มู่จิ่วพูดไม่ออก
ดีร้ายนางก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา บอกว่านางเป็นคนโง่ได้อย่างไร?
แต่เมื่อเทียบกับการได้รู้ระดับของนางในตอนนี้แล้ว มันก็ไม่นับว่าเป็นอะไรเลย!
หลิวหยางให้นางมาทัพทหารสวรรค์เป็นเรื่องถูกต้องแล้วจริงๆ ต้องรู้ว่าตอนที่นางมาใหม่ๆ มีบุญกุศลเกือบเท่าศูนย์!
ในใจยินดีจึงไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเขา แต่เมื่อคิดกลับไป ก็นึกขึ้นได้ว่าในมือมีคดีของตระกูลเสือขาวอยู่ ในเมื่อลู่ยาคาดเดาว่ามีเรื่องใหญ่ขนาดนั้นเกิดขึ้น นี่ไม่ใช่เรื่องที่นางจะแบกรับไหวแล้ว มีกำลังเท่าไหร่ก็ทำเท่านั้น นางจึงนำความเป็นไปได้นี้บอกแก่หลิวจวิ้นอย่างเป็นทางการ นางพูดว่า “ที่อยู่ของเหลียงจีข้าจะสืบหาต่อไป แต่หากเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นมา ใต้เท้าต้องช่วยข้าด้วยนะเจ้าคะ”
หลิวจวิ้นรู้สึกว่าทุกวันนี้นางวิ่งวุ่นไปทั่ว ดูยุ่งกว่าเขามากนัก แต่คิดไม่ถึงว่ายังมีบื้องหลังแบบนี้อยู่ จึงกล่าว “หากเกิดเรื่องใหญ่เพียงนั้นจริง ไหนเลยยังใช้เจ้า? เจ้าเก็บแรงไว้เถอะ!”
มู่จิ่วคิดในใจ นี่ข้าพูดกับท่านให้ชัดเจนไว้ก่อนมิใช่หรือ!
นางมิใช่ไม่รู้ว่าตอนนี้คดีที่ทำอยู่เกินขอบเขตหน้าที่ของนางไปแล้ว แต่พอดีว่าอาฝูอยู่ที่บ้านนาง เฉินผิงก็ตายด้วยน้ำมือนาง คดีชิงชิวนั้นก็เพราะรีบร้อนทำเพื่อเลื่อนตำแหน่ง มิฉะนั้นแล้วไหนเลยจะตกมาถึงมือนางได้! ตอนนี้ตำแหน่งผู้บัญชาการของนาง ก็เพียงเหมาะสมสำหรับทำคดีลักเล็กขโมยน้อยเท่านั้น
แต่ได้คำพูดรับปากของเขาแล้ว นางก็วางใจ
มู่จิ่วกลับบ้านไปอย่างดีอกดีใจ แจ้งข่าวดีกับพวกเสี่ยวซิงก่อน จากนั้นค่อยไปหาลู่ยาที่ห้องปีกตะวันออก
ซื่ออินเพิ่งกลับมาจากหงชาง การไปครั้งนี้กลับไม่ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มา
เขายังคงแสร้งทำเป็นไปหาภรรยาเพื่อไปหงชาง และยังเข้าไปในสำนักหงชางอย่างราบรื่น พบเจอกระทั่งหลิวหยาง แต่ยังคงไม่รู้อะไร เขาไปทั้งหมดสามวัน สืบได้เพียงว่าหลิวหยางเป็นจินเซียน พลังบำเพ็ญลึกล้ำ และเป็นเซียนชั้นสูงที่สั่งสมคุณธรรมดีงามผู้หนึ่ง เพื่อไม่ให้เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น พอถึงวันที่สามจึงกลับมา
เมื่อเขากลับมาบอกเล่าแก่ลู่ยา ลู่ยาครุ่นคิดอยู่นานก็ไม่ได้พูดสิ่งใด แต่เดิมเริ่มแรกเขาสรุปเอาว่ามู่จิ่วคุยโวเรื่องหลิวหยาง แต่หลังจากที่เขาไปสืบหาชาติก่อนของมู่จิ่วอีกครั้ง แล้วพบว่าหลิวหยางสืบมาได้ไม่ผิดแม้แต่น้อย ก็ไม่สามารถมองเป็นเรื่องปกติได้แล้ว คนที่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้มีไม่มาก ทำไมซื่ออินไปถึงสามวันกลับสืบหาอะไรมาไม่ได้เลย?
เขาแอบซ่อนได้ดีขนาดนี้เชียว?
แต่ยิ่งแอบซ่อนได้ดี ก็ยิ่งต้องใช้พลังบำเพ็ญสูงส่ง และยิ่งแสดงว่าเขาไม่ธรรมดา
“พวกเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?”
เสียงถามของมู่จิ่วพลันหยุดความคิดของพวกเขา
ซื่ออินยืนขึ้นมา
ลู่ยายิ้มแห้งๆ พูดว่า “กำลังคิดว่า” ก่อนเอ่ยอีก “ทำไมเจ้าดีอกดีใจขนาดนี้?”
พูดถึงเรื่องนี้มู่จิ่วย่อมต้องดีใจ นางหัวเราะฮิฮินั่งลงไป แล้วบอกเล่าข่าวดีที่บุญกุศลของนางสะสมถึงขั้นหกแก่พวกเขา “หลิวจวิ้นบอกว่าคนที่ใช้เวลาเพียงสองปีก็เลื่อนขั้นแล้วแบบข้ามีน้อยมาก!”
ซื่ออินรีบแสดงความยินดี
ลู่ยาก็พูด “แบบนั้นคืนนี้ต้องเพิ่มกับแกล้ม”
มู่จิ่วตีเขาทีหนึ่ง “ไม่พาข้าไปกินข้าวข้างนอกหรือ?”
“แน่นอนอยู่แล้ว!” เพราะสืบเรื่องหลิวหยางมา ลู่ยาจึงยังกินปูนร้อนท้อง “เจ้าอยากไปกินที่ไหน?”
มู่จิ่วเท้าคางคิด ก่อนพูด “กินที่บ้านดีกว่า ไปเพียงเราสองคนก็ไม่เหมาะนัก” และเสี่ยวซิงก็เตรียมไว้หมดแล้วด้วย
ลู่ยาโน้มน้าว “ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม มีเพียงพวกเราสองคนเป็นคู่หมั้นกัน” ใครใช้ให้พวกเขาโสดล่ะ?
ซื่ออินรู้สึกว่าเป็นส่วนเกินเมื่อยืนอยู่ตรงนี้ อยากจะเลียบกำแพงออกไป ทว่ามู่จิ่วเห็นเข้า นางรั้งเขาไว้ “อย่าเพิ่งไป! ข้ายังมีข่าวใหม่อีก!”
เขาจึงได้แต่รั้งอยู่ต่อ
นางเล่าเรื่องที่ได้รู้จากวังหลิงเซียวก่อนหน้านี้ออกมาจนหมด
“ข้าแน่ใจว่าเหลียงจีนำอาฝูไปยังภูเขาเรือเป็นเรื่องบังเอิญ มิฉะนั้นหากนางมีความสามารถรู้ล่วงหน้า นางก็ต้องเตรียมขอร้องฉางเอ๋อร์ให้ช่วยพานางออกมาได้ แต่นางไม่ได้ทำแบบนี้ และยังใช้วิชายอดเยี่ยมลบล้างความทรงจำอาฝู นี่บอกได้เพียงว่านางอาจอยู่ในสถานที่ที่อันตรายอย่างมาก นางไม่อยากให้พวกเจ้าเสี่ยงอันตรายตามหานาง”
ซื่ออินได้ยินคำพูดนี้ของนางก็ตกเข้าสู่ความเงียบ
ลู่ยาฟังจบกลับพูด “มีเหตุผลอยู่พอสมควร แต่หากสถานที่ที่เหลียงจีอยู่อันตรายถึงขนาดพละกำลังของซื่ออินก็เอาไม่อยู่ เช่นนั้นทำไมนางถึงเสี่ยงส่งอาฝูออกมา? หรือในเมื่อนางรู้สึกว่าอาฝูตกอยู่ในอันตราย เหตุใดนางถึงเลี้ยงดูเขาอย่างสงบมาได้ถึงตอนนี้?”
มู่จิ่วไร้คำพูด
ลู่ยาลงจากตั่ง ก้าวเท้าพลางเอ่ย “ข้ารู้สึกว่ามีความเป็นไปได้สองทาง หนึ่งคืออาฝูเจอกับฉางเอ๋อร์โดยบังเอิญ ที่จริงเขาเที่ยวเร่ร่อนที่ภูเขาเรือมานานแล้ว พอดีเจอกระต่ายหยกจึงตามนางขึ้นเกี้ยวไป หรือเหลียงจีไม่ได้อยู่ในอันตรายอะไร นางเลี้ยงดูอาฝูอย่างดีมาตลอด จากนั้นส่งเขาออกมาเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมเพื่อให้เขากลับเผ่าเดิม”
“เที่ยวเร่ร่อนมานานแล้ว?” มู่จิ่วส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้ ตั้งแต่อาฝูมาที่บ้านเราจนถึงตอนนี้ ไม่มีพฤติกรรมหยาบคายแม้แต่น้อย เจ้าดู เขานั่งกินข้าวอยู่ข้างโต๊ะอย่างเรียบร้อย เขาไม่ได้ระมัดระวังตัวกับคนมากนัก หนำซ้ำยิ่งขี้เล่นมาก เขาไม่ได้เที่ยวเร่ร่อนข้างนอกนานถึงสามร้อยปีแน่!”
“แบบนั้นก็เป็นได้เพียงข้อสันนิษฐานข้อหลังแล้ว” ลู่ยารับฟังแต่โดยดี “เหลียงจีไม่ได้ถูกกักขังไว้ นางมีชีวิตที่ไม่เลวนัก อาจเป็นเพราะเหตุผลบางอย่าง นางเลยไม่อยากให้คนนอกหานางเจอ ดังนั้นจึงลบความทรงจำของอาฝู จากนั้นลบล้างกลิ่นอายของตัวเองจากเสื้อผ้า…”
“ไม่!” ซื่ออินยืนขึ้นมา พูดอย่างมั่นใจ “นางไม่ทำแบบนี้แน่ ข้าเชื่อว่านางต้องไม่ทิ้งข้า! ข้ารู้!”
สีหน้าของเขาดูตื่นตระหนกมากภายใต้แสงอาทิตย์ที่ส่องเข้ามาผ่านหน้าต่าง เขากลืนน้ำลาย น้ำเสียงอ่อนลง ราวกับรู้สึกว่าตนเองตื่นตระหนกเกินไปหน่อย “ข้าคือคนที่ไม่อยากให้นางตกอยู่ในสภาพลำบากมากกว่าใครทั้งสิ้น เทียบกับนางได้พบเจออันตรายแล้ว ข้ายิ่งหวังให้นางอยู่อย่างสงบสุขมากกว่า”
“แต่ข้ารู้ ไม่ใช่ว่านางไม่ยินยอมให้ข้าไปหานางแน่…นอกจากว่านางอยู่ในอันตรายมาก นางพูดเสมอว่าข้าเป็นวีรบุรุษของนาง ส่วนนางเป็นสัตว์ป่าน้อยที่อิงแอบอยู่ใต้เท้าวีรบุรุษ ดังนั้นข้าจึงยิ่งเอนเอียงไปทางการคาดเดาของแม่นางจิ่วมากกว่า เหลียงจีคงจะพบเจออันตรายและทำอะไรไม่ได้ ถึงหาโอกาสส่งอาฝูออกมา หากนางไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย ก็คงจะไม่อยากให้ข้าไปตามหานาง”
มู่จิ่วตบไหล่เขา ถอนหายใจ
นางพอเข้าใจความรู้สึกของเขา หากเปลี่ยนเป็นลู่ยาหายตัวไปกะทันหันแล้วได้ยินคนบอกว่าเขาตั้งใจไม่พบนาง นางก็รับไม่ได้เหมือนกัน
“ความเป็นไปได้ที่ข้าพูด ไม่จำเป็นว่าต้องแย่เหมือนที่เจ้าคิด”
ลู่ยานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ท่าทางผ่อนคลาย ก่อนพูดต่อ “สองวันนี้ข้าก็คิดอย่างละเอียดเช่นกัน เจ้าบอกว่านางไม่ได้ถูกคนลักพาตัวไป เช่นนั้นอีกความเป็นไปได้คือนางไปเอง ข้าทำได้เพียงสันนิษฐานว่าบางทีอาจเพราะเหตุผลบางอย่าง นางต้องไปทำเรื่องบางเรื่องแต่เจ้าไม่เห็นด้วย หรือกลัวว่าจะลากเจ้าเข้าไปลำบาก ดังนั้นจึงจากไปเงียบๆ”
……………………………………………………