ถึงแม้มู่จิ่วรู้ว่าในใจหวังหมู่มองฉางเอ๋อร์เป็นมือที่สามไปแล้ว แต่ตอนนี้ไม่มีความคิดจะนำนางมาเทียบกับอวิ๋นเฉี่ยน
“ท่านเซียนมีเรื่องลำบากใจจะพูดหรือไม่?”
มู่จิ่วทำได้เพียงถามต่อ ไม่รู้ว่านางทำแบบนี้เป็นการได้คืบเอาศอกหรือไม่
“ไม่มี”
ฉางเอ๋อร์เบือนหน้าไปมองทางอื่น ไม่พูดอะไรมากอีก ก้าวเท้าออกจากศาลาไป
กระต่ายหยกรีบกระโดดตามออกไป มู่จิ่วสบโอกาส เคลื่อนตัวเข้าไปอุ้มมันขึ้นมา จากนั้นวิ่งตามฉางเอ๋อร์เพื่อส่งกระต่ายคืนให้นาง “ท่านเซียนทิ้งมันไว้ รบกวนท่านแล้ว มู่จิ่วขอโทษจากใจจริง ขอลาก่อน”
ฉางเอ๋อร์พยักหน้าอย่างมึนงง ก่อนเดินหน้าต่อไป
มู่จิ่วมองขนกระต่ายในมือ ตบๆ หัวอาฝูอย่างดีใจหนึ่งที “พวกเราก็ไปกันเถอะ!”
กระต่ายหยกกับฉางเอ๋อร์ตัวติดกัน สถานที่ที่นางไปกระต่ายหยกก็ต้องไปด้วย! ตอนอุ้มกระต่ายเมื่อครู่ นางดึงขนออกมากระจุกหนึ่ง นางเพียงนำไปให้ลู่ยาดึงความทรงจำของกระต่ายหยกออกมา ก็มิเท่ากับเป็นการดูความทรงจำของฉางเอ๋อร์หรอกหรือ?
กลับถึงสวรรค์ก็ยามบ่ายแล้ว
มู่จิ่วรับคดีใหม่นี้มา จึงไม่กลับไปที่หน่วยแล้ว
รุ่ยเจี๋ยกับเสี่ยวซิงกำลังตากถั่ว จากนั้นเอาไปทำถั่วต้มเกลือไว้ให้เขากับอาฝูสองคนใช้ขัดฟัน ในอ่างน้ำที่ตั้งอยู่ข้างรุ่ยเจี๋ยมีปลาสองตัว ตอนเช้ามู่จิ่วสั่งให้เขาตามเสี่ยวซิงไปซื้อให้อาจารย์ เด็กคนนี้ซื่อตรงอย่างมาก กลัวว่าปลาจะกระโดดหนีไปจนไม่สามารถส่งงานที่มอบหมายได้ จึงจับมันใส่ในอ่างน้ำเอาไว้ข้างกายตลอด
มู่จิ่วเข้าประตูมาก็ล้างมือก่อน ได้ยินว่าซื่ออินอยู่ห้องลู่ยา จึงรีบพาอาฝูไปห้องนั้น
ตอนนี้ลู่ยากำลังเขียนคัมภีร์ บนโต๊ะมีชาที่เข้มข้นพอดีวางอยู่ ซื่ออินยืนอยู่บนพื้นอย่างเคารพพลางฝนหมึกให้เขา เป็นองค์ชายแห่งเผ่าพันธ์ุเสือขาว แต่ต่อหน้าลู่ยาก็เป็นเพียงคนรุ่นเยาว์ที่แหงนหน้ามองบุคคลที่ตนชื่นชมเท่านั้น
“ข้ากลับมาแล้ว!”
มู่จิ่วพุ่งเข้าประตูมาถึงตรงหน้าลู่ยา ส่วนอาฝูก็เหมือนกับดาวตกตรงเข้าไปหมอบอยู่ตรงเท้าซื่ออิน
ลู่ยาใช้พู่กันปัดจมูกนาง เขียนตัวอักษรที่เหลืออยู่อีกสองตัวก่อนหยุด ส่วนซื่ออินนั่งยองลงไปลูบหัวอาฝู ราวกับเขารออาฝูมานานแล้ว ความอ่อนโยนเอ็นดูในดวงตานั้นคล้ายต้องการหลอมละลายอาฝู
“ข้าเอาขนกระต่ายกลับมากระจุกหนึ่ง!” มู่จิ่วเอาขนกระต่ายที่ห่อไว้ในกระเป๋าเล็กออกมา “ฉางเอ๋อร์ไม่ยอมบอกว่าวันนั้นนางไปไหน ข้าจึงดึงขนกระต่ายของนางออกมา”
นางเล่าเรื่องที่ผ่านมาให้พวกเขาฟังจนจบ แต่ละเรื่องที่ฉางเอ๋อร์ไปเจออวี้ตี้ไว้เพราะซื่ออินอยู่ด้วย
ลู่ยาก็ไม่พูดมากความ หยิบกระจกทองแดงออกมา วางขนกระต่ายไว้ข้างใต้ จากนั้นยื่นมือไปสะบัดผ่านเหนือกระจก ในกระจกค่อยๆ ปรากฏวังอันสวยงามหลังหนึ่งขึ้นมา นั่นคือวังเหมันต์จันทรา แต่เบื้องหน้าส่วนใหญ่เป็นกระต่ายหยกเดินเล่นเป็นเพื่อนฉางเอ๋อร์ เห็นผู้คนหลากหลาย บทสนทนาก็เข้าหูมาไม่ขาดสาย
เห็นได้ชัดว่ามันพอใจกับชีวิตกระต่ายของตนเองมาก เพราะภาพตลอดทางบางเบาและขาวโพลน ไม่เห็นใบหน้าของคนบางกลุ่ม และก็ฟังไม่ออกว่าพูดอะไรบ้าง กระทั่งบางส่วนยังขมุกขมัว นี่แสดงว่ามันไม่ใส่ใจเรื่องคนเหล่านี้ ไม่ใส่ใจอะไรทั้งนั้น
ลู่ยาพลิกไปยังช่วงเร็วๆ นี้ เมื่อเข้าใกล้ส่วนท้าย ในที่สุดก็ปรากฏภาพที่ชัดเจน ในภาพเป็นทิวเขา ภูเขาป่าเขียวขจี สายน้ำครามทอดยาว รอบด้านมีดอกไม้อุดมสมบูรณ์ สำคัญคือยังมีกระต่ายตัวผู้มากมาย…
ภาพยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง กลุ่มกระต่ายเล่นกันอยู่บนทุ่งหญ้า กระต่ายตัวผู้ในภูเขาเห็นกระต่ายหยกก็รู้สึกแปลกใหม่อย่างมาก ไม่รู้ว่ามีสาวน้อยจากในเมืองโผล่มาจากไหน ล้อมนางมองซ้ายมองขวา ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่กล้าเข้าใกล้ สุดท้ายกระต่ายหยกรู้สึกว่าไม่น่าสนใจแล้ว จึงค่อยสะบัดก้นกระโดดกลับไปที่เดิม
ภาพเปลี่ยนไปครั้งนี้ กลับเห็นฉางเอ๋อร์หยุดอยู่ตรงหน้าเกี้ยวหยกตรงป่าเขา และมีคนอีกคนหนึ่ง รูปร่างผอมบาง สวมเกราะเงิน ประดับปิ่นมังกรคู่บนหัว สวมรองเท้ากิเลนพื้นดำ มองอย่างละเอียดคนคนนี้มีคิ้วกระบี่ตาเป็นประกาย สง่างามมีพละกำลัง ทว่ากลับไม่ใช่อวี้ตี้!
มู่จิ่วตกตะลึง ชัดเจนว่าฉางเอ๋อร์ลอบนัดพบกับอวี้ตี้ ทำไมตอนนี้ถึงนัดพบกับชายอื่นล่ะ?!
“นี่คืออู๋กาง” ลู่ยาพูด “พวกเขาเหมือนกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่”
อู๋กาง? นี่คืออู๋กาง
นางยังเข้าใจว่าอู๋กางที่ถือขวานใหญ่เป็นชายหยาบร่างกายสูงใหญ่!
ในภาพพวกเขาสองคนกำลังหารือเรื่องอะไรอยู่แน่นอน ไม่เหมือนท่าทางมาลอบนัดพบ เห็นเพียงฉางเอ๋อร์มองบนภูเขาไปพลาง ขมวดคิ้วแน่นไปพลาง แต่อู๋กางชี้ไปรอบทิวเขา ปากกำลังพูดอยู่ แต่เพราะกระต่ายไม่สนใจเลยว่าพวกเขาทำสิ่งใด ดังนั้นพวกเขาพูดอะไรก็ได้ยินไม่ชัด
มู่จิ่วกำลังคิดจะถามว่าพวกเขากำลังทำอะไร ตอนนี้เอง เงาร่างสีขาวพลันกลิ้งลงจากเกี้ยวหยกบนเขานั้น เหมือนกับก้อนหิมะกลิ้งตรงลงมาข้างล่าง สุดท้ายมาหยุดอยู่หน้ากระต่ายหยก กระต่ายหยกตกใจหมุนตัววิ่งไป! วิ่งไปสักพักถึงหันหัวกลับมา เห็นเสือขาวน้อยขนาดเพียงสองฉื่อลุกขึ้นมาจากพื้นหญ้า สะบัดหญ้าบนตัว แล้วจึงมองไปรอบด้านอย่างว่างเปล่า…
“อาฝู!”
คนทั้งหลายในห้องร้องขึ้นมา อาฝูที่หมอบอยู่ใต้เท้าซื่ออินยันขาหน้าขึ้นมาทันที เมื่อมองภาพนี้ สายตาก็ค่อยๆ แข็งเกร็ง!
ภาพเคลื่อนไปข้างหน้า กระต่ายหยกที่ตกใจกระโดดขึ้นไปบนเกี้ยวหยก อาฝูก้มหัวมองมันอยู่ครู่หนึ่ง พลันยกอุ้งเท้าขึ้นคิดจะปีนขึ้นไป แต่ร่างกายเขาสั้นและอ้วนเกินไปจึงปีนไม่ขึ้น สุดท้ายทำได้เพียงเข้าไปหมอบในช่องว่างใต้ห้องโดยสาร!
“มิน่าเมื่อครู่ที่วังเหมันต์จันทรา อาฝูถึงเห็นกระต่ายหยกแล้วตื่นเต้นขนาดนั้น!”
มู่จิ่วหลุดปากพูด อาฝูกับกระต่ายหยกเคยเจอกันมาก่อน ปฏิกิริยาของทั้งสองค่อนข้างรุนแรง ตอนนั้นนางยังเข้าใจว่าพวกเขาคือศัตรูกันตามธรรมชาติ ที่แท้พวกเขาทั้งสองเคยพบกันมาก่อน!
ซื่ออินกอดคออาฝู ลูบหน้าเขา
กระต่ายหยกบนเกี้ยวเต็มไปด้วยความตื่นกลัวและตื่นตัว
จากนั้นเกี้ยวนี้ก็มุ่งตรงไปสวรรค์!
ถึงตรงนี้ เหตุที่อาฝูเข้ามาในสวรรค์จึงกระจ่างแจ้งแล้ว แบบนี้เบาะแสที่ใกล้ที่สุดคือภูเขาที่ฉางเอ๋อร์กับอู๋กางไปมาก่อน
กระบอกตาของซื่ออินแดงนานแล้ว ตอนนี้ถึงแม้ยังไม่ได้รับการยืนยันว่าสุดท้ายแล้วอาฝูคือลูกของเขาหรือไม่ แต่ใจของเขากลับยอมรับแล้ว และหลายวันนี้เบาะแสที่ได้มาเปลี่ยนจากไม่มีอะไรเลยกลายเป็นมี ร่องรอยสามารถติดตามได้ ทุกเบาะแสที่ได้มาล้วนเป็นก้าวย่างที่ยิ่งใหญ่! ใจของเขาพลันสงบลงไม่ได้ ชั่วพริบตาเดียว ความกังวลกลับกลายเป็นความหวัง
มู่จิ่วก็ดีใจมาก “นี่คือที่ไหน? อาฝูปรากฏตัวที่นี่ บางทีพวกเราอาจไปดูได้!”
“ที่นี่คือภูเขาจิตอสุนีบาตทางถิ่นทุรกันดารเหนือ” ลู่ยาพูด “ภูเขาจิตอสุนีบาตเป็นเส้นแบ่งเขตระหว่างถิ่นทุรกันดารทางเหนือกับโลกภายนอก นับว่าเป็นเส้นขวางกั้น ทางทิศใต้สวยงาม ทางทิศเหนือรกร้างกันดาร จุดที่พวกเขาอยู่น่าจะเป็นทางใต้”
“ภูเขาจิตอสุนีบาต?” มู่จิ่วขมวดคิ้วครุ่นคิด “ชื่อนี้คุ้นหูนัก”
ซื่ออินพูด “หากเรียกภูเขาจิตอสุนีบาตเจ้าอาจไม่รู้ แต่หากพูดว่าเป็นคลื่นจิตพสุธา บางทีเจ้าคงเคยได้ยินมาบ้าง”
………………………………………