่มีอันตรายต่ออาฝูเช่นนี้ นอกจากแม่ที่อยากปกป้องเขาแล้วยังเป็นใครได้อีก?”
มือทั้งสองของซื่ออินชะงัก เขาเงียบไปสักครู่ก่อนหันกลับมา “ที่จริงความคิดของข้าก็ไม่ต่างกับเจ้าเท่าไหร่นัก ข้าเดาว่านางต้องพบเจออันตราย แต่ข้าก็ไม่เข้าใจเช่นกัน นางส่งอาฝูกับห่อผ้ามาได้อย่างไรในเมื่อนางหนีออกมาไม่ได้? นางส่งอาฝูออกมาเพื่อปกป้องเขา ส่งปิ่นทองคงเพื่อใช้ติดต่อข้า”
“ข้าเดาว่าบางทีนางคงพาอาฝูไปถึงภูเขาเรือพอดี จากนั้นก็เดินไม่ไหวแล้ว จึงฝังสิ่งของไว้ใต้ต้นไม้ แต่หากเป็นแบบนี้ ทำไมนางต้องลบกลิ่นอายของนางบนสิ่งของและความทรงจำของอาฝู?”
มู่จิ่วรู้สึกว่ามีข้อสงสัยมากมาย จึงมาหาลู่ยาแต่เช้าตรู่
นางคิดตามคำพูดของเขา จากนั้นเอ่ยขึ้น “ข้อสรุปที่น่าจะถูกคือตอนนี้นางต้องลำบากอยู่แน่นอน เพียงแต่ไม่รู้ว่าใครทำร้ายนาง อาณาจักรโหย่วเจียงของท่านมีความแค้นกับโหย่วซยงและหนานเซียง หรือจะเป็นสองฝ่ายที่ว่าทำเรื่องชั่วร้ายนี้?”
ระหว่างที่พูด ลู่ยาล้างหน้าเสร็จแล้ว กำลังมองคางของตนเองอยู่หน้ากระจกทองแดง
ซื่ออินกล่าว “เรื่องนี้ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะหลังจากที่เหลียงจีหายตัวไป ตอนแรกข้าก็เคยสงสัยเซวียนหยวนฮุ่ย เพราะก่อนอู่เจินตายเขายังมีพฤติกรรมค่อนข้างผิดปกติ และภายหลังก็เหมือนไม่ได้ดีขึ้น สรุปคือในวังราชาหนานเซียงเละเทะวุ่นวาย แต่พวกเราสร้างเขตพลังที่แกร่งมากไว้รอบวังราชาของเรานานแล้ว เจ้าก็รู้ว่าบรรพบุรุษของพวกเราอยู่รับใช้ข้างกายเซิ่งจุนทั้งสาม วิชาเซียนป้องกันศัตรูไม่ด้อยแน่ๆ”
“และประตูของอาณาจักรพวกเราก็ป้องกันไว้แน่นหนามาก หากพวกเขาคิดบุกเข้ามาคงลำบากยิ่ง”
สิ่งที่เขาพูดก็มีเหตุผล
เหลียงจีอาศัยอยู่ในวังราชา เสือลายเหลืองไม่สามารถลักพาตัวนางไปจากแดนเผ่าพันธุ์เสือขาวได้แน่
“แบบนั้นเป็นไปได้หรือไม่ว่านางถูกลักพาตัวหลังจากออกไปข้างนอก?”
“เป็นไปไม่ได้” ซื่ออินส่ายหน้าติดกัน “เรื่องนี้ข้าเคยยืนยันหลายครั้งแล้ว ข้าแน่ใจว่านางหายตัวไปเอง”
เช่นนี้ก็อับจนหนทางแล้ว
ใกล้จะเป็นเจ้าสาวอยู่ดีๆ ทำไมกลับคิดไม่ตกหายตัวไปล่ะ?
นางคงไม่ได้มีภาวะกังวลก่อนคลอด แล้วเกิดสงสัยโลกสงสัยชีวิตขึ้นมากะทันหัน จากนั้นหลบเร้นไปเพราะเหตุนี้ สุดท้ายตกไปอยู่ในมือของคนชั่ว จึงส่งลูกที่คลอดออกมาหาครอบครัวหรอกกระมัง?
“เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
มู่จิ่วรู้สึกว่าสมองของนางขมวดเป็นปม ทำได้เพียงถามลู่ยาที่ไม่พูดมาตลอด
จนลู่ยามองตนเองในกระจกจนพอใจแล้ว ถึงได้เอ่ย “ห้าพันปีก่อนเสือลายเหลืองต้องเจอกับอะไรบางอย่าง จิตใจถึงได้เปลี่ยนไปมาก ข้าเดาว่าเพราะเหตุนี้เขาถึงไปขอแต่งกับอู่เจินที่อาณาจักรโหย่วเจียง ข้าคิดเช่นนี้ ห้าพันปีก่อนมีคนจับจ้องเผ่าเสือขาวแล้ว และวางแผนใช้ประโยชน์ให้เสือลายเหลืองก่อสงครามกับเสือขาว”
เขาพูดแบบนี้ทำให้มู่จิ่วออกจะคาดไม่ถึง
ซื่ออินขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพูด “แต่พวกเราโหย่วเจียงแต่เดิมก็มีข้อบาดหมางกับโหย่วซยงอยู่แล้ว ทำไมพวกเขายังต้องสร้างเรื่องใช้ประโยชน์หนานเซียงด้วย? อีกอย่าง ใครจะมองพวกเราเผ่าเสือขาวเป็นศัตรูกัน?”
สิ่งที่สำคัญคือเขามองไม่ออกว่านี่เกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของเหลียงจีอย่างไร
“ความโกรธแค้นบางอย่างก็ไม่มีเหตุผล ใช่ว่าสงครามทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นเพราะความแค้น” ลู่ยาเอ่ย “เช่นความบาดหมางของชิงผิงกับหลีหัง ตระกูลอวิ๋นแห่งทิวเขาริ้วหยกกับตระกูลอ๋าวแห่งทะเลสาบน้ำแข็ง ทุกวันนี้โหย่วซยงไม่มีอำนาจนานแล้ว ฝ่ายที่กำลังผงาดขึ้นมาคือหนานเซียง หากข้าเดาไม่ผิด ก่อนอู่เจินตาย ไม่ว่าโหย่วซยงกับโหย่วเจียงรบกันหนักขนาดไหน หนานเซียงก็ไม่เคยเข้าช่วยโหย่วซยงเลย”
ซื่ออินชะงักก่อนอุทานทันที “ไม่ผิด! สักครั้งก็ไม่มี! ก็เพราะแบบนี้พวกเราถึงได้เชื่อใจเซวียนหยวนฮุ่ย!”
“แบบนั้นก็ถูกแล้ว” ลู่ยาพูด “เสือลายเหลืองมีแผนของพวกเขา แม้แต่องค์หญิงของเผ่าพันธุ์เสือขาวโหย่วซยงยังดูแคลน นับประสาอะไรกับเสือลายเหลืองที่เคยเป็นข้ารับใช้พวกเขา? เสือลายเหลืองมองฐานะของตนเองออกจากเรื่องบาดหมางของพวกเจ้าสองตระกูล จึงไม่เข้าช่วยเหลือ และอ้างชื่อปกป้องรักษาเฝ้าระวังอยู่ที่ทางเหนือ”
“เสือลายเหลืองผ่านการพักฟื้นฟูหลังสงครามมาหลายปี หากพูดจากกำลังที่แท้จริง เทียบกับโหย่วซยงที่มองตนเองสูงส่งแล้วคงแข็งแกร่งกว่ามากแน่ หากมีคนอยากทำลายเผ่าพันธุ์เสือขาวอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว หรืออยากได้ประโยชน์อะไรจากพวกเขา แบบนั้นให้หนานเซียงกับโหย่วเจียงเป็นศัตรูกัน เขาก็ไม่ต้องแบกรับความรับผิดชอบสักนิด”
ซื่ออินกลั้นลมหายใจ
ลู่ยาตรงหน้ามีท่าทีสบายๆ บุคลิกสง่าดั่งเซียน ไม่ขมวดคิ้วเหมือนสองวันก่อน คำพูดที่พูดออกมาก็ตรงประเด็น เหมือนกับเห็นความลับทะลุปรุโปร่ง
“พูดแบบนี้ เซิ่งจุนชี้ตัวคนผู้นี้ได้แล้วหรือขอรับ?”
ลู่ยาพยักหน้า มองมู่จิ่วที่กลั้นลมหายใจไว้ในลำคอ “ไม่พูดถึงเรื่องเวลาห้าพันปีก่อนที่ตรงกันก่อนเลย เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าเรื่องโหย่วเจียงมีจุดร่วมเหมือนกับคดีชิงชิวและคดีตระกูลอ๋าวอยู่?”
“มี!” มู่จิ่วพูด “คดีชิงชิวนั้นก็เริ่มจากของวิเศษหายไป สร้างความโกรธแค้นระหว่างชิงชิวกับลัทธิฉ่าน ถึงแม้สุดท้ายยืนยันว่าอู่เต๋อเป็นผู้กระทำ แต่การหายไปของเฟยอีกลับเกิดขึ้นเมื่อห้าพันปีก่อน ยังมีเหล่าของวิเศษเหล่านั้นที่ไม่รู้ไปอยู่ไหน อย่างน้อยแสดงว่ายังมีคนอยู่เบื้องหลังคดีนี้”
“เพราะแย่งชิงกุญแจจันทราหยาง ใยแมงมุมที่พวกเจ้าเจอที่ภูเขาคุนหลุนตะวันออกก็ยืนยันว่าความโกรธแค้นของทั้งตระกูลอ๋าวและตระกูลอวิ๋นมีคนชักใยอยู่เบื้องหลัง หากในวันนี้เจ้าบอกว่าหนานเซียงกับโหยวเจียงก็ถูกคนชักใยเช่นกัน และจิตใจของเซวียนหยวนฮุ่ยยังเปลี่ยนไปมากเพราะพบเรื่องประหลาด นี่ก็แสดงว่าเบื้องหลังเสือลายเหลืองอาจมีอีกคนอยู่!”
ลู่ยาเลิกคิ้วก่อนถามต่อ “หากคนทั้งสามที่ว่านี้เป็นคนคนเดียวกันล่ะ?”
มู่จิ่วอ้าปากค้างมองเขา ไม่รู้จะพูดอะไรดี
ไม่ต้องให้เขาพูด นางก็คาดเดาไว้แบบนี้แล้วเช่นกัน เบื้องหลังของคดีที่พวกเขาทำทั้งหมดหรือเรื่องที่ผ่านมาล้วนมีส่วนโยงใยคล้ายคลึงกัน พูดได้ว่า เป็นไปได้สูงมากที่จะมีคนหนึ่งหรือพลังอำนาจบางอย่างกำลังชักใยเรื่องเหล่านี้อยู่ในที่ที่พวกเขามองไม่เห็น
…………………………………………………………………