ลู่ยาชะงักเล็กน้อย ยิ้มบางๆ พลางโอบนาง “มีความคิดอะไรหรือไม่?”
“มี” นางพูด “ลูกทุกคนที่เกิดมา ข้าจะให้พวกเขามีกลิ่นอายของข้าคนละส่วน ยิ่งคลอดมากเท่าไหร่ กลิ่นอายของข้าบนร่างพวกเขาก็ยิ่งเข้มข้น ข้าจะสอนให้พวกเขาคนหนึ่งโง่ คนหนึ่งเซ่อซ่า คนหนึ่งซุกซน คนหนึ่งขี้เล่น คนหนึ่งช่วยเจ้าชงชาแทนข้า คนหนึ่งช่วยเจ้าพับเสื้อแทนข้า คนหนึ่งรับความทรงจำทั้งหมดของข้า คนหนึ่งเลียนแบบน้ำเสียงของข้า…วันหนึ่งเมื่อถึงอายุขัยของข้าแล้ว พวกเขาทั้งหมดรวมกัน ไม่มากก็น้อยก็สามารถแทนข้าได้…”
“แต่ไม่อนุญาตให้เจ้าละเลยพวกเขาคนใดคนหนึ่ง ไม่ว่าจะโง่หรือทึ่ม ไม่ว่าจะซุกซนหรือเชื่อฟัง พวกเขาล้วนคือข้า หากเจ้ารังเกียจไม่ชอบข้อด้อยของพวกเขา แบบนั้นก็คือเจ้าชอบข้าไม่พอ”
คางของลู่ยาวางอยู่บนหน้าผากมู่จิ่ว จับจ้องไปยังเงาต้นไม้อยู่นาน ก่อนจุมพิตลงบนผมของนาง “ลูกของพวกเราเป็นตัวของตัวเองได้ หน้าที่ที่เจ้าควรรับผิดชอบ พวกเขาทำแทนไม่ได้”
มู่จิ่วเอนหัวแนบร่างเขา สูดจมูกก่อนพูด “คงมีแบบนี้สักวันหนึ่ง”
นางไม่อาจมีอายุยืนยาวคู่ฟ้าดิน ถึงแม้นางบำเพ็ญได้ถึงหมื่นหมื่นปี สุดท้ายก็ต้องกลับคืนสู่การเวียนว่ายตายเกิดตามวิถีฟ้า
เพียงเกรงว่าใช้ชีวิตกับเขาหมื่นหมื่นปีแล้ว นางจะไม่อยากแยกจากเขา
ลู่ยาเงียบไปสักครู่ ประคองนางขึ้นมาอย่างเบามือ ก้มหน้าลงจูบดวงตาของนาง แล้วไล่ลงตามสันจมูก เคลื่อนลงจรดริมฝีปากของนาง
ลมหายใจของทั้งคู่ชัดเจน แผดเผาคน ทำให้ใจเต้นระรัว กลิ่นอายความรักสาดซัดออกมาเหมือนคลื่นน้ำ
มู่จิ่วกอดเอวเขา เงยหน้ารับจูบแรกตั้งแต่เป็นคนมา
ลู่ยาพูดอยู่ริมหูนาง “หากวันนั้นมาถึงจริงๆ ข้าจะพาลูกๆ ไปเฝ้าอยู่ที่เส้นทางเวียนว่ายตายเกิด พอเจ้าออกมาข้าจะบอกพวกเขาว่า พวกเจ้าดูสิ นี่คือแม่ของพวกเจ้า”
“หากเจ้าเกิดเป็นมนุษย์ ข้าก็จะพาพวกเขาไปหาเจ้าทุกวัน หรือไม่ก็ไปเกิดเป็นมนุษย์เป็นเพื่อนเจ้า หากเจ้าเกิดเป็นเซียน นั่นก็ยิ่งดี รอเจ้าเกิดเมื่อใดข้าจะไปรับเจ้ากลับมา ให้เด็กๆ ดูแลเจ้าทุกวัน เหมือนที่เจ้าดูแลพวกเขาในตอนแรก”
“แต่หากเป็นแบบนั้นข้าก็จำเจ้าไม่ได้ จนกว่าจะผ่านพ้นเคราะห์กรรมนั้น” ใบหน้าของนางแนบอยู่บนอกเขาพลางพึมพำพูด ใบหน้าของนางร้อนผ่าว อกของเขาก็ระอุเช่นกัน “อีกอย่าง หากมีวันหนึ่งวิญญาณข้าแตกซ่านไปล่ะ?”
นางถามเบาๆ กลัวว่าหากพูดดังอีกนิดความกังวลจะกลายเป็นความจริง
อย่างไรในร่างนางก็ยังมีลูกระเบิดที่ไม่รู้ว่าจะระเบิดออกมาเมื่อไหร่ด้วย
นางไม่เชื่อว่าหลังจากที่วิญญาณคนคนหนึ่งแตกซ่านไปจะยังสามารถกลับมาได้อีก นั่นคือหลอกกันแล้ว
มือของลู่ยาที่กอดเอวนางอยู่กระชับแน่นขึ้น ถึงแม้เขาจะผ่อนแรงกลับไประดับเดิมอย่างรวดเร็ว แต่นางก็ยังรู้ตัวและเงยหน้าขึ้นมา
เขายกยิ้ม จูบริมฝีปากนางเบาๆ “วางใจเถิด ต่อให้เจ้าลืมว่าตัวเองเป็นหญิงก็ห้ามเจ้าลืมข้า”
ลืมว่านางเป็นหญิง? หรือเขาคิดว่านางเป็นชาย
หมัดของมู่จิ่วทุบเบาๆ ที่หลังเขา แต่กลับอดหัวเราะออกมาไม่ได้
เงาต้นไม้ที่ระเบียงทางเดินราวกับเม้มปากแอบยิ้ม สั่นไหวเบาๆ ไปตามแรงลม
แสงจันทร์ยิ่งสว่าง ดุจจะสามารถส่องทะลุเข้ามาในใจคนได้
แต่สายตาของลู่ยากลับดำทะมึนอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ
ค่ำนั้นมู่จิ่วที่นอนเอนอยู่บนเตียงเพิ่งนึกได้ว่าลู่ยาไม่ได้ตอบนางเรื่องวิญญาณแตกซ่าน
แต่ความรักที่อบอวลสามารถลบความคิดวุ่นวายทั้งหมดได้ นางคิดไปถึงจูบนั้น ก่อนนอนหมอบลงกับหมอนและหลับไปเหมือนโอบอุ้มกระต่ายไว้ตัวหนึ่ง
มู่จิ่วตื่นแต่เช้ามาตุ๋นโจ๊กปลาให้ลู่ยา อันที่จริงเขาก็ไม่ได้กินแต่ปลา นอกจากชอบปลาแล้ว เห็ดสน ใบเอม รวมถึงต้นเซียงชุน (ต้นฟลามิงโก้) และอื่นๆ ล้วนเป็นของชอบของเขา ยังมีน้ำจิ้มดอกไม้สดที่มู่จิ่วทำ หากเขากินกับโจ๊กหรือหมั่นโถว สามารถกินครึ่งชามเล็กหมดในหนึ่งครั้ง แต่เขายังคงเลือกกินอย่างมาก ปกติไม่ค่อยกินเนื้อ ยกเว้นแต่เนื้อกวาง
ตอนแรกมู่จิ่วก็ยังบ่นว่า เพราะแบบนี้ทำให้เสี่ยวซิงเตรียมอาหารได้ยากนัก ภายหลังเขาทำตามใจตนเอง อย่างไรเขาก็กินเฉพาะสิ่งที่เขาชอบ หากไม่ก็ไม่กิน มู่จิ่วทำได้เพียงประนีประนอม ถึงแม้เขาไม่กินก็ไม่ตาย แต่ทั้งบ้านกินข้าว มีเขาคนเดียวไม่กินก็แปลก!
ดังนั้นภายหลังหากนางมีเวลาก็จะทำอาหารให้เขากินเอง ไม่มีเวลาก็ให้เสี่ยวซิงทำ สุดท้ายเขาจึงไม่เลือกมากแล้ว
ปรึกษากันบนโต๊ะกินข้าวครู่หนึ่งก็ออกไปทำธุระข้างนอก หลังอาหารเสี่ยวซิงกับรุ่ยเจี๋ยรั้งอยู่เก็บกวาดที่เหลือ มู่จิ่วไปสวรรค์ก่อน รอนางกลับมาค่อยออกเดินทาง
ฟากสวรรค์ไม่มีอุปสรรคอะไร เพราะมู่จิ่วเล่าเรื่องที่ไปเห็นที่โลกมนุษย์ให้หวังหมู่ฟัง แต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่พบว่าฉางเอ๋อร์คือเซียนหญิงที่อวี้ตี้ไปพบ เป็นธรรมดาที่หวังหมู่ต้องโกรธเมื่อได้ยินว่าอวี้ตี้ไปลอบพบ ‘ชู้รัก’ จากนั้นให้นางจับตามองต่อไป โดยไม่ได้พูดอะไรอื่นอีก
ก่อนมู่จิ่วจะจากมา นางหันกลับไปถามอย่างสงสัย “เหนียงเหนียงรู้หรือไม่ว่าฉางเอ๋อร์กับภูเขาจิตอสุนีบาตเกี่ยวข้องอะไรกัน?”
“ภูเขาจิตอสุนีบาต?”
หวังหมู่ชะงักไปสักครู่ก่อนพูด “ไม่มีความเกี่ยวข้องกับนาง”
มู่จิ่วเข้าใจว่านางตัดความเป็นไปได้ทิ้งไปแล้ว จึงพยักหน้ากล่าวขอบคุณ แล้วจึงถอยออกไป
เมื่อคนมาครบแล้วจึงออกเดินทาง
มู่จิ่วไม่เคยไปถิ่นทุรกันดานทางเหนือ แต่มันห่างจากซีหนิวไม่ใช่หนึ่งหมื่นหรือแปดพันลี้ สถานที่ที่หลิวหยางพานางไปส่วนมากเป็นภพภูมิต่างๆ ทิวเขาแผ่นดินใหญ่กลับไปมาไม่มากนัก
ถึงแม้ทะเลสาบน้ำแข็งก็อยู่ทางเหนือ แต่ไม่ใช่ทางเดียวกัน พูดให้ชัดคือ ราชามังกรทะเลสาบน้ำแข็งคือเผ่าเทพในโลกมนุษย์ แต่ถิ่นทุรกันดานทางเหนือกลับเป็นเผ่าเทพในโลกเทพ
แต่ละอาณาจักรในถิ่นทุรกันดานทางเหนือล้วนเป็นเผ่าที่เหลืออยู่จากช่วงภัยพิบัติในโบราณกาล กล่าวคือชนรุ่นหลังของสกุลเซวียนหยวนสร้างอาณาจักรโหย่วซยง เสือลายเหลืองสร้างอาณาจักรหนานเซียง เผ่าเสือขาวสร้างอาณาจักรโหย่วเจียง ยังมีสกุลเฉาสร้างอาณาจักรไท่ผิง ชนรุ่นหลังของสกุลหวาซวีสร้างอาณาจักรปาฟางและอื่นๆ เผ่าเทพทั้งหมดในถิ่นทุรกันดานทางเหนือทุกวันนี้ล้วนเป็นเผ่าเทพ…ถึงแม้บรรพบุรุษของพวกเขาเป็นเผ่ามนุษย์ แต่เป็นเผ่ามนุษย์ที่มีพลังบำเพ็ญแต่กำเนิด
เดินทางไปทางเหนือหลายพันลี้ก็ค่อยๆ เห็นเส้นทางบนฟ้าหลายทาง มู่จิ่วรู้ว่าหนึ่งในนั้นมุ่งไปยังทะเลสาบน้ำแข็ง ที่เหลือเป็นทางที่เห็นชัดอีกสี่ห้าทาง และไม่ชัดอีกหลายเส้นทาง ไม่รู้ว่ามุ่งไปที่ไหนบ้าง
ภพภูมิในจักรวาลล้วนอยู่บนเก้าทวีปสี่ทะเล เพียงแต่เส้นทางที่ไม่เหมือนกัน ภพภูมิที่ไปก็ไม่เหมือนกัน
ลู่ยาไม่ลังเลแม้แต่น้อยในการเลือกเส้นทางสายหนึ่งในนั้น ห้วงจักรวาลนี้เขาไปมาหลายรอบแล้ว เป็นธรรมดาที่ต้องคุ้นเคยสถานที่สำคัญอย่างถิ่นทุรกันดานทางเหนือนี้
ตลอดเส้นทางเป็นเขาเขียวลำน้ำใส ไม่กันดารเหมือนทางเหนือของแดนมนุษย์ ไม่นานก็มาหยุดอยู่ตรงทิวเขายาวต่อเนื่อง ภูมิประเทศของภูเขานี้ร่มรื่น ยาวต่อเนื่องกันไปหมื่นลี้ บนภูเขามีต้นไม้ไม่มาก มีเพียงป่าเล็กๆ จากนั้นเป็นผืนหญ้าขนาดใหญ่ ดอกไม้ป่าหลากสีงอกงามบนหญ้าเขียวขจี กวางเหมยฮวา (กวางซิกา) กระต่ายป่า เม่น และสัตว์ป่าเล็กๆ ซ่อนอยู่ในพุ่มหญ้า นกมากมายร้องเพลงอย่างอิสระอยู่ในป่านั้น
ต่างกับหุบเขาคุนหลุนตะวันตกที่ไปเมื่อไม่นานมานี้มาก
“หงิงหงิง! หงิงหงิง!”
อาฝูพลันนั่งลงบนเท้ามู่จิ่ว มองไปรอบด้านพลางร้องเสียงเบาๆ ขึ้นมา
………………………………………………………