“เซวียนหยวนฮุ่ยเป็นหลานของเสือลายเหลือง ตามคำบอกเล่า ปีนั้นตอนหวงตี้นำทัพโจมตีชือโหยว เสือลายเหลืองสร้างผลงานใหญ่ และเคยแบกองค์จักรพรรดิหนีออกจากเขตอันตราย สรุปคือโหย่วซยงและหนานเซียงสองอาณาจักรนี้มีสัมพันธ์อันดี และก็เพราะเหตุผลนี้ รุ่นที่ผ่านมาของพวกเรากับหนานเซียงจึงไม่เคยไปมาหาสู่กัน”
“พวกเจ้าขัดแย้งกับอาณาจักรโหย่วซยงได้อย่างไร? ในเมื่อมีความขัดแย้ง ทำไมยังส่งอู่เจินไปแต่งงานที่หนานเซียง?”
ยิ่งรู้เรื่องราวเหล่านี้มาก เรื่องที่อยากรู้ก็ยิ่งมาก ตอนนี้มู่จิ่วหยุดไม่ได้แล้ว
ซื่ออินพูดอย่างร้อนรน “แท้จริงบรรพชนของพวกเราสองฝ่ายมีความสัมพันธ์ไม่เลว ตอนต่อสู้กับซือโหยวล้วนร่วมแรงร่วมใจกัน แต่ภายหลังเกิดเรื่องหนึ่งขึ้น ทำให้พวกเราสองอาณาจักรกลายเป็นศัตรู”
“เรื่องอะไร?”
สีหน้าของซื่ออินลำบากใจอยู่บ้าง
มู่จิ่วรีบพูด “หากไม่สะดวกก็ไม่ต้องพูด ไม่เป็นไร”
นางรู้ว่าสาเหตุที่ทำให้สองอาณาจักรที่มีความสัมพันธ์อันดีกลายเป็นศัตรูกันต้องไม่น่าเปิดเผย ดังนั้นจึงไม่อยากให้เขาลำบากใจ
ซื่ออินกลับพูด “ที่จริงแล้วไม่มีอะไรที่พูดไม่ได้ เรื่องราวก็เกิดขึ้นนานแล้ว”
“แสนปีก่อน ท่านอาของข้ากับราชาของอาณาจักรโหย่วซยงแอบรักกัน เผ่าพันธุ์สัตว์เทพอย่างพวกเราเมื่อไปถึงขั้นเซียนระดับหนึ่งจะสามารถแต่งงานต่างเผ่าได้ โหย่วซยงเป็นเผ่ามนุษย์ ท่านอาข้าแต่งกับพวกเขา ลูกชายลูกสาวที่เกิดมาภายภาคหน้าก็เป็นเผ่ามนุษย์ หากแต่งให้เผ่าจิ้งจอก ลูกที่เกิดมาก็เป็นเผ่าจิ้งจอก เรื่องนี้ไม่มีปัญหาอะไร”
“เผ่าพันธุ์เสือขาวของพวกเรา ถึงแม้ไม่แต่งกับคนต่างเผ่าง่ายๆ แต่ท่านปู่ของข้ากับท่านพ่อก็ยังยินยอมให้ท่านอาข้า”
“แต่อาณาจักรโหย่วซยงถือตนว่าเป็นถึงคนรุ่นหลังของสกุลโหย่วซยง ตำแหน่งในใต้หล้านี้เทียบเท่ากับห้าจักรพรรดิ[1] พวกเราเสือขาวถึงแม้ชื่อเสียงไม่ได้ด้อย แต่เป็นเพียงข้ารับใช้ข้างกายของเซิ่งจุนทั้งสาม พวกเขาคิดว่าเราสูงส่งไม่เทียบเท่าพวกเขา ดังนั้นจึงยืนกรานคัดค้าน ภายหลังท่านอาของข้าตรอมใจตาย ราชาของอาณาจักรโหย่วซยงก็ฆ่าตัวตายตาม นับแต่นั้นมาสองอาณาจักรก็ต่างโทษกัน ความแค้นจึงเกิดขึ้นแบบนี้เอง”
มุมปากของซื่ออินยกเหยียดตนเอง ชัดเจนว่าเรื่องนี้สำหรับพวกเขาเผ่าพันธุ์เสือขาวเองแล้วก็ไม่ใช่เรื่องดี
แม้แต่ลู่ยาที่วางมืออยู่บนเข่า สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไปไม่น่าดู แม้แต่น้ำเสียงยังเจือไปด้วยความเย็นชา “เช่นนี้ ความหมายของอาณาจักรโหย่วซยงคือผู้ติดตามของศิษย์พี่ข้ายังเทียบไม่ได้กับลูกหลานเหลนเหล่านี้ของราชาพวกเขา?”
ซื่ออินรีบพูด “ข้าน้อยไม่ได้ยินกับหูตนเอง บางทีอาจมีส่วนไม่ถูกต้อง”
สีหน้าของลู่ยายังคงไม่น่าดูอยู่ดี
มู่จิ่วก็รู้สึกว่าอาณาจักรโหย่วซยงอวดดีเกินไป
สิ่งที่ซื่ออินพูดนั้นมีส่วนไม่ดี แต่ไม่ได้ต้องการสร้างความบาดหมาง ทว่าท่าทางดูถูกผู้อื่นของพวกเขาก็เป็นเรื่องจริง หากไม่คิดแบบนี้ จะยืนกรานคัดค้านได้อย่างไร?
เผ่าพันธุ์เสือขาวเป็นสิบเทพสงครามที่ยิ่งใหญ่ข้างกายหนี่ว์วา ในสายตาพวกเขากลับมองเป็นเพียงข้ารับใช้ ไม่ว่าพวกเขาเคยพูดคำนี้หรือไม่ แต่หากนำเรื่องฐานะมาเป็นเหตุผล ก็แสดงออกว่าดูแคลนตั้งแต่ต้น
บรรพบุรุษของอาณาจักรโหย่วซยงคือหวงตี้ ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของสองราชาเหยียนและหวงไม่จำเป็นต้องพูดถึง แต่หนี่ว์วาเป็นหนึ่งในเทพเซียนต้นกำเนิด หากต้องพูดถึงละก็ ฐานะความแตกต่างก็ชัดเจนมาก สกุลเซวียนหยวนแตกออกเป็นส่วนๆ ในมือของชนรุ่นหลังของพวกเขา แม้แต่พาหนะยังรักษาไว้ในอาณาจักรไม่ได้ มาถึงวันนี้ต้องเปลี่ยนชื่ออาณาจักรเป็นโหย่วซยง พวกเขากลับยังดูถูกเสือขาว?
กลับกัน สิบเทพสงครามข้างกายหนี่ว์วา แต่ละเผ่าพันธุ์ล้วนเปิดสำนักฝึกฝนในโลกเซียน จิ้งจอกเก้าหางสามารถเรียกลมเรียกฝนได้ เผ่าที่เหลือถึงแม้ไม่ได้อยู่เป็นกลุ่มก้อน แต่ก็ชำนาญศาสตร์วิชาไม่น้อย สกุลโหย่วเจียงจะแต่งด้วย พวกเขากลับยังติว่าฐานะต้อยต่ำ ไม่รู้จริงๆ ว่าคิดได้อย่างไร
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ อู่เจินไปหนานเซียงได้อย่างไร?” มู่จิ่วถามอีก
ซื่ออินตอบ “อันที่จริง หลายปีมานี้พวกเราสองอาณาจักรรอมชอมกันแล้ว อย่างไรก็ผ่านไปหลายปี บวกกับหนานเซียงอยู่ทางเหนือของโหย่วซยง พวกเราโหย่วเจียงอยู่ด้านตะวันตกเฉียงใต้ของโหย่วซยง เขตแดนของพวกเรากับหนานเซียงไม่ติดกัน และไม่เคยทะเลาะเบาะแว้ง ก่อนหน้านี้เสือลายเหลืองกับบรรพบุรุษพวกเราเคยรบด้วยกัน เซวียนหยวนฮุ่ยมาก็พูดเรื่องความสัมพันธ์เก่าก่อน และพูดถึงความสำเร็จของหวงตี้ ยินยอมใช้ตนเองเป็นทูตเชื่อมไมตรี สลายความขัดแย้งระหว่างชายแดน”
“ปีนั้นพ่อของอู่เจินสละชีพในการต่อสู้กับอาณาจักรโหย่วซยง นิสัยของพวกนางพี่น้องโอบอ้อมอารีอย่างมาก ดังนั้นอู่เจินจึงยินยอมแต่งไปหนานเซียง เพียงแต่พวกเรามองคนผิดไป เซวียนหยวนฮุ่ยนั่นแท้จริงเป็นคนสารเลว!”
เผ่าในอดีตตั้งแต่บรรพกาลอยู่อย่างเป็นสุข ไม่วุ่นวายมากมายเหมือนคนยุคนี้ ความคิดของอู่เจินเข้าใจไม่ยาก
มู่จิ่วพินิจพิเคราะห์สถานการณ์ตอนนี้แต่ละเผ่าของถิ่นทุรกันดารทางเหนือ
ตอนนี้ไม่มีชนรุ่นหลังสายตรงของหวงตี้แล้ว และได้กลายเป็นอาณาจักรโหย่วซยงไปสิ้น ส่วนเสือลายเหลืองพาหนะของหวงตี้ยังคงจงรักภักดี สาบานจะปกป้องชนรุ่นหลังของเจ้านายเก่าจนตัวตาย ซ้ำยังสร้างอาณาจักรหนานเซียงทางตอนเหนือของอาณาจักรโหย่วซยง โหย่วเจียงที่ซื่ออินอยู่เป็นเพื่อนบ้านกับโหย่วซยง แต่ตอนนี้โหย่วเจียงมีทั้งโหย่วซยงและหนานเซียงเป็นศัตรู
ยามนี้เป้าหมายขององค์ชายซื่ออินแห่งโหย่วเจียงคือตามหาภรรยาที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย
มู่จิ่วขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่สักครู่ ก่อนถามลู่ยา “อาศัยแหวนนี้หาตำแหน่งแห่งที่ของเหลียงจีไม่ได้หรือ?”
“หาไม่ได้” ลู่ยาพูด “แต่กลิ่นอายบนนั้นชัดเจน นางยังคงมีชีวิตอยู่”
เขามองซื่ออิน “เจ้าคิดจะทำอย่างไร?”
ซื่ออินได้ยินเขาพูดว่าเหลียงจียังมีชีวิตอยู่ก็ผ่อนคลายลง จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นอย่างซึมเซา “ข้าคิดจะตามหาต่อ เพียงนางยังอยู่ในใต้หล้านี้ ข้าจะต้องพานางกลับมาให้ได้” เขามองท้องฟ้าด้านนอก จากนั้นทำความเคารพลู่ยาพลางกล่าว “รบกวนเซิ่งจุนนานขนาดนี้ ซื่ออินขอลาก่อน วันหลังจะไปเยี่ยมทำความเคารพท่านที่วังชิงเสวียน”
มู่จิ่วอดพูดไม่ได้ “ในเมื่อมาแล้ว ช้าอีกนิดก็คงมิใช่ปัญหา มิสู้คืนนี้อยู่ที่นี่ก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยไปก็ไม่สาย” จากนั้นจึงพูดกับอาฝู “คืนนี้องค์ชายซื่ออินจะอยู่ห้องเจ้า เจ้าไปอยู่กับรุ่ยเจี๋ยเถิด”
อาฝูถูก้นรุ่ยเจี๋ยอย่างดีใจ ทำเอารุ่ยเจี๋ยคันจนกุมก้นเดินออกไป
ถึงแม้ซื่ออินจะกังวลใจ แต่เมื่อลู่ยาอยู่ด้วยก็ไม่ปฏิเสธ อีกอย่างฟ้ามืดมากแล้ว จะยังสามารถหาอะไรเจอได้อีก?
เขาจึงรับน้ำใจของมู่จิ่วไว้ และพักอยู่ห้องของอาฝู
เสี่ยวซิงกับซ่างกวนสุ่นเปลี่ยนผ้าปูเตียงของอาฝูใหม่ ไปจัดการเรื่องรับแขกเองโดยไม่ต้องเอ่ยปากบอก
มู่จิ่วกลับทนไม่ได้ ตามลู่ยากลับไปที่ห้อง
“บังเอิญนัก เสือขาวใหญ่ก็เป็นเสือขาวเช่นกัน ไม่รู้เขามีความสัมพันธ์อะไรกับอาฝูหรือไม่? เป็นไปได้หรือไม่ว่าเป็นน้องชายเขา?”
นางเข้าประตูไปแล้วก็นั่งลงข้างโต๊ะเขา
ลู่ยาล้างมือในอ่างทองแดง ก่อนพูด “หากเป็นคนในครอบครัว เขาจะไม่ตกใจสงสัยกระนั้นหรือ?”
“แต่” พูดถึงตรงนี้เขาจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นเช็ดมือ แล้วจึงกล่าวต่อ “อาณาจักรโหย่วเจียงไม่เหมือนกับชิงชิว การขยายเผ่าพันธุ์ของเสือขาวมากขึ้นทุกที ในอาณาจักรโหย่วเจียงล้วนเป็นเสือขาวทั้งสิ้น พลังฤทธิ์ยิ่งต่ำอายุยิ่งสั้น ถึงแม้เป็นเผ่าพันธุ์เทพเหมือนกัน แต่เวลาการเกิดกลับห่างกันน้อยมาก หลายแสนปีมานี้ คนในอาณาจักรก็มีไม่น้อยแล้ว”
“แล้วอย่างไร?” มู่จิ่วนำผ้าเช็ดหน้าที่เขาส่งมาพาดไว้บนราว
“ความหมายของข้าคือ ถึงแม้อาฝูไม่เกี่ยวข้องกับเขา แต่ก็เป็นไปได้ว่าจะเป็นประชากรของเขา”
…………………………………………