“อาจิ่ว!”
เสียงของลู่ยาดังเข้ามา พริบตาเดียวก็มาอยู่ข้างกายนาง ซื่ออินก็รีบเดินไปนั่งยองอยู่ตรงหน้าอาฝู มองเสือขาวน้อยอย่างหวาดกลัวลนลาน ก่อนมองตามสายตาของอาฝูไปด้านหน้า
“ต้นหางนกยูง?”
เขาพลันหลุดปากเอ่ย
ความสนใจทั้งหมดอยู่ที่อาฝู มู่จิ่วพลันเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยิน
ซื่ออินยืนขึ้น เดินไปใต้ต้นหางนกยูงอย่ารวดเร็ว สัมผัสมันพลางพูดเสียงสั่น “ตอนที่ข้ากับเหลียงจีตกลงปลงใจกัน ก็เป็นที่ใต้ต้นหางนกยูงหลังวังข้า ตอนที่พวกเราสัญญาว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดชีวิต ก็ใช้ต้นหางนกยูงเป็นพยาน!”
มู่จิ่วนิ่งอึ้งทันใด…บังเอิญขนาดนี้?!
หากต้นหางนกยูงมีความหมายพิเศษ อีกทั้งสำคัญกับเขาและเหลียงจีแบบนี้ เช่นนั้นอาฝูพาพวกเขามาที่นี่ หมายถึงอะไร?
ทั้งผืนป่าไร้ซึ่งเสียง แต่อาฝูพลันลุกขึ้นเดินเข้าไป ยื่นอุ้งมือไปขุดที่ใต้ต้นไม้
ตอนแรกเขาเพียงขุดลงไปช้าๆ ราวกับไม่แน่ใจว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ จากนั้นกลับเพิ่มความเร็วขึ้นในฉับพลัน อุ้งเท้าทั้งสองขุดลงไปเหมือนกับสายฟ้า!
ซื่ออินนั่งยองลงไปใช้มือช่วยขุด หนึ่งคนหนึ่งเสือขุดดินอยู่ใต้ต้นไม้ราวกับคนบ้า!
ไม่มีใครเข้าไปขัดขวาง แต่ก็ไม่มีใครเข้าไปช่วย เพราะสีหน้าของเขาแสดงออกว่าไม่ต้องการให้ใครเข้าไปช่วย ความกังวลในดวงตาของซื่ออินคล้ายจะกลายเป็นคลื่นคลั่ง ไม่นานใต้ต้นไม้ก็ถูกพวกเขาขุดจนกลายเป็นหลุมลึก แต่อาฝูยังไม่หยุด ซื่ออินก็ไม่กล้าวางมือ แต่ความกังวลหวาดกลัวในดวงตาเขายิ่งโหมกระพือ!
…เขากำลังกลัวว่าใต้ต้นไม้นี้จะฝังร่างของเหลียงจีอยู่เป็นแน่…
ขุดไปไม่รู้นานเท่าไหร่ ขณะที่มู่จิ่วกำลังลังเลว่าจะเข้าไปช่วยดีหรือไม่ พวกเขาทั้งสองกลับค่อยๆ หยุดลง พริบตาเดียว ซื่ออินก้มลงหยิบเอากล่องเหลี่ยมที่ห่อด้วยผ้าไหมขึ้นมาจากหลุม!
“นี่เป็นเสื้อผ้าของเหลียงจี!”
กล่องอยู่ในมือเขา กล่องบุผ้าไหมที่เมื่อครู่ยังอยู่ดีๆ พลันกลายเป็นชุดกระโปรงปักดิ้นทองตัวหนึ่ง
ซื่ออินตัวสั่นเทาพลางคุกเข่าลงไปกับพื้น สีหน้าซีดขาว กระบอกตาที่แดงนานแล้วพลันมีน้ำตาไหลลงมาสองสาย
คล้อยหลังความเจ็บปวดของเขา อาฝูที่ยุ่งอยู่กับการดมเสื้อผ้าพลันพลิกสิ่งของส่องแสงสีทองออกมาจากในนั้น!
“ปิ่นทอง?!”
มู่จิ่วเห็นทันที
ซื่ออินหยุดน้ำตา เก็บปิ่นทองที่ตกอยู่บนพุ่มหญ้าขึ้นมา เพียงมองมัน น้ำตาก็พลันไหลรินลงมาราวน้ำพุ
ลู่ยาเห็นบนปิ่นปักผมยังมีขนติดอยู่กลุ่มหนึ่ง จึงอดหยิบขึ้นมาดูไม่ได้ ผ่านไปสักครู่เขามองซื่ออินอย่างรวดเร็ว จากนั้นพูดว่า “อาฝูเป็นลูกของเจ้า ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเสียใจ นี่คือขนแรกเกิดของอาฝู คิดดูแล้วเหลียงจีต้องจงใจนำอาฝูกับของเหล่านี้มาไว้ที่นี่!”
“แบบนั้นนางล่ะ?” มู่จิ่วก็ตื่นเต้นขึ้นมา
“อย่าร้อนใจ” ลู่ยาพลันใช้พลังฤทธิ์โอบล้อมเสื้อผ้าเหลียงจีที่ถูกทำเป็นห่อผ้า แต่เพียงสักครู่เขาก็เก็บมือกลับมา “บนเสื้อของเหลียงจีก็ถูกร่ายคาถาไว้ ไม่มีเบาะแสอะไร ข้ายังสัมผัสได้เพียงว่านางยังมีชีวิตอยู่” เขาขมวดคิ้วมองไปรอบด้าน “ที่นี่คงเป็นที่ฝังร่างต้าอี้”
ตอนนี้จุดที่พวกเขาอยู่เป็นเขตเขากันดาร ปกติเดินหลายสิบรอบก็ไม่แน่ว่าจะจำลักษณะได้ นอกเสียจากมีไอมงคลเบาบางบนอากาศเท่านั้น
“ทำไมเหลียงจีถึงเลือกที่นี่? นางจงใจหรือเป็นเรื่องบังเอิญ?” มู่จิ่วพลันรู้สึกว่าเรื่องทั้งสองนี้อาจเกี่ยวข้องกัน
“ไม่ว่าจะจงใจหรือบังเอิญ ข้ามั่นใจว่าก่อนเหลียงจีจะหายไป นางก็ไม่รู้ว่าภูขาเรือเป็นที่ฝังกระดูกของต้าอี้เหมือนกับข้า” ซื่ออินสูดลมหายใจเข้าลึก ลูบหัวอาฝูก่อนยืนขึ้นมา
ชื่อเสียงและคำสรรเสริญของต้าอี้มีอิทธิพลส่วนใหญ่บนโลกมนุษย์เท่านั้น สำหรับโลกเทพเซียนแล้ว เขาเป็นเพียงราชาของเผ่าที่มีคุณงามความดีเท่านั้น พวกซื่ออินไม่รู้เรื่องนี้ก็ไม่แปลกอะไร
หากเหลียงจีไม่รู้เรื่องก่อนหน้านี้ นางอาจจะมารู้ในห้าร้อยปีที่ผ่านมานี้หรือไม่?
แต่ไม่ว่าเป็นอย่างไรก็ไม่คู่ควรให้ยุ่งเกี่ยวด้วย การได้เบาะแสที่ชัดเจนจนหาตัวนางพบถึงจะเป็นสิ่งสำคัญ
จากนั้นทุกคนไปสืบค้นรอบๆ มู่จิ่วหยิบขลุ่ยล่าเซียนขึ้นมา ลู่ยาสะบัดแขนเสื้อใช้วิชารวบเมฆทว่าก็ไม่พบเจออะไร
ราวกับเหลียงจีปรากฏตัวในทิวเขานี้จากความว่างเปล่า จากนั้นก็หายไปในความว่างเปล่า…อย่างน้อยในเขตภูเขาจิตอสุนีบาตก็ไม่มีเบาะแสใดแล้ว
ตกดึกกลับมาถึงสวรรค์
มู่จิ่วเข้าใจว่าซื่ออินยังคงเหม่อลอยอยู่ แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น ถึงแม้ความหวังที่สลายไปจะทำให้เขาหดหู่ แต่เพราะยืนยันได้ว่าอาฝูเป็นลูกของเขากับเหลียงจีอย่างแท้จริง นี่ก็นับเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างล้นเหลือ!
เขาเข้าใจเพียงว่าแยกกับเหลียงจีไปห้าร้อยปีก็เหมือนกับตัดสายสัมพันธ์ไปห้าร้อยปี แต่คิดไม่ถึงว่านางกลับให้กำเนิดบุตร และยังส่งเขากลับมา เรื่องน่ายินดีแบบนี้จะลบล้างความเศร้าโศกในอดีตได้หรือ? แต่ภูมิหลังของอาฝูที่กระจ่างชัดไม่เพียงเป็นการปลอบใจเขา ขณะเดียวกันยังให้พละกำลังแก่เขาอย่างมาก มีอาฝูอยู่ก็เป็นการยืนยันว่าวันที่เหลียงจีจะปรากฏตัวอยู่ไม่ไกลแล้ว!
เสี่ยวซิงกับรุ่ยเจี๋ยต่างก็อยากรู้ผลที่พวกเขาไปครั้งนี้มาก เพิ่งเข้าประตูมาทั้งสองคนก็พุ่งเข้ามาหา
ซื่ออินยิ้มบอกข่าวดีกับพวกเขา เสี่ยวซิงและรุ่ยเจี๋ยกระโดดโลดเต้น
รุ่ยเจี๋ยกอดอาฝูแล้วหอมเขาทีหนึ่ง ถึงแม้อาฝูยังคงงุนงงอยู่บ้าง แต่ก็ยังชื่นชอบจุมพิตนี้อย่างชัดเจน
“มีข่าวดีขนาดนี้ ต้องเพิ่มกับข้าวคืนนี้แล้ว!”
เสี่ยวซิงพูดคำนี้จบ ก็วิ่งออกไปไม่เห็นเงาแล้ว
ได้นางชี้นำ ซ่างกวนสุ่นก็รีบตามไปทันที “อย่างนั้นข้าจะไปเอาเหล้ามาสองสามชั่ง!”
รุ่ยเจี๋ยคิดๆ ก่อนพูด “อาฝู พวกเราไปเก็บผักสดกัน!” พูดจบกระโดดออกไป
ทุกคนล้วนดีใจแทนอาฝูจากใจจริง เสียงแห่งความสุขทำให้กระเรียนเซียนหลายตัวที่อยู่ไกลออกไปตื่นขึ้นมาทันที
ข้าวเย็นวันนั้น ทั้งหกคนยกเว้นเสือหนึ่งตัวดื่มเหล้าจนเกลี้ยงไปสิบกว่าชั่ง ดื่มกินจนพระจันทร์ขึ้นถึงกลางหัวค่อยแยกย้ายกันไป
แม้แต่ชามตะเกียบก็ไม่เก็บ แต่ละคนกลับห้องตัวเองไปพักผ่อน
มู่จิ่วดีใจมาก ดีใจแทนอาฝู ในที่สุดอาฝูก็รู้แล้วว่าพ่อแม่ของตนเองคือใคร ตอนนี้เพียงหาที่อยู่ของเหลียงจีและช่วยเขาฟื้นคืนความทรงจำ ทุกอย่างก็จะสงบสุขแล้ว!
ทว่านางยังหดหู่เล็กน้อย เพราะยังอาลัยอาวรณ์อาฝู
แต่คิดอีกที นางก็ไม่สามารถกักเขาไว้ที่นี่ได้ตลอดชีวิต เขาเป็นหลานราชาแห่งโหย่วเจียง ต่อไปไม่แน่ว่าอาจต้องขึ้นเป็นราชาต่อ จะขลุกอยู่กับนางที่สวรรค์ได้อย่างไร? อย่างมากที่สุดเวลาคิดถึงเขาก็ไปหาเท่านั้น
เมื่อคิดได้ดังนี้ ในใจก็ทั้งเจ็บปวดทั้งยินดี
ครั้นตื่นขึ้นในเช้าวันถัดมา หันไปทางห้องลู่ยาก็เห็นประตูเปิดแล้ว นางจึงเดินเข้าไป
ลู่ยาเพิ่งสวมเสื้อนอกเสร็จ กำลังจัดเสื้อผ้าตรงหน้ากระจกทองแดงอย่างสบายๆ
มู่จิ่วเดินไปข้างหลังลู่ยา ยื่นหน้าเข้าไปมองเขาในกระจก แล้วอดยกมือไปลูบคางเขาครั้งหนึ่งไม่ได้ ลู่ยามีเคราเขียวขึ้นเล็กน้อย ที่จริงดูลักษณะแล้วก็เหมือนคนที่อายุยี่สิบกว่า แต่ไม่ว่าเวลาไหนก็สะอาดหมดจด เช่นนี้ไม่เพียงทำให้เขามีกลิ่นอายบุรุษเพศมากขึ้นหลายส่วน แต่ยังแสดงชัดว่าชีวิตส่วนตัวเข้มงวดอย่างมาก
ซื่ออินที่ยกอ่างน้ำเข้ามาเห็นพวกเขาทั้งสอง ก็รีบชักเท้ากลับ ยืนอย่างนอบน้อมอยู่ที่ประตู
ลู่ยาเหลือบมองเขาก่อนพูด “เข้ามาเถอะ”
ซื่ออินยิ้มน้อยๆ ค้อมตัวเข้ามา วางอ่างไว้บนชั้นก่อนเอ่ย “เซิ่งจุนเชิญล้างหน้า”
…………………………………………………