แต่นางกลับไม่เข้าใจเลยว่าคนคนนี้คิดจะทำอะไร
“แน่นอน ก่อนอื่นเรื่องนี้ไม่แน่ว่าจะเป็นจริง” ลู่ยาประสานมือเดินไปหลายก้าว ครั้นมาถึงฉากกั้นลมก็นั่งลง จากนั้นจึงพูดต่อ “พวกเราทำเหมือนว่ามีคนผู้นี้อยู่จริงก่อน หากเขาเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังสามเรื่องนี้ แบบนั้นพวกเราต้องคิดว่าเป้าหมายของเขาคืออะไร? เขาวางแผนอะไร?”
มู่จิ่วพยักหน้า เดินไปนั่งข้างโต๊ะพร้อมซื่ออินโดยไม่รู้ตัว
“จากนั้นก็ดูบุญคุณความแค้นในสามเรื่องนี้อีกครั้ง เรื่องแรก ชิงผิงเข้าใจผิดว่าหลีหังลักพาตัวเฟยอีไป เขาอยากแก้แค้น แต่ไม่มีแรงไปต่อกรด้วย ดังนั้นจึงหว่านแหลากลัทธิฉ่านเข้ามาเกี่ยวข้อง สุดท้ายจึงเกิดเป็นคดีฆาตกรรมของชิงชิวกับลัทธิฉ่าน เกือบทำให้เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ในโลกเซียน ตอนนี้พวกเรารู้แล้วว่าคนที่ก่อเรื่องคืออู่เต๋อ แต่หากเบื้องหลังมีคนควบคุมความเป็นไปของเรื่องนี้อยู่ล่ะ?”
“ชิงชิวกับลัทธิฉ่านไม่ว่าฝั่งไหนก็ไม่น่าไปมีเรื่องด้วย หากปะทะกัน ผลสุดท้ายก็ไม่อาจจินตนาการได้”
“เรื่องที่สอง เรารู้เรื่องทั้งหมดกระจ่างแล้ว มั่นใจว่าเบื้องหลังตระกูลอวิ๋นตระกูลอ๋าวมีคนชักใยอยู่ และตระกูลอวิ๋นเกือบล้างบางแก้แค้นตระกูลอ๋าวเพื่อกุญแจจันทราหยาง แรงกระทบจากสองตระกูลนี้ถึงแม้ไม่สู้ชิงชิวกับลัทธิฉ่าน แต่ตระกูลอ๋าวควบคุมสี่ทะเล หากตระกูลอวิ๋นทุ่มทั้งเผ่าลงมือกับทะเลสาบน้ำแข็ง สี่ทะเลจะนิ่งเฉยได้หรือ?”
“นี่ก็กลายเป็นภัยพิบัติหนึ่งได้เหมือนกัน”
“และหากมีโหย่วเจียงกับหนานเซียงปะทะกันขึ้นมา เสือขาวที่เป็นลูกหลานเทพสงครามยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง อย่างไรพละกำลังก็แข็งแกร่งกว่าพวกเขามาก ดูได้จากการที่โหย่วเจียงโดนโหย่วซยงและหนานเซียงกดดันมาหลายปีแต่ก็ยังไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน เช่นนั้นหากจะมุ่งทำลายหรือลดทอนกำลังของเผ่าเสือขาว จึงทำได้เพียงเสริมกำลังของเสือลายเหลือง”
“ข้าเดาว่าเสือลายเหลืองไม่เพียงเปลี่ยนไปมีราคะมาก วิชาของเขาก็น่าจะเพิ่มระดับขึ้นสูงด้วย”
คำพูดนี้ของเขาทำให้ซื่ออินตื่นตกใจไปนานแล้ว
ไหนเลยจะได้ยินว่ามีคนวางแผนทำลายอาณาจักรตัวเองแล้วยังสงบนิ่งอยู่ได้?
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นองค์ชายของอาณาจักรนั้นด้วย!
“เซิ่งจุนทายได้ไม่ผิด ข้ากับเซวียนหยวนฮุ่ยปะทะกันมาหลายปี ถึงแม้ข้าไม่เคยแพ้ แต่ก็ไม่เคยชนะเขา! พลังบำเพ็ญของเขาลึกล้ำอย่างแท้จริง พลังฤทธิ์น่าเกรงขาม!”
ลู่ยาลูบปลายแขนเสื้อ มองมู่จิ่วก่อนพูด “หากเผ่าเสือขาวตกอยู่ในอันตราย ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร?”
“ไม่แน่ว่าบรรพบุรุษพวกเจ้าอาจออกจากภูเขา กวาดล้างหนานเซียง หรือแม้แต่ทำลายโหย่วซยงไปด้วยกัน ถึงตอนนั้นคงทำให้หกภพสั่นสะเทือน ไม่อาจใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปพร้อมกัน และใต้หล้าที่สงบมานานขนาดนี้ ต้องมีพลังมารบางส่วนฉวยโอกาสออกมา ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงสงครามชุลมุนได้”
มู่จิ่วกับซื่ออินต่างก็นั่งไม่ติดอยู่บ้าง
“ทำไมเจ้ายิ่งพูดยิ่งรุนแรง ตามที่เจ้าพูดมา มิเท่ากับว่าภพมารต้องการพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินอีกรึ?” มู่จิ่วปฏิเสธความเป็นไปได้นี้ “แต่ภพมารก็ไม่เคลื่อนไหวนานแล้ว ราชามารลงนามตกลงกับอวี้ตี้ไปแต่แรก เขาจะก่อเรื่องอย่างไม่มีเหตุผลอะไรได้”
นางไม่อยากให้มีสงครามในใต้หล้า ตอนนี้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขทุกวันช่างดีเหลือเกิน ถึงแม้เหล่าเทพเซียนไม่จำเป็นต้องดีไปทั้งหมด แต่เหล่าปีศาจก็ไม่จำเป็นต้องชั่วไปทั้งหมดเช่นกัน จะก่อสงครามขึ้นมาให้ได้แล้วจะได้อะไร?
ซื่ออินไม่ได้พูด สายตาของเขามองลู่ยาตลอด
เขากำลังครุ่นคิดคำพูดของลู่ยาเหมือนกับคนรุ่นเยาว์ที่ไม่อาจปฏิเสธการล้างสมองจากบุคคลต้นแบบที่อยู่ตรงหน้า
“อันที่จริงก็ไม่แน่ว่าจะเลวร้ายขนาดนั้น” ลู่ยาพูดอีก “นี่เป็นความเป็นไปได้หนึ่ง และเป็นความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุด ความน่าจะเป็นอีกอย่างคือเขายังมีบุญคุณความแค้นยังไม่ชำระ เพราะเขาอยากควบคุมหกภพแต่ยังขาดเงื่อนไขอีกมาก ตอนนี้ก็ไม่ได้ก่อสถานการณ์อะไรที่เลวร้ายขึ้นมา”
พูดถึงตรงนี้มู่จิ่วก็สับสน “จะมีความแค้นอะไรทำให้เขาไม่สนใจจนก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ แล้วลากคนมากมายเข้ามาเกี่ยวข้อง?”
“หากข้ารู้ชัด คงจับเขาได้นานแล้วมิใช่หรือ?” ลู่ยาพูดช้าๆ “ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องที่เบื้องหลังสามคดีนี้มีคนชักใยอยู่ก็ยังมีหลักฐานไม่พอ แต่อย่างน้อยคนคนนี้ต้องมีพละกำลังที่แข็งแกร่งพอควร ถึงตอนนี้ข้ายังสัมผัสไม่ได้ว่ามีคนแบบนี้อยู่ เพียงแต่ไม่ว่าเป็นจริงหรือหลอก พวกเราเตรียมตัวไว้ก่อนก็ไม่ผิด”
มู่จิ่วถึงได้โล่งอก
ลู่ยาเป็นคนรอบคอบ เขาเคยชินกับการตีแผ่สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดออกมาก่อน
ถึงแม้แบบนี้โหดเหี้ยมไปหน่อย แต่กลับเป็นวิธีที่รับผิดชอบที่สุด
ไม่ว่าพูดอย่างไรนางก็ไปเพราะไล่ตามเป้าหมายในการกลายเป็นเซียน เรื่องที่ควรทำนางทุ่มเททำให้ดีก็พอ เรื่องที่นางทำไม่ไหวเบื้องบนย่อมมีคนจัดการ ไม่ต้องให้นางเป็นกังวล
นางเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาน้ำที่มุมห้อง นางพลันคิดขึ้นมาได้จึงพูด “สายแล้ว ข้ายังต้องไปหน่วยงาน ต้องขอไปกินข้าวก่อน”
ลู่ยามองส่งนางออกไปก่อนหันกลับมา นั่งลงแล้วมองซื่ออิน “เจ้าไปทำธุระแทนข้าเรื่องหนึ่ง”
ซื่ออินที่กำลังใจลอยพลันคืนสติกลับมา
ลู่ยาเท้าคางมองมู่จิ่วที่ทักทายเสี่ยวซิงขณะออกไปข้างนอก ก่อนกล่าว “ก่อนหน้านี้ตอนที่ราชาจิ้งจอกไปวังจิตกระจ่างทำธุระแทนข้า เขาถูกกลุ่มควันเขียวติดตาม สุดท้ายข้าสืบมาได้ว่าควันเขียวนั้นเป็นความทรงจำที่หลงเหลืออยู่ของชือโหยว กระถางสามขาซึ่งเก็บกระดูกของเขาไว้ปล่อยมันออกมา ภายหลังพวกเราเจอทะเลสาบที่มีคลื่นพลังวิญญาณมหาศาลที่ภูเขาคุนหลุนตะวันออก และทะเลสาบนั้นศิษย์พี่ข้าบอกว่าเป็นสถานที่ชำระกระบี่ของชือโหยว”
ซื่ออินตะลึง “เซิ่งจุนคงไม่ได้หมายความว่า ชือโหยวกลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่หรือ?”
“นั่นเป็นไปไม่ได้”
ลู่ยาพูด “เพียงแต่ชือโหยวตายมาหลายหมื่นปี จิตสลายตัวไปนานแล้ว ตอนนี้กลับมีแนวโน้มว่าจะรวมตัวกัน สถานที่ที่พลังของอาจิ่วปลดผนึกออกก็เป็นจุดชำระกระบี่ที่ภูเขาคุนหลุนตะวันออกของชือโหยวพอดี บางเรื่องข้าต้องคิดให้มากเป็นพิเศษ”
“ชือโหยวได้ชื่อว่าเป็นบรรพชนของเทพสงครามในอดีตกาล เจ้ารู้หรือไม่การจะเรียกจิตของเขามาได้ต้องใช้พลังขนาดไหน อย่าเพิ่งพูดถึงอย่างอื่น เพียงแค่พลังที่ปล่อยจากบ่อชำระล้างกระบี่ก็สามารถทำลายคุนหลุนตะวันออกไปครึ่งลูกแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจิตที่เด็ดเดี่ยวของเขา ไม่ว่าอย่างไร เรื่องนี้ก็ต้องระวังไว้”
“ข้าถึงกังวลเรื่องอาจิ่ว ข้ากลัวนางมีอันตราย”
“แม่นางกัว?” ซื่ออินนิ่งอึ้งเล็กน้อย แต่ในฐานะคนเป็นคู่หมั้น การกังวลเรื่องความปลอดภัยของภรรยาในอนาคตก็เป็นเรื่องปกติ
ลู่ยาพยักหน้า ก่อนพูดอีก “ในร่างอาจิ่วผนึกพลังอันยิ่งใหญ่ไว้ ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะจินตนาการได้ ข้ากลัวว่าหลังจากกระตุ้นมันแล้วจะกลับมาทำร้ายนาง ดังนั้นจึงไม่กล้าตรวจสอบอย่างละเอียดมาตลอด แต่ก็หาอะไรอย่างอื่นเกี่ยวกับนางจากที่อื่นไม่ได้ และไม่กล้าสืบหาต่อ ทว่าเรื่องนี้ไม่อาจไม่รู้ให้แน่ชัด”
ซื่ออินครุ่นคิดก่อนเอ่ย “ไม่ทราบว่าเซิ่งจุนมีเบาะแสอะไรบ้าง?”
“อันที่จริงไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นเบาะแสที่ชัดเจน”
ลู่ยาพิงพนักเก้าอี้ นิ้วเคาะเบาๆ อยู่ตรงแก้ว “นางบำเพ็ญเพียงพันปีก็เลื่อนขั้นเป็นหัวเสิน จากนั้นพันปีต่อมากลับไม่พัฒนา อีกทั้งนางไม่มีชาติก่อน เรื่องเหล่านี้หากรวมเข้าด้วยกันทั้งหมด ก็ยังไม่ใกล้เคียงการคาดเดาที่พอใช้ได้ นอกจากรู้ว่าร่างกายของนางพิเศษแล้ว ข้าก็ไม่รู้เรื่องอื่นอีก”
……………………………………………………….