ลู่ยามอง ก่อนพลันลูบท้ายทอยนาง ถอนหายใจพูด “เด็กโง่ของข้าโตขึ้นแล้วจริงๆ”
มู่จิ่วเหยียดมุมปากยิ้มพร้อมก้มหน้าลง
ทำความผิดไปครั้งหนึ่ง นางก็ไม่อยากทำผิดอีกครั้งที่สองแล้ว
อันที่จริงนางไม่เปิดปากก็รู้ ความเป็นไปได้ที่ลู่ยาจะเห็นด้วยให้นางไปช่วยแทบไม่มี อย่างไรเสียตอนแรกลู่ยาก็เกือบสังหารเขาแล้ว
ด้วยความรังเกียจต่อพฤติกรรมของเขา ลู่ยาจะอนุญาตให้นางทำแบบนี้ได้อย่างไร?
แต่นางก็ยังอยากถามเขาสักหน่อย มิใช่ร้องขอให้เขาช่วย แต่เป็นการบอกความคิดในใจแก่เขา นางกับหลินเจี้ยนหรูก็นับว่าเป็นเพื่อนกัน ถึงแม้นางเห็นใจชิวซื่อ แต่ในฟ้าดินนี้คนที่ควรเห็นใจมีเพียงชิวซื่อคนเดียวหรือ? นางเห็นใจได้ ทว่าเห็นใจไม่ได้มากขนาดนั้น
นางเชื่อในการแยกแยะถูกผิดของลู่ยา สามารถใช้เป็นบรรทัดฐานของนางได้ในระดับหนึ่ง
หากวันนี้ลู่ยาไม่อยู่ข้างกาย นางอาจจะไม่ลังเลเลยด้วยซ้ำ สามารถปฏิเสธหลินเจี้ยนหรูไปตรงๆ เนื่องเพราะความสามารถของนางมีจำกัด จึงกลัวผลลัพธ์ในภายหลัง แต่ในเมื่อเขาอยู่ด้วย ขอความคิดเห็นกับเขาก่อนก็ดี หากมีความประนีประนอม ก็ไม่ถึงกับให้หลินเจี้ยนหรูไม่มีทางลง
“หากข้าบอกว่าเจ้าช่วยได้ เจ้าคิดจะช่วยอย่างไร?” ลู่ยาพลันถาม
มู่จิ่วอึ้งไป “แน่นอนว่าต้องไปถามอ๋าวเชินว่าให้ยืมได้หรือไม่ ยังสามารถทำอย่างไรได้อีก?” ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นสิ่งของของเขา และสำคัญกับอ๋าวเชินมาก
อย่างมากสุดนางก็แค่ช่วยถาม
นางไม่อยากพูดเรื่องนี้แล้ว เพราะนางไม่แน่ใจ และรู้สึกว่าลู่ยาอาจฝืนใจตกลง
นางยืนขึ้นหยิบหวีเขาแรดจากบนโต๊ะก่อนพูด “ข้าช่วยเจ้าหวีผมแล้วกัน!”
นางชอบช่วยเขาจัดการผมมาก ผมของเขาทั้งยาวและหนา ลูบแล้วสบายอย่างมาก
ลู่ยายิ้มหยิบพลางกระดองเต่าขึ้นมาจากบนโต๊ะแล้วเลื่อนไปมาหลายครั้ง จากนั้นพลันพูดช้าๆ “เรื่องนี้ที่จริงช่วยได้”
ความสนใจของมู่จิ่วอยู่ที่ผมยาวจรดเอวของเขา ครั้นได้ยินคำพูดนี้ก็พลันกลับมาสนใจทันที “อ้อ?”
นางอ้าปากมองเขา สงสัยว่าตนเองได้ยินผิดไป
ลู่ยาขมวดคิ้วมองไปข้างหน้าพลางเอ่ย “เพราะเร็วๆ นี้ข้าพบว่าผังดวงชะตาของหลินเจี้ยนหรูแปลกประหลาดมาก”
มู่จิ่วย้ายกลับไปนั่งที่เดิม “ประหลาดอย่างไร?”
“ชะตาชีวิตของเขามีประโยชน์กับเจ้า”
ลู่ยามองนาง ยังคิดจะพูดอะไรอีก ทว่ากลับหยุดไว้
จากนั้นเขาเพียงพยักหน้า ยืนยันว่าคำพูดของตนเองไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
มู่จิ่วรู้สึกนั่งไม่ค่อยติด ชะตาชีวิตของหลินเจี้ยนหรูมีประโยชน์กับนาง?
“ความหมายของเจ้าคือภายหลังเขาจะไม่ทำเรื่องเลวร้ายแล้ว?”
ลู่ยามองโต๊ะ เงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูด “นี่ไม่เกี่ยวกับว่าเขาจะกลายเป็นคนไม่ดีหรือไม่”
กล่าวจบแล้วเขาก็พูดอีก “เพียงแค่เจ้าแน่ใจว่าเรื่องที่เขาให้เจ้าทำไม่ใช่เรื่องไม่ดี เขาไม่ได้หลอกเจ้า และสามารถยื่นมือเข้าไปช่วยภายใต้ประโยชน์ส่วนรวม หากเจ้าอยากช่วยก็ช่วยได้อย่างเหมาะสม ทำเหมือนกำลังสะสมบุญกุศล อีกอย่างคือวิถีฟ้ายุติธรรม ไม่ว่าคนดีคนชั่ว สุดท้ายต้องมีบทสรุปเสมอ”
มู่จิ่วยิ่งสูดลมหายใจเย็นๆ เข้าไป…
ลู่ยาพลันคลายความอึมครึมบนใบหน้า บีบแก้มนางพลางยิ้ม “ชีวิตหนึ่งของคนเราพูดยากนัก นับประสาอะไรกับหนทางเซียนที่ช่างยาวไกล? ดีหรือชั่ว หากไม่ถึงท้ายที่สุดใครจะรู้เล่า? แต่ตนเองก็ระมัดระวังเสียหน่อย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็อย่าตอบรับทั้งหมด ความคิดของเขาลึกจนไม่อาจหยั่ง คิดจะหลอกเจ้าก็ง่ายนิดเดียว เจ้าเพียงจำไว้ แค่ให้เจ้าช่วยเขาทำเรื่องดีในสถานการณ์ที่แน่ใจว่าปลอดภัยก็พอแล้ว คราวก่อนทางฝั่งอ๋าวเชินได้ยาของข้าไปคงจะดีขึ้นมากแล้ว แต่ข้าไม่รับประกันว่าเขาจะรับปาก เจ้าไปลองเสี่ยงโชคดูได้”
มู่จิ่วพบว่าสมองตนเองใช้การได้ไม่ดีนัก ลู่ยาไม่เพียงไม่โทษหลินเจี้ยนหรูที่มาหานางอีก แต่ยังบอกว่าช่วยเขาได้?
ถึงแม้ความคิดของเขาลึกล้ำไม่อาจหยั่ง ซ้ำยังมีโอกาสหลอกนางอีก แบบนั้นนางยิ่งควรห่างจากเขาไปไกลถึงจะถูก!
ผังดวงชะตานี้แท้จริงแล้วเป็นผังดวงชะตาอะไรกันแน่…
“หากเขาทำเรื่องผิดศีลธรรมอะไรอีก ข้าสามารถจัดการเขาได้หรือไม่?” นางยังอยากพูดอีกหน่อย
ลู่ยามีท่าทางระแวดระวังถึงที่สุด “ถึงแม้เจ้าไม่จัดการ ก็ต้องมีฟ้าจัดการ เจ้าเข้าไปยุ่งอะไรด้วย?”
มู่จิ่วไม่มีคำพูดโต้ตอบ
พบเรื่องร้ายแต่ไม่เข้าไปหยุดยั้ง นี่ช่างไม่เหมือนคำที่เทพชั้นสูงควรพูดเอาเสียเลย…
ท่าทางที่ลู่ยามีต่อหลินเจี้ยนหรูเปลี่ยนไป ทำให้มู่จิ่วครุ่นคิดบนเตียงอยู่นาน ทว่ายังคิดเหตุผลไม่ออก
พอไล่ถามลู่ยา เขาก็บอกว่าเป็นความลับฟ้ามิอาจแพร่งพราย ทำเอาแม้แต่นางฝันยังฝันว่าหลินเจี้ยนหรูเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
แม้แต่ในหน่วย เวลาว่างก็คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้
ลู่ยาไม่ยอมพูดว่าผังดวงชะตานั้นบอกอย่างไร นางก็จนปัญญา แต่ในเมื่อเขาบอกว่าช่วยได้ แบบนั้นนางก็ไปลองดูเสียหน่อย แต่อ๋าวเชินจะรับปากให้นางยืมหรือ? นางไม่มั่นใจจริงๆ
นอกจากว่ายกลู่ยาผู้ยิ่งใหญ่ออกหน้า
แต่นางไม่อาจทำแบบนี้ได้แน่นอน
เดิมทีนางก็ไม่คิดให้เขาสอดมือเข้ามายุ่ง
ดังนั้นถึงแม้ได้รับอนุญาตจากลู่ยา นางก็ไม่ได้ลงมือทันที
ผ่านไปเช่นนี้สองวัน วันนี้ขณะหาม้วนคดีบนชั้น สายตาของนางไปจับอยู่ที่ปฏิทินบนหัวโต๊ะ จึงพลันหยุดนิ่ง
หลังจากจ้องมองอยู่นาน นางหมุนตัวออกประตูไป
ลู่ยากำลังบดยา หางตาเห็นนางเดินเข้ามา สากบดยาก็หยุดอยู่กลางอากาศในฉับพลัน
มู่จิ่วเดินมาพูดตรงหน้าเขา “ข้าอยากไปดื่มเหล้ามงคลที่ตระกูลอวิ๋น”
ลู่ยาชะงัก “ทำไมอยู่ๆ ถึงอยากไป?”
“เรื่องหลินเจี้ยนหรู ให้ข้าไปถามอ๋าวเชินเถิด” มู่จิ่ววางมือบนเข่า “ตระกูลอ๋าวตระกูลอวิ๋นตอนนี้ดีกันแล้ว คราวก่อนอ๋าวเจียงมาบอกว่าอวิ๋นซีแต่งงาน บ้านพวกเขาก็ไปแสดงความยินดีด้วย ดังนั้นข้าเลยคิดว่าอ๋าวเชินต้องไปแน่ ข้าคิดจะอาศัยโอกาสนี้เอ่ยปากถามเขา ถึงแม้เขาไม่รับปากข้าก็ไม่ถึงกับกระอักกระอ่วน และเขาก็ไม่ต้องถึงกับไร้ทางลง ทำเหมือนกับบังเอิญถามพอดี”
ลู่ยามองนางโดยไม่พูดอะไร
มู่จิ่วไม่ได้ถามเขาไปหรือไม่ เพราะหากเขาไป ถึงแม้ไม่ออกหน้าก็เหมือนยืมอำนาจของเขากดดันอ๋าวเชิน
ก่อนเลิกงานนางรอหลินเจี้ยนหรูอยู่ที่ปากประตูหน่วย พูดกับเขาว่า “เรื่องนั้นข้าไปลองดูได้ แต่บอกไว้ก่อน ทำสำเร็จหรือไม่ข้าไม่รับประกัน”
หลินเจี้ยนหรูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที พยักหน้าพูด “เจ้าวางใจเถอะ ถึงแม้ไม่สำเร็จข้าก็ไม่โทษเจ้า!”
มู่จิ่วพยักหน้า ฝืนยิ้มให้
เมื่อถึงเช้าวันที่ตระกูลอวิ๋นจัดงานแต่ง นางเปลี่ยนเสื้อผ้า นำค้างคาวคู่ประดับเพชรที่เตรียมไว้เป็นของขวัญยินดีไปด้วย จากนั้นพาอาฝูออกเดินทางไปทิวเขาริ้วหยก ตอนลู่ยารู้ว่าพวกนางออกไปก็ไปได้ถึงครึ่งทางแล้ว
หลังจากเรื่องอวิ๋นเฉี่ยนกับอ๋าวเชินแพร่ออกไปแล้ว แต่ละเผ่าที่แต่ก่อนรักษาความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตระกูลอวิ๋นก็ห่างเหินกันไป ตระกูลอวิ๋นรู้ว่าเรื่องนี้คนทั่วไปไม่อาจช่วยอะไรได้มาก ดังนั้นจึงไม่เคยใส่ใจ แต่อวิ๋นซีแต่งงานครั้งนี้ สุดท้ายก็ยังไม่ได้ส่งเทียบเชิญไป ดังนั้นแขกจึงมาไม่มาก
อวิ๋นชือฉางพาคนออกมาต้อนรับอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ไม่เห็นลู่ยามาด้วยก็ยังพานางกับอาฝูเข้าไปตำหนักหลังอย่างกระตือรือร้น
มู่จิ่วไม่ได้มาเพื่อดื่มเหล้ามงคลจริงๆ หลังนำของขวัญยินดีส่งให้ ทักทายไม่กี่ประโยค นางก็ถามถึงอ๋าวเชิน อวิ๋นชือฉางกำลังจะพูด นอกประตูก็รายงานว่าอ๋าวเชินมาถึงแล้ว ไม่นานอ๋าวเชินพาขุนนางเต่าและผู้ติดตามสองคนเดินเข้ามา ครั้นเห็นมู่จิ่วกับอาฝูก็ตกตะลึง น้อมคารวะ ก่อนเข้ามาทักทาย
มู่จิ่วถือโอกาสยืนขึ้น ส่งสัญญาณให้อ๋าวเชินไปยังแปลงดอกไม้ที่ประตูหลัง จากนั้นพูดเรื่องยืมกุญแจจันทราหยางกับเขา “ยืมเพียงเจ็ดวัน ถึงเวลาต้องคืนแน่ ไม่รู้ว่าราชามังกรรับปากได้หรือไม่?”
อ๋าวเชินคิดไม่ถึงว่านางจะเอ่ยปากเรื่องนี้กับเขา สีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย
ดังนั้นมู่จิ่วจึงพูดอีก “แน่นอนว่าหากที่จริงลำบากก็ไม่ต้องฝืนใจ ข้าไม่ต้องการให้ราชามังกรลำบากใจ ไม่ต้องเห็นแก่หน้าลู่ยาเช่นกัน นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของข้า”
อันที่จริงนางก็รู้ว่าสำหรับเขากุญแจจันทราหมายถึงอะไร
“ไม่ทราบว่าแม่นางกัวจะยืมไปทำอะไร?” อ๋าวเชินถาม
มู่จิ่วเลี่ยงไม่ได้ เล่าเรื่องของชิวซื่อให้เขาฟัง
อ๋าวเชินไม่ได้พูดสิ่งใด
มู่จิ่วไม่มีความหวังเลยจริงๆ
……………………………………………